สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
เมื่อพระเจ้าเรียก
เราก็ตอบเสียงเรียกของพระองค์ ในพระคัมภีร์พระธรรมเดิม พระเจ้าทรงเรียกประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร
คนเหล่านี้มีทั้งที่เป็นกษัตริย์ ประกาศก พระเยซูเอง ก็ทรงเรียกบรรดาสาวกของพระองค์เพื่อมาเป็นคนงานในสวนองุ่นของพระเจ้า
เพื่อจะมาช่วยกันเสริมสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระจิตเจ้าทรงเรียกเราทุกคนและประทานพลังให้กับเราโดยพระพรมากมายของพระองค์
เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรที่เป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า เราทุกคนจึงได้รับการเรียกให้ดำรงชีวิตเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าและเป็นผู้ช่วยพระองค์ในการดูแลเอาใจใส่เพื่อนพี่น้องของเรา
ในฐานะที่เราเป็นฆราวาส เราก็มีพันธกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้เรามาร่วมมือกับพระองค์
บ้างก็สามารถมาทำงานได้อย่างเต็มเวลา บ้างก็มาช่วยงานแบบเฉพาะกิจหรือเป็นอาสาสมัครในเรื่องต่างๆ
บางส่วนก็เป็นครู บ้างก็ทำงานในสำนักงานของสังฆมณฑล บ้างก็มาช่วยงานต่างๆในวัดเท่าที่สามารถ
ดังนั้นแม้ว่าเราจะทำงานประกอบธุรกิจต่างๆ เราก็ได้รับการเรียกให้ก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่อุทิศตนเป็นพระสงฆ์นักบวชชายหญิง
เราทุกคนต่างได้รับการเรียกจากพระเจ้าให้มาร่วมงานในส่วนที่เราสามารถ
เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงโลก
ด้วยการเผยแสดงพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินนี้เหมือนอย่างในสวรรค์
พระจิตเจ้าทรงงานอยู่เสมอในหลายหนทางและหลายรูปแบบ บางครั้งก็ด้วยวิธีที่ล้ำลึก ด้วยเหตุนี้เราจึงควรแสวงหาโอกาสในการปฏิบัติพันธกิจของเรา
และทำให้พันธกิจนี้เป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การดูแลของพระศาสนจักร พระจิตกำลังเรียกท่านอยู่ใช่ไหม? พระองค์กำลังส่งเสียงกระซิบอยู่ในหูของท่านใช่ไหม?
พระองค์กระตุ้นเรา ให้เราแบ่งปันเวลาความสามารถเพื่อทำงานของพระองค์ให้สำเร็จใช่ไหม?
ในวัดของเรายังมีช่องว่างที่จะสามารถทำภารกิจของพระเจ้าที่เราสนใจที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ใช่ไหม? จงจำไว้ว่าพระเยซูตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า อย่าปิดบังพระพรพิเศษความสามารถที่เรามี
อย่าเอาตะเกียงไปวางไว้ใต้ถัง แต่จงวางตะเกียงไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้ทุกคนมองเห็นความสว่าง
ปีศาจมักจะใช้กลวิธีดึงเราไว้ไม่ให้ออกมามีบทบาทใดๆในพระศาสนจักร ด้วยการบอกกับเราว่าเราต้องสุภาพถ่อมตนไว้
ความสุภาพถ่อมตนเช่นนี้ไม่ใช่ความสุภาพถ่อมตนที่แท้จริง ท่านจงทำอย่างที่พระเยซูตรัสเอาไว้ว่า
“จงให้ความสว่างของท่านฉายแสงต่อหน้าทุกคนเพื่อทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า”
จงจำไว้ว่าถ้าท่านไม่รักพระเจ้าและรับใช้พระองค์ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านเอง
พระองค์ก็จะไม่ได้รับความรักและรับใช้ในแบบที่เป็นเรา เพราะไม่มีใครมาทำแทนเราได้นั่นเอง
ท่านจึงเป็นคนพิเศษในสายตาของพระเจ้าเสมอพระเจ้าทรงเรียกท่านอยู่ท่านจะตอบพระองค์อย่างไร?
