สวัสดีครับพี่น้อง
เดือนกันยายนนี้มีวันฉลองหลายวันที่สำคัญที่ควรกล่าวถึง
วันนี้พ่ออยากกล่าวถึงวันฉลองแม่พระบังเกิด ซึ่งตรงกับวันที่ 8 กันยายน
เนื่องจากพระนางมารีย์เป็นบุคคลสำคัญที่พระเจ้าทรงเลือกสรรให้ทำหน้าที่เป็นมารดาของพระผู้ไถ่
พระศาสนจักรจึงถวายเกียรติแด่พระนางมารีย์ด้วยการกำหนดวันฉลองพระนางในหลายวาระ
หลายโอกาสในรอบปฏิทินปีพิธีกรรม
พิธีการถวายคารวกิจแด่พระนางมารีย์ที่พระศาสนจักรจัดถวายนั้น
แม้เป็นลำดับรองลงมาจากพระเจ้า แต่ก็ดูเหมือนจะพิเศษกว่าการฉลองนักบุญต่างๆ และ
วันฉลองวันเกิดของพระนางมารีย์พรหมจารีย์ ก็เป็นวันฉลองวันหนึ่งในวันฉลองทั้งหมดที่พระศาสนจักรจัดถวายแด่พระนาง
สิ่งที่จะกล่าวต่อไปคือคำถามที่ว่า
แล้ววันเกิดของแม่พระนั้นยังประโยชน์อันใดให้กับมวลมนุษยชาติ? แล้วทำไมเรามนุษย์จึงเฉลิมฉลองวันเกิดของพระนางอย่างพิเศษ คำตอบคือว่า
แม้พระนางมารีย์นั้นเป็นมนุษย์อยู่ในธรรมชาติ แต่พระเจ้าก็เตรียมพระนางอย่างพิเศษกว่ามนุษย์คนอื่นๆ
ด้วยการให้พระนางบังเกิดมาโดยปราศจากบาปกำเนิด
ทำให้ชีวิตของพระนางนั้นมีคุณค่าพิเศษกว่ามนุษย์อื่นใด พระนางเป็นประดุจดอกลิลลี่
ที่บริสุทธิ์งดงาม อย่างหาที่เปรียบมิได้ ในค่ำคืนอันมืดมิดในดินแดนเนรเทศแห่งนี้
พระนางได้รับพระพรที่พระเจ้าทรงประทานให้กับพระนางอย่างเต็มเปี่ยม
พระองค์ทรงบันดาลให้พระนางประกอบไปด้วยบุคลิกภาพที่งดงาม ด้วยเหตุนี้
พระนางจึงได้รับพระพรที่ยิ่งใหญ่และมีค่าสูงสุดที่พระเจ้าประทานให้อย่างที่ไม่เคยมีมนุษย์คนใดเคยได้รับมาก่อน
และเพราะพระนางได้รับสถานะพิเศษให้พ้นจากบาปกำเนิด
พระนางจึงได้รับมีความพร้อมที่จะใช้เหตุใช้ผลอย่างพร้อมมูลตั้งแต่พระนางปฏิสนธิในครรภ์มารดา
ความคิดของพระนางนั้นสูงส่ง และ ครรภ์ของนักบุญอันนาที่เป็นสถานที่ปฏิสนธิของพระนางมารีย์นั้นเป็นประดุจวิหารที่โอบอุ้มพระนางไว้ ณ ที่นั้นพระนางวิงวอนขอเพื่อมวลมนุษยชาติ และ
ภาวนาเพื่อเราด้วยปรีชาญาณสูงสุดที่เป็นพรที่ได้รับมาจากพระเจ้า
สำหรับการบังเกิดมาของพระผู้ไถ่
พระนางจึงเป็นแหล่งที่มาของพระพรนานัปการที่สามารถช่วยเหลือเรามนุษย์ทุกคนได้
ในพระคัมภีร์บันทึกเอาไว้ว่า แม้แต่เสื้อคลุมกายที่พระเยซูทรงสวมใส่ยังช่วยให้ผู้สัมผัสแตะต้องได้รับพระพรแห่งการช่วยเหลือได้
เมื่อเป็นอย่างนี้ เราสามารถจินตนาการได้ว่า พระนางมารีย์ พระมารดาของพระผู้ไถ่
จึงเป็นที่มาของพระพรนานัปการสำหรับทุกคนที่เข้ามาหาพึ่งพระนาง
และด้วยเหตุผลนี้แหละที่เราสามารถกล่าวได้ว่า วันเกิดของแม่พระนั้น เป็นวันที่ พระพรมากมายมหาศาลของพระเจ้า
ได้ส่องแสงมายังมนุษยชาติ และ ความชั่วก็เริ่มถดถอยออกไปจากเรามนุษย์
ในช่วงเวลาของการบังเกิดของพระนางนั้น
โลกของเราถูกปล่อยให้ตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของการไม่รู้จักพระเจ้า
การนับถือเทพเจ้าเป็นที่แพร่หลายโดยทั่วไป ชัยชนะของความชั่วและปีศาจแผ่ขยายอาณาบริเวณออกไปโดยทั่ว
