วันศุกร์ที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 2 กันยายน 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
มีหลายครั้งที่พ่อได้รับคำถามว่า คาทอลิก กับ คริสเตียนต่างกันอย่างไร? คำถามนี้แม้จะได้ยินบ่อยๆ แต่ก็แสดงให้เห็นว่ายังมีคนอีกมากมายที่ยังสงสัย และ สับสน กับเรื่องนี้มากทีเดียว วันนี้จึงอยากกล่าวถึงเรื่องนี้สักหน่อย เพื่อให้เกิดความกระจ่างชัด ประการแรก อยากกล่าวว่า ทุกคนที่ได้รับศีลล้างบาปในนามของพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระจิตนั้นได้ชื่อว่า เป็น"ชาวคริสต์" หรือ อีกนัยหนึ่งเป็น "คริสตชน" ในภาษาอังกฤษเรียกรวมๆกันโดยใช้คำว่า  “Christian”  (อ่านว่า คริสเตียน) ประการต่อมาที่อยากให้คำอธิบายเพิ่มเติมก็คือ คาทอลิก ออร์โทดอกซ์ และ โปรแตสตัน คือนิกายหลักสำคัญๆที่มีมวลสมาชิกศาสนิกรวมกันแล้วมีจำนวนมากถือเป็นส่วนใหญ่ของชาวคริสต์ทั้งหมดในโลกของเรา ประเด็นต่อมาก็คือ คาทอลิก และ ออร์โทดอกซ์ เป็นสองนิกายที่มีความเข้าใจเกี่ยวกับเรื่องศีลศักดิ์สิทธิ์ เรื่องบทบาทสำคัญของพระสงฆ์และ พระสังฆราช ตรงกันมากที่สุด แตกต่างกันเพียงเรื่องบทบาทของพระสันตะปาปาผู้นำพระศาสนจักร ด้วยเหตุนี้ในส่วนของออร์โทดอกซ์นั้นจึงไม่ได้ยอมรับคำสอนของทางคาทอลิกอย่างสมบูรณ์ในทุกเรื่อง  การแบ่งแยกระหว่างคาทอลิกกับออร์โทดอกซ์นั้นเกิดขึ้นในช่วงเวลาหลายศตวรรษระหว่างยุคกลาง แต่ในที่สุดในปี ค.. 1054 พระสันตะปาปากับพระอัยกาแห่งคอนแสตนติโนเปิ้ลผู้ทำหน้าที่สูงสุดของออร์โทดอกซ์ ต่างก็มีความเห็นตรงกันว่าจะต้องหยุดปัญหาที่ทำให้เกิดความแตกแยกกันเอาไว้ให้ได้  นับตั้งแต่นั้นมาคาทอลิกและออร์โทดอกซ์จึงพยายามทำคริสตศาสนจักรสัมพันธ์กันเรื่อยมา
มาถึงเรื่องความแตกต่างระหว่างคาทอลิกกับโปรแตสแตนท์นั้น มีความแตกต่างกันมากทีเดียว มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างหนึ่งว่า ในประเทศไทยกลับไปใช้คำเรียกกลุ่มโปรแตสแตนท์รวมๆกันไปว่า"คริสเตียน" ซึ่งไม่น่าจะถูกต้องตรงตามความหมายเดิมในภาษาอังกฤษ  ที่เรียกว่ากลุ่มโปรแตสแตนท์ ก็เพราะว่าในกลุ่มนี้สามารถแยกออกได้อีกหลากหลายกลุ่มย่อยมากมายเลยทีเดียว โดยทั่วไปแล้ว โปรแตสแตนท์ไม่เห็นด้วยกับความเชื่อที่คาทอลิกสอนหลายเรื่องทีเดียว ยกตัวอย่างเช่น คำสอนเรื่องพระเยซูประทับอยู่จริงในศีลมหาสนิท เรื่องบทบาทของพระสงฆ์ในการโปรดศีลอภัยบาป เรื่องไฟชำระ และเรื่องพระนางมารีย์และบรรดานักบุญในสวรรค์เสนอวิงวอนเพื่อมนุษย์ที่ยังมีชีวิตอยู่ในโลก  