วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 31 มีนาคม 2013


พี่น้องที่รัก
            อัลเลลูยา
            พระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ชีพจากความตาย
            ให้เรามาเฉลิมฉลองด้วยความชื่นชมยินดีกันเถิด
            อัลเลลูยา
            และแล้ววันสมโภชที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดของพระศาสนจักรก็เวียนบรรจบมาอีกครั้งหนึ่ง การสมโภชปัสกา คือ การสมโภชพระธรรมล้ำลึกแห่งการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนม์ชีพขององค์พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรของพระเจ้าที่ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ และ ถวายองค์เป็นเครื่องบูชาแด่พระเจ้า เพื่อชำระมลทินบาปของเรามนุษย์ วันฉลองสมโภชวันนี้เองจึงเป็นวันที่เราคริสตชนเฉลิมฉลองความจริงที่ว่า พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าทรงไถ่เรามนุษย์ให้พ้นจากบาป และ มลทินต่างๆอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากบาปที่เรามนุษย์ได้กระทำ
            เมื่อเราทราบว่าเราคริสตชนได้รับความโปรดปรานเป็นพิเศษจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงนำพาเราทุกคนไปสู่ความรอดพ้น พระองค์นำพาเราไปสู่ความสันติสุข ทำให้เรามีความชื่นชมยินดีในความหวังอันสว่างสุกใส รุ่งเรืองที่รอคอยเราอยู่ในภายภาคหน้า พระเจ้าทรงรอคอยเราอยู่เพื่อสวมกอดต้อนรับเราเข้าสู่พระอาณาจักรอันรุ่งเรืองสุกใสของพระองค์
            การฉลองสมโภชปัสกาด้วยความชื่นชมยินดีในโลกนี้ เป็นภาพเลาๆที่พอจะทำให้เราเข้าใจ ถึงการฉลองปัสกาแห่งการกลับคืนชีพที่น่าชื่นชมยินดีสูงสุดในชีวิตหน้าของเราแต่ละคนเมื่อเราผ่านชีวิตปัจจุบันของเราไปสู่ชีวิตอันเป็นนิรันดรที่จะมาถึง
            บาปและความตายอันเป็นผลมาจากบาปที่เรามนุษย์ได้กระทำนั้น ไม่มีอำนาจที่จะผูกมัด กุมขัง เราได้อีกต่อไป เพราะพระเยซู พระบุตรของพระเจ้า ทรงมีชัยชนะเหนือบาปและความตาย ด้วยการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์แล้ว เราคริสตชนจึงได้รับความรุ่งเรือง โดยอาศัยความรุ่งเรืองของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพนี้
            ขอวิงวอนพระเจ้า โปรดโปรยปรายพระพรอันอุดมของพระองค์มาสู่พี่น้องทุกๆท่าน
                                                                                                                           สุขสันต์วันปัสกา
                                                                                                                               คุณพ่อสุพจน์
.............................................................................................
                                                                                                                       
องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพ อัลเลลูยา
สวัสดีครับพี่น้อง
เสียงร้องอัลเลลูยาในอาทิตย์นี้ดูจะดังกึกก้องเป็นพิเศษ เนื่องมาจากตลอดเทศกาลมหาพรตนั้น ทางพิธีกรรมได้งดการเอ่ยคำ “อัลเลลูยา” ไป
“อัลเลลูยา” มาจากภาษาฮีบรู (הללו יה) ซึ่งมีความหมายว่า “สรรเสริญพระยาห์เวห์” (นี่เป็นการตอบคำถามสัตบุรุษผู้หนึ่งที่มาถามพ่อไว้เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาด้วย) ซึ่งเชื่อกันว่าเหล่าทูตสวรรค์ขับร้องด้วยคำนี้ เพื่อสรรเสริญพระเจ้าที่รอบๆ พระบัลลังก์ในสวรรค์ ด้วยความชื่นชมยินดี และเรามนุษย์นำมาใช้ในพิธีมิสซา เพื่อร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์ในการสรรเสริญพระองค์ และเป็นการย้ำเตือนกับเราด้วยว่าอาณาจักรสวรรค์อยู่บนโลกนี้แล้ว ในการร่วมบูชามิสซานั่นเอง
คำถามต่อไปคือว่า “แล้วทำไมจึงไม่ขับร้องอัลเลลูยาในเทศกาลมหาพรต?”
เหตุว่าจุดเน้นของเทศกาลมหาพรตคือการที่พระอาณาจักรจะมาถึง ไม่ใช่พระอาณาจักรที่มาถึงแล้ว ทั้งบทอ่านและบททำวัตร (การสวดภาวนาของพระสงฆ์นักบวช) ต่างก็เน้นไปที่การเดินทางฝ่ายจิตของชาวอิสราเอลในพันธสัญญาเดิมเพื่อรอคอยการเสด็จมาของพระแมสสิยาห์ผู้นำความรอดพ้นมาให้มวลมนุษย์ ดังนั้นพระศาสนจักรจึงได้งดคำ “อัลเลลูยา” ในเทศกาลนี้ เพื่อสำนึกผิดบาป กลับใจ เพื่อว่าวันหนึ่งเราจะได้รับสิทธิ์เข้าไปขับร้องสรรเสริญพระเจ้าร่วมกับเหล่าทูตสวรรค์
เมื่อวันแห่งชัยชนะของพระเยซูคริสตเจ้ามาถึง ในคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ก่อนอ่านพระวรสารพระสงฆ์จะขับเพลงอัลเลลูยา 3 ครั้ง และทุกคนร้องตาม ก็เท่ากับว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว พระอาณาจักรมาถึงแล้ว ให้เราร้องตะโกนด้วยความชื่นชมยินดีนะครับว่า “อัลเลลูยา”
เรื่องจริงเกี่ยวกับความเชื่อของเด็กผู้ชายคนหนึ่งในเรื่องชีวิตนิรันดรมีว่า “ระหว่างทานอาหารเย็นด้วยกันในครอบครัว มีผู้ขอร้องให้ จิมมี่ โรเจอร์ อายุ 7 ขวบ บอกเล่าความเชื่อของเขาเรื่องชีวิตนิรันดร เขากล่าวว่า “วันหนึ่งที่พวกเราทุกคนไปอยู่ในสวรรค์ ทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะเรียกขานชื่อของพวกเราจากในหนังสือแห่งชีวิตเล่มใหญ่ อันดับแรก ทูตสวรรค์จะเรียกชื่อ “พ่อโรเจอร์” และพ่อก็จะตอบว่า “อยู่ครับ” และก็เรียก “แม่โรเจอร์” และแม่ก็ตอบว่า “อยู่ค่ะ” จากนั้นก็เรียก “ซูซี่กับมาวิส โรเจอร์” และทั้งคู่ก็ตอบว่า “อยู่ครับ/ค่ะ)
จิมมี่หยุดเล็กน้อย สูดหายใจลึกแล้วกล่าวต่อว่า “สุดท้าย ทูตสวรรค์ก็เรียกชื่อของผม “จิมมี่ โรเจอร์” และเพราะว่าผมตัวเล็ก เกรงว่าทูตสวรรค์จะมองไม่เห็น เลยกระโดดขึ้นและตะโกนว่า “อยู่ครับ”
ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา เด็กน้อยจิมมี่ก็ประสบอุบัติเหตุและได้รับบาดเจ็บหนัก ต้องเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล ทุกคนในครอบครัวมาอยู่ล้อมรอบเตียงของเขา โดยที่เขาไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ และไม่รู้สึกตัวอีกแล้ว บางทีเขาอาจต้องจากไปในเช้าวันรุ่งขึ้น
ทุกคนจึงได้ภาวนาอยู่ข้างเตียงของเขาด้วยกัน พอดึกๆ เด็กน้อยจึงเริ่มขยับตัว ทุกคนจึงได้เข้ามาใกล้เตียง แล้วเขาก็พูดเพียงคำเดียวก่อนจะจากโลกนี้ไป ซึ่งเป็นคำที่ปลอบประโลมใจ ด้วยเสียงที่ชัดเจนและดังพอที่ทุกคนจะได้ยินและเข้าใจได้ จิมมี่น้อย กล่าวว่า “อยู่ครับ” แล้วเขาก็ได้ไปมีชีวิตในอีกโลกหนึ่งที่ทูตสวรรค์ได้เรียกชื่อของผู้ที่มีเขียนไว้ในหนังสือแห่งชีวิตเล่มนั้น
พี่น้องครับ เราฉลองปัสกาขององค์พระเยซูเจ้าในวันนี้ ตอบกับตัวเองให้ได้นะครับว่า “ปัสกามีความหมายอะไรสำหรับฉัน?” แล้วเมื่อนั้น เราจะตะโกนร้องอัลเลลูยาได้อย่างดังและชัดเจนที่สุด สุขสันต์วันปัสกาครับ!!!
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2513