แต่ในเวลานี้เองพระเจ้า ผู้ทรงพระทัยเมตตา ได้บันดาลให้พระนางได้บังเกิดมา
ซึ่งเท่ากับว่า เป็นจุดเริ่มต้นของการล่มสลายของอาณาจักรแห่งความชั่ว
วันเกิดของพระนางมารีย์ เป็นจุดเริ่มต้นของยุคใหม่ ถัดจากยุคพันธสัญญาเดิม
ประวัติศาสตร์แห่งความรอดแห่งพันธสัญญาเดิมได้รอคอยการเสด็จมาของพระผู้ไถ่มาอย่างยาวนาน
ภายหลังจากที่บิดามารดาเดิมของเรามนุษย์ตกในบาป มนุษยชาติรอองค์พระผู้ไถ่มานานถึง 3000
ปี หรืออาจมากกว่านั้น แต่ในจังหวะเวลานั้น พระญาณสอดส่องของพระเจ้า
บันดาลให้สตรีผู้หนึ่งได้บังเกิดมา เพื่อให้พระผู้ไถ่ได้จุติมายังโลก
การบังเกิดมาของพระนางแสดงถึง
การเข้ามายังโลกเยี่ยงสิ่งสร้างที่สมบูรณ์ของพระเจ้าที่เต็มเปี่ยมด้วยพระพรเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า
ที่เปี่ยมด้วยกุศลเพียงพอที่จะทำให้การรอคอยอันยาวนานนั้นสิ้นสุดลง
คำภาวนาทั้งมวล ความทุกข์ยากทั้งสิ้น และ ความสัตย์ซื่อของผู้ชอบธรรม
ทั้งที่ยังมีชีวิตอยู่ และ
ผู้ที่สิ้นใจไปแล้วได้บรรลุถึงจุดสูงสุดในการบังเกิดมาของพระนางมารีย์
โดยที่ก่อนหน้านี้ ทั้งบรรดาผู้นำความเชื่อ บรรดาประกาศก และ
ผู้ชอบธรรมในมวลประชากรที่เลือกสรร รวมไปถึงผู้ชอบธรรมในพงศ์พันธุ์ของชนต่างชาติได้ร่วมกันภาวนาวิงวอน
แม้ต้องเผชิญกับความยากลำบาก และ ได้รอคอยมานานแสนนาน
ก็ยังไม่พอเพียงที่จะส่งผลให้เวลาแห่งการไถ่บาปมวลมนุษยชาติมาถึง
แต่เมื่อพระเจ้าทรงมีพระประสงค์
พระองค์บันดาลให้สิ่งสร้างที่สมบูรณ์ได้บังเกิดมาเพื่อเป็นมารดาของพระผู้ไถ่ ด้วยเหตุนี้การบังเกิดมาในโลกของพระนางจึงเป็นจุดเริ่มของช่วงเวลาแห่งการไถ่บาปมวลมนุษย์
ความสัมพันธ์ของพระเจ้ากับมนุษย์เริ่มได้รับการปรับปรุง และ
ประตูสวรรค์ที่เคยปิดสนิทได้เปิดแง้มขึ้นแล้ว
เพื่อให้แสงสว่างและความสดชื่นแห่งความหวังได้ฉายแสงส่องผ่านออกมา
ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น วันฉลองวันเกิดของพระนางมารีย์
จึงเป็นวันที่เรามีความชื่นชมยินดีเป็นอย่างยิ่ง ในฐานะที่เราเป็นลูกของพระนาง
ไม่ใช่ด้วยเพราะคุณงามความดีของเราเอง
แต่เป็นเพราะพระนางเลือกที่จะเป็นมารดาของชาวเรา
วันนี้จึงเป็นวันที่เราควรวอนขอต่อพระนางเป็นพิเศษ
ผู้มีความเชื่อศรัทธาแก่กล้าในพระเจ้าหลายคนเคยได้รับนิมิตของพระนางมารีย์กล่าวว่า
วันฉลองแม่พระนั้น พระนางจะเสด็จไปเยี่ยมไฟชำระ
เพื่อปลดปล่อยดวงวิญญาณมากมายให้เข้าสู่สวรรค์กับพระนาง ด้วยเหตุนี้ในทุกวันฉลองของพระนางมารีย์
พระพรของพระนางจะโอบอุ้มเราและ ช่วยอุปถัมภ์ค้ำจุนเราอย่างเหลือประมาณ
ขอพระแม่มารีย์พระมารดาพระเจ้า ราชินีแห่งสวรรค์
ช่วยวิงวอนเพื่อเราทุกคนเสมอไปเทอญ
คุณพ่อสุพจน์
..................................................................................................................................................................
