สวัสดีครับพี่น้อง
วันอาทิตย์นี้เป็นวันที่พระศาสนจักรกำหนดให้เป็นวันสมโภชนักบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของพระศาสนจักรคาทอลิกสององค์คือ
นักบุญเปโตร กับ นักบุญเปาโล
ธรรมประเพณีการฉลองสมโภชนักบุญอัครสาวกทั้งสองนี้มีมาตั้งแต่พระศาสนจักรยุคแรกเริ่มแล้ว
เพราะท่านอัครสาวกทั้งสองเป็นประดุจรากฐานของพระศาสนจักร
ท่านทั้งสองเป็นศิลาที่พระศาสนจักรได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น
ท่านทั้งสองเป็นปฐมบทแห่งความเชื่อ และ ท่านยังเป็นผู้ปกปักรักษา และ
คอยส่องสว่างหนทางเพื่อให้พระศาสนจักรดำรงอยู่เสมอไป
จะว่าไปแล้วกรุงโรมซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันแต่ดั้งเดิมนั้นได้รับอานิสงส์จากอัครสาวกทั้งสองมากทีเดียวเนื่องจากอัครสาวกทั้งสองได้สละชีวิตเป็นบูชาเยี่ยงมรณะสักขีที่กรุงโรมแห่งนี้
และในภายหลังกรุงโรมได้ฉายแสงเจิดจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก
เพราะกรุงโรมได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่ข่าวดีของพระคริสตเจ้า
และได้กลายเป็นศูนย์กลางของโลกคริสตชนคาทอลิกในปัจจุบัน
นักบุญเปโตรได้สละชีวิตเป็นมรณะสักขี ในสมัยจักรพรรดิเนโร
ประมาณปี ค.ศ. 66 หรือ ไม่ก็ 67 นี่แหละ
ร่างของท่านได้รับการฝังไว้ที่เนินวาติกัน
ซึ่งภายหลังได้มีการขุดค้นพบหลุมฝังศพของท่านซึ่งอยู่ภายใต้มหาวิหารนักบุญเปโตรนั่นแหละ
ส่วนท่านนักบุญเปาโลนั้น ท่านถูกตัดศีรษะที่ ถนน Ostia ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารซึ่งใช้ชื่อของท่านเปาโลมาเป็นองค์อุปถัมภ์
คริสตชนจากทั่วโลกมีธรรมเนียมเดินทางไปแสวงบุญ
เพื่อไปแสดงความเคารพต่ออัครสาวกทั้งสองที่หลุมฝังศพของท่านเพื่อเตือนใจและระลึกถึงวีรกรรมแห่งความเชื่อที่มั่นคงดุจหลักศิลาของท่านทั้งสอง
พระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม
สามารถก่อร่างสร้างตัวเองได้ตั้งแต่ในศตวรรษที่สองและศตวรรษที่สาม
ก็เพราะบรรดาอัครสาวกเหล่านี้แหละ อยากจะสรุปความว่า
เราคริสตชนทุกคนในยุคปัจจุบันและทุกยุคทุกสมัยจากนี้ไป ต้องไม่ลืมที่จะระลึกถึง
ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ในความเชื่อของอัครสาวกทั้งสอง
เพราะการอุทิศตนของท่านอัครสาวกทั้งสองนี้แหละที่ทำให้ความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกยังคงสืบเนื่องมาถึงสมัยของเราในยุคปัจจุบัน
วันนี้อยากกล่าวแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับคุณพ่อศวง
วิจิตรวงศ์ของเรา เพราะท่านมีนามนักบุญเปาโลเป็นองค์อุปถัมภ์ แถมเมื่อวานยังเป็นวันเกิดของคุณพ่ออีก
ส่วนของพ่อเองก็แอบยินดีกับตัวเองแบบเล็กๆด้วย
เพราะพ่อเองก็มีนามนักบุญเปโตรเป็นองค์อุปถัมภ์กับเขาด้วยเหมือนกัน ! Happy Feast Day Peter and Paul
พ่อสุพจน์
............................................................................................................