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            บัดนี้เราเข้ามาสู่ช่วงสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยการเฉลิมฉลองวันที่พระเยซูเจ้าเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม หรือที่เราเรียกกันอย่างเคยว่า วันอาทิตย์ใบลาน ซึ่งเป็นวันเริ่มต้นช่วงเวลาแห่งการเฉลิมฉลองพระธรรมล้ำลึกแห่งการรับทนทรมาน การถูกตรึงตายบนไม้กางเขน และ การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระเยซูเจ้า นี่คือการสมโภชที่สำคัญที่สุดของปีพิธีกรรมในพระศาสนจักร การเฉลิมฉลองนี้ทำให้เรามองเห็นว่า พระเจ้าทรงห่วงใยเรามนุษย์จริงๆ พระองค์ทรงประทานพระบุตรแต่พระองค์เดียวมาตายเพื่อไถ่บาปของเรามนุษย์ ดังนั้นให้เรามอบถวายความไว้วางใจทั้งสิ้นไว้กับพระองค์
            โอกาสนี้พ่อขอนำเรื่องเล่าเกี่ยวกับการวางใจในพระเจ้ามาให้พี่น้องได้อ่านครับ
            หลายร้อยปีก่อน ทูตชาวอังกฤษคนหนึ่ง ขณะเดินทางเพื่อไปทำหน้าที่ที่ประเทศสวีเดน  เขามีความกังวลใจในภารกิจนี้มากถึงกับกินไม่ได้นอนไม่หลับ ระหว่างการเดินทางเขาแวะเข้าไปพักในโรงแรมแห่งหนึ่งพร้อมกับที่ปรึกษาของเขา  อาการนอนไม่หลับนั้นทำให้เขาต้องกระสับกระส่ายพลิกตัวไปมาตลอดเวลา เตียงที่เขานอนก็ส่งเสียงลั่นเอี๊ยดอ๊าด
            เมื่อได้ยินอย่างนี้ ที่ปรึกษาของเขาจึงไปเคาะประตูห้องที่เขานอนอยู่  เมื่อทูตคนนี้มาเปิดประตูให้ ที่ปรึกษาหนุ่มกล่าวกับเขาว่า   “ผมขออนุญาตถามคำถามท่านสักหนึ่งข้อเถิด?”
            “ว่าไปเลย” ท่านทูตตอบกลับอย่างรวดเร็ว
            “ขออภัยนะครับท่าน ท่านคิดใช่ไหมครับว่า พระเจ้าได้ทรงเอาใจใส่ดูแลโลกนี้มาอย่างดีตลอดเวลาก่อนที่ท่านจะเกิดมา?”
            “โอ้ว แน่นอนที่สุด”
            “แล้วท่านคิดใช่ไหมครับว่า พระองค์จะทรงดูแลโลกนี้อย่างดีต่อไปเช่นเดียวกันในขณะที่ท่านยังมีชีวิตอยู่?”
            คำถามนี้ไม่ต้องการคำตอบใดๆ ทูตผู้นั้นเข้าใจประเด็นแล้ว เขากล่าวกับที่ปรึกษาว่า “ราตรีสวัสดิ์” ปิดประตูห้อง แล้วกลับไปนอนหลับสนิทเหมือนกับเด็กๆที่ไม่มีความกังวลใจใดๆอีก
            “ผู้ที่วางใจในพระเจ้าก็เป็นสุข” (สดุดี 40:4)