จุดเริ่มต้นของกลุ่มโปรแตสแตนท์นั้นเกิดขึ้นในศตวรรษที่ 16 โดยการนำของมาร์ติน ลูเทอร์ จอห์น คาลวิน และ กลุ่มที่ประท้วงคัดค้านอำนาจของพระศาสนจักรคาทอลิก กลุ่มคนเหล่านี้เรียกตัวเองว่า "คณะปฏิรูป" พวกเขามีความคิดว่าพระศาสนจักรคาทอลิกในยุคนั้นมีเรื่องเสื่อมเสียมากมายเกิดขึ้น พวกเขาจึงประท้วงโต้แย้งและปฏิเสธไม่ยอมรับแนวปฏิบัติหลายอย่างที่คาทอลิกสอนในเวลานั้น แต่สิ่งที่น่าเสียใจก็คือว่า พวกเขาไม่เพียงแต่โต้แย้งเฉพาะในประเด็นที่เป็นเรื่องเสื่อมเสียเท่านั้น แต่ยังปฏิเสธไม่ยอมรับความจริงสำคัญๆในคำสอนของคาทอลิกหลายเรื่อง และทำให้พระศาสนจักรต้องสูญเสียเอกภาพอีกด้วย  พ่อขอสรุปความในเรื่องนี้ว่า ประการแรก เราควรมีความยินดีที่ คริสตชนทุกคนผู้ได้รับศีลล้างบาปนั้น ยังมีความเป็นหนึ่งเดียวกันในเรื่องของการเทิดทูนพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ และ ความเชื่อที่ว่า พระมหาทรมาน ความตายและการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้านั้นช่วยให้เราได้รับความรอด ประการที่สอง เราทุกคนต่างก็เสียใจในเรื่องของความแตกแยกที่เกิดขึ้นในหมู่คริสตชน ดังนั้นในเวลานี้เราทุกคนจึงควรร่วมมือกัน เพื่อทำให้คริสตชนทุกคนได้ก้าวเข้ามายอมรับความจริงที่สมบูรณ์ขององค์พระคริสตเจ้าโดยทั่วหน้ากัน
                                                                                                                        คุณพ่อสุพจน์
..................................................................................................................................................................

การทำสิ่งที่แย่นั้นไม่ต้องละเมิดกฎหรอก เพียงแค่ปฏิบัติตามตัวอักษรก็พอ
สวัสดีครับพี่น้อง
            มูลัน นัสรูดิน เก็บแหวนเพชรได้จากข้างถนน แต่ตามกฎแล้ว ผู้ที่หาเจอหรือเก็บของได้นั้นจะเอาไว้เป็นของตนเองได้ก็ต่อเมื่อได้ประกาศหาเจ้าของในที่สาธารณะชนเสียก่อน เป็นจำนวนสามครั้งต่างโอกาสกัน นัสรูดินเองก็ไม่อยากทำผิดกฎศาสนาเองเสียด้วย แต่ก็โลภจนไม่อยากเสี่ยงให้ต้องเสียแหวนเพชรนั้นไป เขาจึงได้อาศัยช่วงค่ำคืนเมื่อมั่นใจว่าคงไม่มีใครตื่นมาได้ยิ่งเขาประกาศหาเจ้าของแหวนด้วยเสียงเบาที่สุด “ท่านทั้งหลาย ฉันพบแหวนเพชรนี้ที่ถนน ใครที่เป็นเจ้าของให้มาติดต่อรับของที่ฉันได้ทันที”