พ่อสุพจน์
...........................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
อาทิตย์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา
หลังจากที่เราได้ทำการเฉลิมฉลองนักบุญเปโตรและเปาโลมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว
พ่อเองในฐานะที่มีศาสนนามนักบุญเปาโลขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้ร่วมแสดงความยินดีกับพ่อในโอกาสอันสำคัญนี้
เพราะถือได้ว่าเป็นกำลังใจที่มอบให้
ทำให้มีกำลังใจสำหรับการทำหน้าที่สงฆ์ที่จะรับใช้พี่น้องต่อไป
จึงขอกล่าวคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ
อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระวาจาของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้
เพราะว่ามีบทความที่น่าสนใจที่จะนำมาแบ่งปันสำหรับพี่น้อง
เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการมาวัดที่ให้ข้อคิดที่ดีมากๆ
เพราะที่ผ่านมามีคำถามที่เกิดขึ้นมากมายว่า ทำไมเราต้องมาวัดวันอาทิตย์ด้วย
มาวัดวันอื่นๆ ไม่ได้เหรอ และถ้าไม่มาวัดเราจะคิดถึงพระเจ้า
สวดภาวนาจากที่อื่นไม่ได้เหรอ ในเมื่อพระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง
ไม่เฉพาะในวัดอย่างเดียวไม่ใช่หรือ?
พอดีได้มีโอกาสอ่านหนังสือแม่พระยุคใหม่ฉบับเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้พอดี
มีบทความที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงขอนำมาแบ่งปันสำหรับพี่น้องครับ
เรื่องเล่าว่ามีมาเซอร์ท่านหนึ่งได้เปรียบเทียบการเข้าวัดวันอาทิตย์กับชีวิตของผึ้งๆ
ไว้ดังนี้ “ธรรมชาติของผึ้ง จะอาศัยรวมกันเป็นฝูง
โดยส่วนใหญ่จะออกหาอาหารเป็นน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ผึ้งทำงานกันเป็นระบบ
มีผึ้งนางพญาเป็นหัวหน้าใหญ่ มีผึ้งหลวงเป็นผู้ผสมพันธุ์
และมีผึ้งงานไว้ทำงานต่างๆ อย่างหาอาหารเลี้ยงตัวอ่อน ทำความสะอาดรัง
ปกป้องรังและอาหารจากศัตรู ในรังผึ้งแต่ละรังประกอบด้วยหลอดรวง
ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องหกเหลี่ยมเล็กๆ หลายหมื่นช่อง ตามแต่ขนาดของรัง
ผึ้งแต่ละตัวเมื่อเป็นตัวอ่อนจะมีหลอดรวงเป็นของตัวเอง
ถ้าผึ้งตัวหนึ่งหายหรือตายไป หลอดรวงหรือช่องนี้ก็จะกลายเป็นช่องว่าง
เพราะผึ้งตัวอื่นจะไม่เข้ามาอยู่ในหลอดรวงที่ไม่ใช่ของตัวเอง ผึ้งแบ่งหน้าที่กันทำ
ผึ้งงานที่มีหน้าที่หากินจะบินออกไปข้างนอก เพื่อทำภารกิจของตัวเอง
และกลับมาที่รังเมื่อถึงเวลา
การเข้าวัดวันอาทิตย์ก็เหมือนผึ้งที่กลับเข้ารังในแต่ละวัน
เราต่างก็ออกไปทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนผึ้งงานที่ออกไปหากิน
พอถึงวันอาทิตย์เราก็กลับมาที่รัง ซึ่งเป็นที่ที่พระเจ้าประทับอยู่
พระองค์ทรงรอคอยการกลับมาของลูกๆ ทุกคน วัดจึงเป็นที่พักพิงของเราอย่างแท้จริง
ถ้าเราคนใดคนหนึ่งไม่เข้าวัด พื้นที่ของเราก็จะว่างๆ เพราะไม่มีใครมาแทนที่เราได้ และหากเราหลายๆ
คนไม่เข้าวัดในวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม
รังของเราก็จะกลายเป็นรังที่ว่างเปล่า ไร้ความหมายใดๆ การไม่เข้าวัดวันอาทิตย์อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่
แต่การเข้าวัดวันอาทิตย์เป็นการบ่งบอกว่าเราให้ความสำคัญกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามากน้อยเพียงใด”
ดังนั้นแล้ว
เรามาช่วยกันทำให้พื้นที่ว่างของเราแต่ละคนในวัดถูกเติมเต็มด้วยการให้ความสำคัญกับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา
และถ้าหากเราบอกว่าเรารักพระเจ้าของเรา ก็จงให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์ที่เป็นวันของพระเจ้าด้วย
คุณพ่อศวง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น