                                                                                                                               คุณพ่อสุพจน์
 ...........................................................................................................................................                                                                                                                       
สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
                อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์มหาทรมานของพระเยซูเจ้าหรือที่เราเรียกกันว่าอาทิตย์ใบลาน เป็นการฉลองที่เป็นการเริ่มต้นเข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ก่อนการสมโภชปัสกาของพระเยซูเจ้า พระเยซูเจ้าทรงเสด็จเข้ามาที่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อมาร่วมงานฉลองปัสกาของชาวยิวเป็นประจำทุกปี และในครั้งนี้พระองค์ก็ทรงรู้ว่านี่เป็นครั้งสุดท้ายของพระองค์แล้ว เวลาของพระองค์มาถึงแล้วที่พระองค์จะกระทำพันธกิจของพระบิดาให้สำเร็จลุล่วงไป พระองค์ทรงรู้ตัวดีทุกอย่างว่าพระองค์กำลังทำอะไร ซึ่งแสดงให้เราเห็นถึงความสมัครใจที่จะปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้า นอกจากนี้พระองค์ทรงเชื้อเชิญเราทุกคนให้ปฏิบัติตามน้ำพระทัยของพระเจ้าในชีวิตของเรา โดยร่วมส่วนในพระทรมานของพระองค์หากเราต้องเผชิญกับความทุกข์ยากลำบาก และการถูกผจญ ความท้าทายต่างๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา
            ในระหว่างทางเดินไปยังเนินเขากัลป์วารีโอ พระเยซูเจ้าทรงได้รับความช่วยเหลือจากซีโมน ชาวไซรีน ซึ่งเป็นตัวแทนของศิษย์ทุกคนของพระเยซูเจ้า ผู้ช่วยแบ่งเบาภาระของเพื่อนมนุษย์ที่กำลังต่อสู้กับการแบกกางเขนในชีวิตของตน มีประชาชนจำนวนมากติดตามพระองค์ไป ในจำนวนนั้นมีสตรีกลุ่มหนึ่งที่เห็นใจพระเยซูเจ้าและเข้ามาปลอบโยนพระองค์ พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับพวกนางว่า “จงร้องไห้สงสารตนเองและลูกๆ เถิด” เพราะการเดินทางสู่เขากัลวารีโอของพระองค์จะเกิดขึ้นซ้ำอีกในความทุกข์ทรมานของคนทุกรุ่นที่ติดตามพระองค์ คริสตชนมองว่าความทุกข์ทรมานของตนเป็นการเข้าร่วมในพระทรมานของพระเยซูเจ้า
            ดังนั้นพระทรมานของพระเยซูเจ้าเตือนใจเราคริสตชนว่า...
1.       เราต้องสมัครใจแบกกางเขนของเราแต่ละคนและเดินไปยังเขากัลป์วารีโอ
2.    เราสามารถร่วมแบ่งเบาความทุกข์ยากลำบากของคนอื่นๆ ได้ด้วยการให้ความช่วยเหลือ และในขณะเดียวกันเราก็จะได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นๆ ด้วยเช่นกัน
3.       ความทุกข์ยากต่างๆ ในชีวิตของเราเป็นการร่วมส่วนในพระทรมานของพระเยซูเจ้า
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงแบกกางเขนของตนและติดตามพระองค์ไป” เราพร้อมที่จะปฏิบัติตามพระองค์แล้วหรือไม่?
                                                                                                                                                       คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอทาิตย์ที่ 17 มีนาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ขณะที่พี่น้องอ่านสารวัดฉบับนี้อยู่  คงเป็นไปได้ว่าการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่สำเร็จเสร็จสิ้นแล้ว และคงได้มีการประกาศตามธรรมประเพณีของพระศาสนจักรไปแล้ว ด้วยภาษาลาตินว่า “Habemus Papam” อ่านว่า "ฮาเบมุส ปาปัม" แปลว่า เรามีพระสันตะปาปาแล้ว ในช่วงระยะเวลานี้ ทั่วโลกต่างให้ความสนใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นที่วาติกันกันทั่วหน้า สื่อมวลชนจากสำนักข่าวทั่วโลกรายงานข่าวเกี่ยวกับการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่กันอย่างละเอียด มีการให้ข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับการเลือกตั้งนี้ทุกซอกทุกมุม เพื่อทำให้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้มีความน่าสนใจติดตามทั้งในแง่ของประวัติความเป็นมา ระเบียบ ขั้นตอน รวมไปถึงเรื่องราวภายในสำนักวาติกันที่จะถูกนำออกมาตีแผ่เพื่อตอบสนองต่อความสนใจของผู้คนทั่วโลก
            ในขณะที่พ่อเขียนข้อเขียนนี้  คณะพระคาร์ดินัลพึ่งจะได้มีการลงคะแนนเสียงรอบแรกเสร็จสิ้นไปแล้ว สัญลักษณ์ควันสีดำที่ออกมาจากปล่องไฟเหนือวัดน้อยซิสติน แสดงให้ทราบว่าการลงคะแนนครั้งนี้ยังไม่มีเสียงสนับสนุนเพียงพอตามข้อกำหนด ที่จะมีพระคาร์ดินัลองค์ใดได้รับความชื่นชอบ มีเสียงสนับสนุนมากพอจะได้รับการประกาศให้เป็นพระสันตะปาปา
            สิ่งที่พ่อคิดว่า บุคคลที่ควรได้รับความไว้วางใจให้ก้าวเข้าสู่ตำแหน่งประมุขของพระศาสนจักรคาทอลิก สืบตำแหน่งจากนักบุญเปโตรผู้นำพระศาสนจักรคนแรก ก็คือบุคคลที่พร้อมจะทำหน้าที่อย่างที่พระคาร์ดินัล อันเจโล โซดาโน่ ได้กล่าวเอาไว้ในบทเทศน์ในมิสซาก่อนการประชุมลับที่เรียกว่า "คองเคลฟ" จะเกิดขึ้น ท่านนำภาวนาว่า "ขอพระเจ้าโปรดประทานพระสันตะปาปากับเรา ผู้ซึ่งจะมาสืบสานพันธกิจที่สูงส่งนี้ ด้วยหัวใจที่เผื่อแผ่กว้างขวาง" บทเทศน์ของพระคาร์ดินัล อันเจโล โซดาโนผู้ดำรงตำแหน่งหัวหน้าของคณะพระคาร์ดินัล เผยให้เห็นว่า พระสันตะปาปาคือ ผู้อภิบาลที่แท้จริง ที่เต็มเปี่ยมด้วยการอุทิศตนเพื่อสืบสานพันธกิจแห่งความเมตตา และเป็นผู้ประกาศถึงองค์พระคริสตเจ้า และนี่คือเป้าหมายสำคัญประการแรกและเป็นเรื่องหลักที่จะต้องปฏิบัติ ในการเป็นผู้นำหมู่มวลประชากรของพระเจ้า
            แม้ ณ เวลานี้ เราจะมีพระสันตะปาปาองค์ใหม่แล้ว หรือว่า กระบวนการเลือกตั้งยังไม่สำเร็จเสร็จสิ้นก็ตาม ในส่วนของเราคริสตชน เราจงภาวนาเพื่อพระศาสนจักรเสมอ พระศาสนจักรเป็นประดุจนาวาลำใหญ่ที่แล่นไปในมหาสมุทรที่กว้างใหญ่ไพศาล เราแต่ละคนร่วมอยู่ในนาวาแห่งความเชื่อลำนี้ เราจึงภาวนาเพื่อให้นาวาแห่งความเชื่อลำนี้จะสามารถฟันฝ่าคลื่นลม จนไปถึงฟากฝั่งแห่งความหวัง ที่พระเจ้าทรงรอคอยเราอยู่ด้วยพระทัยเมตตา
หมายเหตุ : พระสันตะปาปาใหม่ของเรา มีพระนามว่า "สมเด็จพระสันตะปาปาฟรานซิส" ก่อนหน้าที่จะได้รับการเลือกให้เป็นพระสันตะปาปา ดำรงตำแหน่งเป็นพระอัครสังฆราชแห่งบัวนอส ไอเรส ประเทศอาร์เจนตินา พระองค์มีชื่อว่า Jorge Mario Bergoglio, S.J. เกิดเมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 1936 ที่กรุงบัวนอส ไอเรส
                                                                                                                                พ่อสุพจน์
                     ..........................................................................


 สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส
ประมุของค์ที่ 266 ของพระศาสนจักรคาทอลิก


สมเด็จพระสันตะปาปา ฟรานซิส เป็นบุตรของชาวอิตาเลี่ยนที่อพยพไปอยู่ประเทศอาร์เจนติน่า บิดาเป็นคนงานการรถไฟในเมืองตูริน อิตาลี แรกเริ่มนั้นพระองค์ท่านต้องการเรียนเป็นนักเคมี แต่เมื่อปี ค.ศ.1958  ท่านตัดสินใจสมัครเข้าคณะเยสุอิตและได้บวชเป็นพระสงฆ์ในที่สุด 
พระสันตะปาปา ฟรานซิส มีพระนามเดิมว่า พระคาร์ดินัล ฮอร์เก้ เบร์โจโญ่ ประมุขอัครสังฆมณฑลบัวโนสไอเรส ประเทศอาร์เจนติน่า ท่านได้รับแต่งตั้งเป็นพระคาร์ดินัลใน ปี ค.ศ. 2001 โดย บุญราศีสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 
พระสันตะปาปา ฟรานซิส เป็นคนที่ทำงานเพื่อผู้ยากไร้มาตลอด นอกจากนี้ในสมัยเป็นพระคาร์ดินัล ท่านปฏิเสธการมีรถประจำตำแหน่ง ภาพที่ทุกคนนึกถึงพระองค์ท่านคือ ปี 2001 พระองค์ท่านไปถวายมิสซาวันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์ในศูนย์ผู้ป่วยโรคเอดส์ และได้ ล้างเท้าและจุมพิตเท้าของผู้ป่วยโรคเอดส์ 12 คนด้วย
อีกจุดเด่นของพระองค์ท่าน คือ ยังเป็นคนที่มีความคิดอนุรักษ์นิยม เนื่องจากพระองค์ท่านมาจากคณะเยสุอิต จึงเน้นเรื่องการอภิบาลจิตใจอย่างเคร่งครัด
หลังจากปรากฏพระองค์ต่อหน้าสัตบุรุษและจะกลับไปหอพักซางตา มาร์ธา พระสันตะปาปา ฟรานซิส ปฏิเสธจะนั่งรถประจำตำแหน่งพระสันตะปาปา แต่เลือกจะนั่ง รถบัสกลับไปพร้อมกับคณะพระคาร์ดินัล ...
                                                                                                            (ข้อมูลจาก Pope Report)

วันเสาร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 10 มีนาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ในระหว่างเทศกาลมหาพรตนี้ เราภาวนาและทำกิจศรัทธาพิเศษด้วยการเดินรูป 14 ภาค เพื่อรำลึกถึงพระธรรมล้ำลึกแห่งการรับทรมาน สิ้นพระชนม์บนกางเขนของพระเยซูเพื่อไถ่บาปเรามนุษย์ พ่อขอนำเอาประวัติ "การเดินรูป 14 ภาค" มาให้พี่น้องได้อ่านเพื่อจะทราบความเป็นมาดั้งเดิมของกิจศรัทธาประการนี้ครับ
พ่อสุพจน์