มะเร็งฝ่ายวิญญาณ
สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองสร้างความไม่สบายกายและใจ
หลายโรคภัยนำอันตรายมาสู่ชีวิต พี่น้องที่กำลังเป็นโรคร้ายเหล่านี้หลายคนเคยบ่นว่า
“ทำไม ต้องเกิดขึ้นกับตัวฉันด้วย”หนักหน่อยก็โทษว่าพระเจ้าเลยว่า “พระองค์ให้ลูกเกิดมาแล้ว
ทำไมต้องให้โรคร้ายนี้เกิดขึ้นกับลูกด้วย ไม่อยากจะเชื่อพระเจ้าอีกแล้ว”
ไม่ใช่พระเจ้าหรอกที่ให้มนุษย์เป็นมะเร็ง
ลองพิจารณาดูให้ดีว่าโรงมะเร็งคืออะไร? “โรคมะเร็ง หมายถึง
โรคที่เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบ่งตัวแบบกระจายอย่างรวดเร็ว
โดยอาจลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงหรือแพร่กระจายไปตามอวัยวะที่สำคัญต่างๆ”
เราแต่ละคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายทุกคนซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา
สาเหตุให้เกิดโรคก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เป็นวิถีชีวิต การนอนหลับ การกินอาหาร
อารมณ์และความเครียดต่างหาก ดังนั้น เป็นเราเองแหละที่ทำให้ร่างกายเราป่วย
ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโต ความตายไม่ได้มาจากการกระทำของพระเจ้าเลย
พ่อจำได้ว่าเคยเล่าถึงเรื่องเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่บ้านเณรใหญ่ด้วยกัน
แล้วเขาเป็นโรคมะเร็งในไขกระดูกจนต้องตัดขา แต่ด้วยความปรารถนาจะเป็นพระสงฆ์จริงๆ
ของเขา ก็ทำให้เขาสู้กับโรคร้ายนี้
แม้ในที่สุดพระเจ้าจะเรียกเขาไปอยู่กับพระองค์ก่อนเวลา (ที่เราคิดว่าควรเป็น)
พ่อยังจำได้ถึงข้อความที่เขาทิ้งไว้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า
“ไม่ต้องมีคำถามว่า...ทำไม...อีกต่อไป” เพราะเขาได้พบความรักในองค์พระคริสตเจ้า
และได้รำพึงถึงชัยชนะเหนือความตายของพระองค์
ที่สุดเขาได้เป็นพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าเบื้องหน้าพระองค์จริงๆ ในสวรรค์แล้ว
พระวรสารวันนี้
นักบุญมาระโกได้นำเรื่องของหญิงตกโลหิตกับเรื่องบุตรสาวของไยรัสมาผูกไว้ด้วยกัน
เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีสาเหตุเพราะ 1) ทำให้อธิบายได้ถึงเหตุที่พระเยซูเจ้าไปถึงบ้านของไยรัสช้า
และเด็กหญิงนั้นก็ได้ตายแล้วจริงๆ หรือ 2)
อัศจรรย์ที่แทรกมานี้อธิบายอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่า
คือเป็นการกล่าวล่วงหน้าถึงพระเยซูเจ้าว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยแล้วความตาย
แต่เหนือสิ่งอื่นใดบทเรียนที่ได้จากพระวรสารวันนี้คือ ไยรัสและหญิงตกโลหิตได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่
และพวกเขามีความเชื่อในพระองค์
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดและทำให้ตาย
แต่พระคาร์ดินัลฟูลตั้นชีน เคยเขียนให้ความเห็นถึงชีวิตของพระเยซูเจ้าไว้ว่า
“คนทั้งหลายมาในโลกนี้เพื่อมีชีวิต แต่บุคคลผู้นี้ พระเยซูเจ้ามาเพื่อที่จะตาย”
ดังนั้นเราจึงควรจดจำได้ถึงสิ่งที่พระองค์บอกเรา
“เรามาเพื่อให้ท่านทั้งหลายมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” (ยน 10:10) ในความเป็นจริงคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต
และความตายไม่ใช่เป็นการกระทำของพระองค์ เป็นเราแต่ละคนเองมากกว่าที่เลือกหนทางของความตาย
ด้วยการทำบาป มีความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งช่วงชิงกัน หยิ่งยโส โลภ หลงอำนาจ
และลืมพระเจ้า
พระเยซูเจ้าในวันนี้จึงท้าทายเราแต่ละคนให้ยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสพระองค์
และขอให้พระองค์รักษาเรา มะเร็งหรือโรคร้ายที่เราเป็นอยู่อาจจะหายขาดหรือไม่หายขาดก็ได้
แต่ขออย่าให้ “มะเร็งฝ่ายวิญญาณ” ของเราไม่ได้รับการรักษาจากพระองค์เลย
พี่น้องครับ
เราพร้อมหรือยังที่จะทำเหมือนพระองค์ ยื่นมองออกไปสัมผัสคนเจ็บป่วย
คนเป็นทุกข์เศร้าโศก คนถูกทอดทิ้ง คนที่ล้มเหลวในชีวิต เพื่อให้กำลังใจพวกเขาในการมีชีวิตต่อไป
คุณพ่อปลัดองค์เล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น