พี่น้องที่รักทุกท่าน
สืบเนื่องต่อจากครั้งที่แล้วที่กล่าวถึงการแห่เข้าของขบวนพระสงฆ์เข้ามาในวัด
เมื่อมาถึงบริเวณพระแท่น พระสงฆ์จะเข้ามาคำนับพระแท่น
ตามธรรมเนียมปฏิบัติของยุโรปจะใช้วิธีการจูบพระแท่น
แต่ประเทศไทยได้ดัดแปลงมาใช้วิธีการพนมมือกราบบนพระแท่นแทน
เพื่อให้เข้ากับขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทย
พระแท่นเป็นเครื่องหมายถึงองค์พระคริสตเจ้าเอง ในสมัยกลางมีความนิยมนับถือมรณสักขีและขอให้ท่านช่วยอ้อนวอนพระเจ้าแทนมากขึ้น
การคารวะพระแท่นจึงผันแปรไปเป็นการคารวะพระธาตุนักบุญซึ่งบรรจุบนพระแท่นแทน
โดยลืมนึกไปว่าผู้ที่เขาควรคารวะก่อนอื่นใดหมดคือพระคริสตเจ้าซึ่งมีพระแท่นเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์
จากนั้นอาจจะมีการถวายกำยานแด่พระแท่นด้วยก็ได้ การถวายกำยาน
เป็นการแสดงออกถึงความเคารพ หมายถึงคำภาวนาซึ่งลอยขึ้นไปถึงพระเบื้องบน
นอกนั้นควันกำยานที่ปกคลุมบริเวณสักการสถานทำให้เกิดบรรยากาศของความศักดิ์สิทธิ์อีกด้วย
เมื่อเพลงแห่เข้าจบลงแล้ว
พระสงฆ์และที่ประชุมทั้งหมดต่างทำเครื่องหมายกางเขน ครั้นแล้วพระสงฆ์กล่าวทักทายสัตบุรุษเป็นการแสดงให้เห็นว่า
พระผู้เป็นเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางพวกเขา โดยการทักทายและการตอบรับของสัตบุรุษ
แสดงให้เห็นถึงธรรมล้ำลึกของพระศาสนจักรที่ร่วมชุมนุมกัน คำทักทายว่า
“พระเจ้าสถิตกับท่าน” (Dominus
Vobiscum) เป็นคำทักทายของพระคริสตเจ้าดั้งเดิมและนำมาใช้ในบูชามิสซาอีกหลายหน
เช่น ก่อนอ่านพระวรสาร และตอนเริ่มบทเริ่มขอบพระคุณ
ประโยคทักทายนี้มาจากพระคัมภีร์ (วนฉ 6: 12; ลก 1: 28)
เป็นการยืนยันว่าพระเจ้าสถิตอยู่ท่ามกลางชุมนุมที่มาประชุมกันในมิสซานั้นๆ
นอกจากนี้คำทักทายของพระสงฆ์ยังมีอีก 2 แบบ คือ “ขอให้ท่านจะได้รับพระหรรษทานของพระเยซูคริสตเจ้า
ความรักของพระบิดา และความสัมพันธ์กับพระจิต” และ
“ขอให้ท่านจงได้รับพระหรรษทานและสันติสุขจากพระเป็นเจ้า พระบิดา
และจากพระเยซูคริสตเจ้า” ซึ่งทั้งสองแบบมาจากจดหมายของนักบุญเปาโล (2คร 13: 14; รม 1: 7) และต่อจากนั้นพระสงฆ์อาจให้คำนำความสั้นๆ
เกี่ยวกับมิสซา เป็นการเชิญชวนสำหรับการฉลองและการมีส่วนร่วมพิธีมิสซาในวันนั้น
จะเห็นได้ว่าสิ่งที่เป็นศูนย์กลางของวัดหรือของที่ประชุมสัตบุรุษนั้นก็คือ
พระแท่นซึ่งหมายถึงพระคริสตเจ้าเอง
ฉะนั้นพระคริสตเจ้าจึงเป็นศูนย์กลางสำหรับเราทุกคน
เป็นศูนย์รวมจิตใจของเราคริสตชนทุกคน
ดึงดูดเราทุกคนให้เข้ามาหาพระองค์ในการนมัสการพระเจ้าและการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันกับพี่น้องสัตบุรุษ
การทักทายของพระสงฆ์ว่า “พระเจ้าสถิตกับท่าน”
เป็นการย้ำถึงการประทับอยู่ของพระคริสตเจ้าท่ามกลางเราทุกคน พระเจ้ารักเราทุกคนและมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา
เรารักพระเจ้ามากเพียงใดและเราให้เวลากับพระองค์มากน้อยเพียงใด...
คุณพ่อศวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น