เดินรูป 14 ภาค
เทศกาลมหาพรต เป็นเทศกาลที่พวกเราคริสตชนจะต้องเอาใจใส่พระวาจาของพระเป็นเจ้า และอุทิศตนเองเพื่อการอธิษฐานภาวนาบำเพ็ญกิจเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ เพื่อเตรียมสมโภชปัสกาที่พระเยซูเจ้าผู้ทรงรับทรมาน สิ้นพระชนม์และกลับคืนชีพ
            พูดถึงการอุทิศตนเพื่อการรำพึงภาวนา คริสตชนสามารถปฏิบัติได้หลายวิธี เป็นต้น ทางกางเขน (Way of the Cross) ที่ชาวบ้านเรียกกันว่า ”เดินรูป 14 ภาค” หรือ “มรรคาศักดิ์สิทธิ์” ซึ่งเรากระทำกันในวันศุกร์ระหว่างเทศกาลมหาพรต
            คริสตชนสมัยแรกๆ นิยมการเดินรูป 14 ภาค เข้าใจว่าธรรมเนียมนี้เกิดจากการพยายามเลียนแบบแม่พระที่เดินทางไปเยี่ยมสถานที่ศักดิ์สิทธิ์บ่อยๆ หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์ (ตามคำบอกเล่าของนักบุญบริจิต ที่ได้รับการไขแสดง) คริสตชนพวกนี้นิยมจาริกแสวงบุญไปตามสถานที่สำคัญต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์ในชีวิตของพระเยซูเจ้า เช่น สวนเกทเสมนี สถานที่ตัดสินพระเยซูเจ้า ฯลฯ
            เมื่อคริสตชนจำนวนมากได้ไปเยี่ยมนครศักดิ์สิทธิ์ (กรุงเยรูซาเล็ม) และเดินตามสถานที่ต่างๆ ก็ได้มีการเขียนบันทึกประสบการณ์ และไม่ช้าก็กลายเป็นประเพณีศักดิ์สิทธิ์ที่มีพระคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง ต่อมามีการกำหนดเส้นทางการเดินตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ที่มีความสัมพันธ์กับเหตุการณ์พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าที่จารึกไว้ในพระคัมภีร์ นอกจากนี้ พวกเขาปรารถนาที่จะระลึกถึงชีวิตทั้งครบของพระเยซูเจ้ารวมทั้งคำสั่งสอนของพระองค์
            ในระหว่างสงครามครูเสด (Crusade) การเดินทางไปแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์เป็นสิ่งอันตราย ทั้งนี้เนื่องมาจากภาวะสงครามในสมัยกลางระหว่างศตวรรษที่ 12-13 คริสตชนในยุโรปมีความศรัทธาต่อพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้ามาก โดยเฉพาะพวกทหารผ่านศึกในสงครามครูเสดได้สร้างแบบจำลองสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่ตนได้เคยเห็นมาไว้ในบ้านของตน ในปี 1342 คณะฟรังซิสกันได้รับหน้าที่ให้ดูแลสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในกรุงเยรูซาเล็ม ซึ่งพวกท่านถือเป็นเกียรติและหน้าที่ที่จะเผยแพร่ความศรัทธาต่อพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า โดยเริ่มครั้งแรกในอารามก่อน และคริสตชนก็สามารถเข้าร่วมพิธีเดินรูป 14 ภาคโดยไม่ต้องคำนึงถึงสถานะทางการเมืองในขณะนั้น
            การแพร่หลายของพิธีเดินรูป 14 ภาคเกิดจากสาเหตุสำคัญ 2 ประการ คือ นักบุญเลียวนาร์ดแห่งปอร์ตมอริส ได้อุทิศชีวิตของตนเพื่อการสอนและการเดินรูป 14 ภาค ประการที่สอง สมเด็จพระสันตะปาปาได้ประกาศประทานพระคุณการุณย์แก่ผู้เข้าในพิธีเดินรูป 14 ภาค เป็นต้นปี 1731 พระสันตะปาปาเคลเมนต์ที่ 12 ทรงประกาศสนับสนุนมรรคาศักดิ์สิทธิ์ หรือ การเดินรูป 14 ภาค จึงเป็นกิจศรัทธาที่ได้รับพระคุณการุณย์อย่างมากมาย เป็นที่สังเกตว่า การเดินรูปนี้เป็นการรำพึงไปตามสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ ซึ่งต่อมาก็มีการใช้รูปภาพหรือรูปปั้น และที่สำคัญทุกรูปจะมีกางเขนเป็นส่วนประกอบสำคัญ ซึ่งอาจะสันนิษฐานได้ว่า ในกรุงเยรูซาเล็ม สถานที่สำคัญต่างๆ มีกางเขนเป็นเครื่องหมาย อีกประการหนึ่ง “มรรคาศักดิ์สิทธิ์” หรือ “ทางกางเขน” ปัจจุบันมักเพิ่มสถานที่ 15 พระเยซูทรงกลับคืนพระชนม์เข้าไปด้วย เพื่อทำให้เราเข้าใจปัสกาของพระเยซูเจ้าสมบูรณ์มากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ทางกางเขน คือ การเดินจากสถานที่หนึ่งไปยังอีกสถานที่หนึ่ง มิใช่การนั่งและรำพึงอยู่กับที่ ยกเว้นผู้ที่ไม่สบายหรือมีปัญหาด้านสุขภาพ หรือ มีผู้เข้าร่วมมากจนไม่อาจเคลื่อนที่ได้โดยสะดวก อาศัยการรำพึงภาวนา “ทางกางเขน” หรือ พระมหาทรมานของพระเยซูเจ้าในระหว่างเทศกาลมหาพรตนี้ น่าจะช่วยให้เราเข้าใจ “ความจริงแห่งชีวิต” ของเรามากขึ้น
จงละทิ้งบาปทั้งปวงที่เจ้าได้กระทำต่อเราเสีย จงเปลี่ยนแปลงนิสัยและแก้ไขจิตใจเสียใหม่”
(จากหนังสือ ปัสกากับคริสตชนบาทหลวง มิเกล กาไรซาบาล, SJ.)

 ..............................................................................................................................................

