สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
คราวนี้พ่อมีเรื่องมาเล่าให้ฟังอีกแล้ว
กาลครั้งหนึ่ง
ปีศาจตนหนึ่งตัดสินใจจะเลิกอาชีพล่อลวงผู้คนให้ทำชั่ว
จึงนำเอาเครื่องมือล่อลวงแบบต่างๆออกมาวางขายเลหลัง ปีศาจตนนี้จัดวางเรียงเครื่องมือล่อลวงเอาไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อยบนชั้นวางของโชว์
แยกประเภทออกเป็นกลุ่มๆอย่างชัดเจน
ตั้งแต่เครื่องมือชนิดที่เป็นเหมือนอาวุธหนักมีอำนาจทำลายล้างรุนแรง ได้แก่
ความประสงค์ร้าย ความเกลียด ความฉุนเฉียว ความอิจฉา .....เครื่องมือแต่ละชนิดมีป้ายบอกราคาเอาไว้อย่างชัดเจน
นอกเหนือจากเครื่องมือที่เป็นอาวุธหนักทั้งหลายแล้ว
ยังมีเครื่องมืออันหนึ่ง มองดูแล้วไม่มีอันตรายเท่าไหร่
มีสภาพเก่าเพราะผ่านการใช้งานมานานมาก
แต่ปรากฏว่าป้ายราคาที่ติดไว้มีมูลค่าสูงมากกว่าเครื่องมืออื่นๆมากมายนัก
มีคนหนึ่งฉงนใจถามปีศาจตนนั้นว่า ไอ้เจ้าเครื่องมือราคาแพงนี้คืออะไร
“มันคือ ความท้อใจ" ปีศาจตอบ
“แต่ทำไมราคามันถึงแพงนักล่ะ?”
“เพราะ" ปีศาจกล่าวตอบ "ความท้อใจ เป็นเครื่องมือที่ฉันใช้แล้วได้ผล มากกว่าเครื่องมืออื่นๆ
ความท้อใจนี้ช่วยให้ฉันแอบแฝงตัวเข้าไปในมโนธรรมของมนุษย์ได้โดยง่าย
โดยเฉพาะสำหรับบุคคลที่ฉันไม่สามารถใช้เครื่องมืออื่นๆ เพื่อเข้าครอบครองใจของเขาได้
และเมื่อฉันแอบแฝงเข้าไปหมกตัวอยู่ในมโนธรรมได้
ฉันก็สามารถกำกับบุคคลคนนั้นให้ทำตามอย่างที่ฉันต้องการได้โดยง่าย
เครื่องมืออันนี้มันดูเก่าก็เพราะฉันใช้มันบ่อย และก็สามารถใช้ได้กับทุกๆคนมีเพียงไม่กี่คนที่รู้ว่า
นี่เป็นเครื่องมือตัวเก่งของฉัน"
ระดับของความอ่อนแอของมนุษย์ขึ้นสู่ขีดสูงสุด
ในยามที่คนคนนั้นกำลังตกอยู่ในภาวะหมดกำลังใจ เบื่อหน่าย และไม่แยแสต่ออะไรอีกแล้ว
ในช่วงเวลานั้นเอง อะไรก็เกิดขึ้นได้ และ มักจะเป็นเช่นนั้นเสมอ
อ่านเรื่องนี้แล้ว ทำให้เห็นว่า ปีศาจมักมีเล่ห์
เพทุบายมากมายที่เข้ามาวางกับดักเรามนุษย์ให้หลงไป อย่างที่มีคำกล่าวว่า "ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกล" นั่นแหละ
ช่วงนี้พ่อสังเกตว่า เด็กๆหลายคนมาเข้าวัด แต่มักอดใจไม่ได้กับการนำเอาโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดแอพพลิเคชั่นต่างๆ
ดูในระหว่างที่พิธีกรรมกำลังดำเนินไป
บางคนอาจคิดว่าให้เด็กมานั่งในวัดได้ก็บุญโขแล้ว
ปล่อยให้เขาทำอะไรตามใจเขาบ้างก็ไม่น่าเป็นอะไร
พ่อรู้สึกดีใจที่หลายครอบครัวพาสมาชิกในครอบครัวมาวัดได้เป็นประจำ
แต่คงจะดีกว่าอีก ถ้าค่อยๆหมั่นสอนให้เด็กรู้บทบาทหน้าที่ และ
ข้อปฏิบัติที่พึงกระทำในสถานที่ต่างๆอย่างเหมาะสม
โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติตัวในขณะร่วมอยู่ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์
ถ้าผู้ปกครองจะไม่ท้อใจคอยว่ากล่าวตักเตือนอยู่เสมอ
พ่อเชื่อมั่นว่าเด็กๆจะสามารถมีพฤติกรรมที่พึงประสงค์ได้ในที่สุด
คุณพ่อสุพจน์
......................................................................