            ไม่มีใครเลยได้ยินเสียงพูดพึมพำของนัสรูดิน เว้นแต่ชายคนหนึ่งที่เผอิญยืนอยู่ที่หน้าต่างในคืนที่สาม ชายคนนั้นจึงรีบไปหานัสรูดินและถามว่าเขากำลังทำอะไรดึกๆ ดื่นๆ และได้พูดอะไรไป นัสรูดินตอบว่า “ไม่มีกฎข้อใดบอกให้ฉันต้องบอกนายสักหน่อย แต่ฉันจะบอกให้ก็แล้วกัน ฉันเป็นคนเคร่งศาสนา ฉันออกไปที่นั่นตอนกลางคืนเพื่อป่าวประกาศตามกฎบัญญัติ” เมื่อพูดเสร็จเขาก็เก็บแหวนเพชรเข้ากระเป๋าแล้วเดินจากไปทันที
            กฎเกณฑ์ จารีต ระเบียบ พิธีการ ล้วนเป็นสิ่งที่ดี แต่นั่นไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นเพียงวิธีการที่นำไปสู่เป้าหมายปลายทาง ดังนั้น หากสิ่งเหล่านี้ไม่ได้ทำหน้าที่ตามจุดประสงค์ของมันแล้วก็สามารถละเว้นไม่ทำได้
พระวรสารในวันนี้ พระเยซูเจ้าทรงตำหนิธรรมาจารย์และฟาริสีที่ปฏิบัติตามกฎตามตัวหนังสือมากเกินไป จนละเลยข้อบัญญัติใหญ่ คือบัญญัติแห่งรัก “จงรักพระเจ้าสุดจิตสุดใจ และรักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง” ดังนั้น จึงไม่ใช่เพียงแต่ธรรมจารย์และฟาริสีเท่านั้นที่ทำตัวแบบนี้ คนปัจจุบันนี้หรือแม้แต่ตัวเราเองก็เช่นกันที่อาจถือกฎระเบียบตามตัวอักษรมากเกินไป นำภาระหนักไปไว้บนบ่าคนอื่นให้ต้องปฏิบัติมากเกินไป แต่เมื่อถึงคราวตัวเองกลับขยับ ไม่ทำอะไรเลย จะทำก็เฉพาะอยู่ต่อหน้าคนอื่นเท่านั้น อย่างนี้เราเรียกว่า “หน้าไหว้ หลังหลอก”
พระวรสารตลอดทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมาเลยก็ว่าได้ ถ้าไม่มีวันระลึกถึงนักบุญยอห์นบัปติส ถูกตัดศีรษะเข้ามาแทรกแล้ว ทั้งหมดพูดถึงท่าทีของพวกหน้าซื่อใจคดนี้ โดยที่พระองค์ใช้คำว่า “วิบัติ” กับพวกเขาที่กระทำเช่นนั้น แล้วพระองค์ก็ยกเรื่องเปรียบเทียบมาบอกกับเราให้เตรียมพร้อมรับวันเวลาของเรา เพราะเราไม่รู้ว่าจะมาถึงเมื่อไร สิ่งนี้คือการบอกว่า “ถือกฎระเบียบตามจิตตารมณ์” นั่นเอง แล้วกฎของคริสตชนเราก็คือกฎแห่งความรักและความเมตตาที่เราต้องมีต่อเพื่อนพี่น้อง และทุกคนที่เราได้พบเห็น
ขอพระเจ้าโปรดเพิ่มพลังให้กับเราทุกคนได้ยินดีที่จะรักและเมตตาต่อเพื่อนพี่น้อง เหมือนกับที่ลูกทั้งหลายต้องการความเมตตาจากพระองค์ หากว่าพระองค์ไม่ทรงเมตตาแล้ว ลูกคงไม่อาจมีความสุขแท้นิรันดรกับพระองค์ในอาณาจักรสวรรค์ได้เป็นแน่ ลูกวอนของพระองค์ดังนี้ด้วยใจสุภาพพร้อมเสมอที่จะถือบัญญัติของพระองค์ อาแมน.
                                                                                                            คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น