  การอธิษฐานภาวนา คืออ๊อกซิเจนของจิตวิญญาณ
“Prayer is the oxygen of soul” (Saint Padre Pio)
สวัสดีพี่น้องที่รัก
เราได้เดินทางมหาพรตมาสู่สัปดาห์ที่ 4 แล้ว ระยะเวลาแห่งการชำระจิตใจด้วยการภาวนา การอดอาหาร และการทำบุญทำทาน เป็นอย่างไรกันบ้าง
“ก่อนการตัดสินใจครั้งสำคัญ พระองค์ทรงแยกตัวออกไปอธิษฐานภาวนา” พี่น้องครับ เมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อชาวกรุงเทพฯ และต่อประเทศไทย ส่วนในพระศาสนจักรเอง ในยุคสมัยของเรานี้นับว่าได้มีโอกาสเห็นการเลือกตั้งพระสันตะปาปาถึง 2 องค์ ไม่ห่างกันนัก (ส่วนบางคนอาจ 3-4 องค์ ตามแต่วัย) ซึ่งการเลือกตั้งพระสันตะปาปาพระองค์ใหม่จะเริ่มอีกไม่นานนี้ มีการเลือกตั้งหรือพิจารณาอะไรที่สำคัญอีก พ่อนึกถึงพระศาสนจักรไทยของเราเช่นกัน เมื่อมีการเลือกพระสังฆราชใหม่เป็นต้น หรือแม้แต่เมื่อคณะกรรมการสงฆ์ทำการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายพระสงฆ์ในโอกาสที่จะมาถึง คือเดือนเมษายนนี้ เพราะพ่อก็รอคอยคำสั่งจากการเลือกอันสำคัญครั้งนี้อยู่เหมือนกัน
ยังมีการพิจารณาเช่นนี้อยู่ในบ้านเณรด้วย เมื่อผู้ใหญ่ในบ้านเณรจะอนุมัติให้ใครผ่านเกณฑ์และสามารถก้าวเข้าไปรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์ได้นั้น ก็ต้องมีการคิดพิจารณาอย่างหนักเลยทีเดียว
แต่สิ่งที่เหมือนกันในทุกการเลือกหรือพิจารณาก็คือ “การอธิษฐานภาวนา”
ดังนั้นเมื่อมีการประชุมลับเพื่อเลือกตั้งพระสันตะปาปานั้น เหล่าพระคาร์ดินัลจะสวดภาวนา เฝ้าศีลมหาสนิท ขอการส่องสว่างของพระจิตเจ้านำทาง เช่นเดียวกับการเลือกให้เณรคนหนึ่งผ่านหรือไม่ผ่านนั้นก็ต้องเริ่มต้นด้วยการภาวนาทั้งนั้น
พระเยซูเจ้าเองทรงอธิษฐานภาวนาเสมอ ตั้งแต่มหาพรตสัปดาห์แรกเราก็ได้ยินเรื่องที่พระองค์ทรงเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร 40 วัน 40 คืน ก่อนจะทรงถูกผจญและเริ่มงานเทศน์สอนของพระองค์ มหาพรตสัปดาห์ที่ 2 พระเยซูเจ้าก็ขึ้นภูเขาไปภาวนาพูดคุยกับพระบิดาอีก ก่อนจะเดินทางไปยังกรุงเยรูซาเล็ม เพื่อทำให้พระประสงค์ของพระบิดาสำเร็จไปด้วยการสิ้นพระชนม์ที่เขากัลวารีโอ มหาพรตสัปดาห์ที่สาม พระเยซูเจ้าทรงสอนให้เราอภัยกัน ให้โอกาสกับคนอื่นเหมือนที่พระให้โอกาสเรา ยิ่งต้องการคำภาวนาอย่างมากเพื่อจะทำสิ่งกล้าหาญเช่นนั้นได้ สัปดาห์ที่ 4 ในเทศกาลมหาพรตนี้ คงเป็นชีวิตของคนเป็นพ่อเป็นแม่เลยล่ะ ที่แม้ลูกจะทำผิด เดินหลงทางไป แต่ก็เฝ้าคอยสวดภาวนาทุกวี่วันให้ลูกได้กลับบ้าน สวดให้เกิดความเข้าใจอันดีในครอบครัวของตนด้วย (ลูกคนไหนที่รู้ตัวว่าทำให้พ่อแม่หนักใจ หันกลับมาคิดได้แล้วนะครับ ว่าถึงเวลาที่เราต้องกลับใจแล้ว)
พี่น้องครับ ชีวิตของเรามีเรื่องราวให้ต้องเลือกต้องตัดสินใจอยู่เสมอ บางคนอาจต้องตัดสินใจแทบทุกวินาที คำโปรยหัวเรื่องข้างต้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับเราคริสตชนเลย หากเราจะมีการภาวนาเป็นประดุจลมหายใจเข้า-ออก
ไม่ทราบเหมือนกันว่าก่อนไปเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพฯ ครั้งที่ผ่านมานั้น พี่น้องได้ภาวนาขอพระจิตเจ้าก่อนไปเลือกหรือเปล่า?
อยากให้พี่น้องทุกคนมีการอธิษฐานภาวนาเป็นออกซิเจนของจิตวิญญาณอย่างแท้จริงครับ
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 มีนาคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            เป็นที่ทราบกันดีว่า สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงตัดสินพระทัยลาออกจากตำแหน่งผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิก ซึ่งมีผลตั้งแต่วันที่ 28 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ซึ่งทำให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งพระสันตะปาปาองค์ใหม่ ระหว่างนี้จึงถือว่าเป็นช่วงของการที่เรารอการขึ้นมาดำรงตำแหน่งของพระสันตะปาปาองค์ใหม่ พ่อจึงขอนำเอาบทแปลพระดำรัสของพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ที่ตรัสในการเข้าเฝ้าทั่วไปครั้งสุดท้ายของพระองค์มาให้พี่น้องได้อ่าน