โยก...ย้าย...
พี่น้องที่รัก เราผ่านเหตุการณ์สำคัญในการเลือกตั้งผู้ว่า
กทม. เลือกตั้งพระสันตะปาปา การลงคะแนนของสภาฯ เรื่องการกู้เงินจำนวนมหาศาลมาแล้ว
เพื่อให้เข้ากระแสกับช่วงนี้
พ่อจึงอยากบอกเล่าถึงการโยกย้ายตำแหน่งของพระสงฆ์คาทอลิกเราบ้างเหมือนกัน
เมื่อเกิดการตัดสินใจครั้งสำคัญ
พวกเรามักให้พระจิตเจ้าเป็นผู้นำเสมอมา เช่นการเลือกตั้งโป๊ปองค์ใหม่ที่ผ่านมา
และเราก็ได้พระสันตะปาปาที่สุภาพ และเหมาะสมกับโลกและยุคสมัยของเราเวลานี้
การจะโยกย้ายเปลี่ยนตำแหน่งในสังฆมณฑลต่างๆ
ของเราก็ได้รับการพิจารณาอย่างรอบคอบเหมือนกัน มีคณะกรรมการสภาสงฆ์
คณะที่ปรึกษาพระสังฆราชที่ประชุมและเสนอชื่อพระสงฆ์ที่จะไปทำงานในหน้าที่ต่างๆ
คนที่จะไปเรียนต่อยังต่างประเทศด้วย
ระบบการแต่งตั้งโยกย้ายของเราจึงมีความใกล้ชิดกับการปกครองระบอบคอมมิวนิสต์มากที่สุด
แต่อย่าพึ่งมองเป็นภาพลบนะครับ ต้องเข้าใจก่อนว่าคอมมิวนิสต์มาจาก COMMUNE
ซึ่งเป็นรากศัพท์เดียวกับคำว่า COMMUNION หรือศีลมหาสนิท
ที่พวกเราเข้าไปรับอยู่เป็นประจำนั่นเอง จึงเป็นการบ่งบอกถึงความเป็นหนึ่งเดียวกัน
มีความเป็นประชาคมที่มีการปกครองโดยผู้นำที่สมบูรณ์แบบที่สุด นั่นคือพระคริสตเจ้า
และผู้แทนของพระองค์ในโลกนี้อีกที (ผู้เขียน)
สมกับคำพูดของอาจารย์ของพ่อได้บอกไว้ว่า
“ระบบการบริหารของพระศาสนจักรคือคอมมิวนิสต์ที่สมบูรณ์แบบที่สุด” นั่นคือ
มีผู้นำที่ดีและเห็นประโยชน์แก่ส่วนรวม
อีกทั้งผู้ร่วมงานทุกคนยอมเชื่อฟังต่อคำสั่งในที่สุด แม้ไม่ถูกใจ ไม่พอใจบ้าง
แต่สุดท้ายแล้วก็ทำตาม นอบน้อมเชื่อฟัง
และพระศาสนจักรเราเชื่อมั่นในระบบนี้มาโดยตลอด
ซึ่งนั่นทำให้องค์กรพระศาสนจักรนี้คงมั่นอยู่เรื่อยมากว่าสองพันปีแล้ว
ถึงวันนี้พี่น้องก็คงจะต้องทราบกันแล้วว่ามีใครต้องโยก... ต้องย้าย...
ไปอยู่ไหนกันบ้าง
สุดท้ายก็ขอให้พี่น้องได้สวดภาวนาให้กับประมุขของเรา
บรรดาพระสงฆ์ในประเทศไทยเป็นพิเศษในโอกาสของการโยกย้ายเข้าไปรับหน้าที่ใหม่ในครั้งนี้กันด้วย
คุณพ่อปลัดองค์เล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น