พ่อสุพจน์



บทแบ่งปัน (บางส่วน) ของ สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16 ตรัสในการเข้าเฝ้าทั่วไป (ครั้งสุดท้าย) ใจความว่า ....
ขอบคุณทุกคน วันนี้ พ่อได้เห็นพระศาสนจักรมีชีวิตชีวาสุดๆ ขอบคุณพระเจ้าสำหรับอากาศที่งดงาม แม้จะเป็นฤดูหนาวก็ตาม เหนือสิ่งอื่นใด ขอบคุณพระเจ้าผู้นำพาพระศาสนจักรและทำให้พระศาสนจักรเจริญเติบโต ขอบคุณพระเจ้าสำหรับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆที่ทรงประทานมาเป็นแบบอย่างให้กับพวกเราได้ดำเนินชีวิตตาม”

พ่อมั่นใจอย่างแรงกล้าว่า พระวาจาของพระเจ้าคือพระวาจาแห่งความจริงซึ่งจะเป็นความเข้มแข็งและเป็นชีวิตให้พระศาสนจักร พระเจ้าทรงนำทางพ่ออย่างแท้จริง พระองค์ทรงอยู่ข้างๆพ่อ พ่อสามารถสัมผัสได้ในชีวิตประจำวัน”

ตลอดสมณสมัยของพ่อ มันมีทั้งช่วงเวลาแห่งความสุข ความทุกข์ และความสว่าง แน่นอนว่า มันไม่ใช่ช่วงเวลาที่ง่ายเลย ช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก พ่อรู้สึกเหมือนนักบุญเปโตร ผู้อยู่บนเรือที่ทะเลสาบกาลิลี บางเวลาคลื่นลมโหมกระหน่ำ บางเวลาน้ำซัดเรือโคลง มันเหมือนพระเจ้าทรงเงียบหายไป”

แต่ทั้งหมดนี้ พ่อยังมอบความวางใจในพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่เคยทอดทิ้งเรา ไม่เคยทอดทิ้งพระศาสนจักร โดยปราศจากความรักและแสงสว่าง จงมอบความวางใจในพระหัตถ์พระเจ้าเหมือนเด็กๆที่วางใจพระองค์ แน่นอนว่า พระหัตถ์นี้จะประคองเราเวลาเดินและจูงเราตลอด พ่ออยากให้ทุกคนได้สัมผัสถึงความรักของพระเจ้า ผู้ทรงมอบพระบุตรองค์เดียวเพื่อเราและไม่เคยสิ้นสุดที่จะรักเราเลย”
ขอบคุณพระคาร์ดินัล พระสังฆราช ทุกคนในวาติกัน คณะนักบวช และสัตบุรุษทั่วโลกที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพ่อ พ่อขอขอบคุณทุกคนที่ทำงานเพื่อรายงานข่าวออกไปอย่างดี”

อย่างที่พ่อเคยบอกว่า พ่อรู้สึกถึงพละกำลังที่ถดถอยเรื่อยๆ พ่อได้วอนขอพระเจ้าโปรดประทานการตัดสินใจที่ดีที่สุด ไม่เฉพาะพ่อ แต่เพื่อพระศาสนจักร พ่อเลือกทางเดินนี้ด้วยสติสัมปชัญญะทั้งครบ พร้อมจิตวิญญาณที่เงียบสงบ ความรักที่มีต่อพระศาสนจักรหมายถึงการมีความกล้าหาญที่จะทำในสิ่งที่ยากลำบาก ทำในสิ่งที่อาจเจ็บปวด แต่เป็นสิ่งดีเพื่อพระศาสนจักร ไม่ใช่ตัวเอง”

การเป็นพระสันตะปาปา มันไม่มีความเป็นส่วนตัว แต่หมายถึงอุทิศตนทั้งหมดเพื่อพระศาสนจักร เพื่อประชากรของพระเจ้าทุกคน”

พ่อกำลังจะไม่มีบทบาทอำนาจในพระศาสนจักร แต่พ่อจะรับใช้พระศาสนจักรด้วยการภาวนาตลอดไป”

พี่น้อง โปรดภาวนาเพื่อตัวพ่อด้วย และอย่าทิ้งพระเจ้า อย่าทิ้งพระศาสนจักร!”