วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้อง
วันอาทิตย์นี้เป็นวันที่พระศาสนจักรกำหนดให้เป็นวันสมโภชนักบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของพระศาสนจักรคาทอลิกสององค์คือ นักบุญเปโตร กับ นักบุญเปาโล ธรรมประเพณีการฉลองสมโภชนักบุญอัครสาวกทั้งสองนี้มีมาตั้งแต่พระศาสนจักรยุคแรกเริ่มแล้ว เพราะท่านอัครสาวกทั้งสองเป็นประดุจรากฐานของพระศาสนจักร ท่านทั้งสองเป็นศิลาที่พระศาสนจักรได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ท่านทั้งสองเป็นปฐมบทแห่งความเชื่อ และ ท่านยังเป็นผู้ปกปักรักษา และ คอยส่องสว่างหนทางเพื่อให้พระศาสนจักรดำรงอยู่เสมอไป จะว่าไปแล้วกรุงโรมซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันแต่ดั้งเดิมนั้นได้รับอานิสงส์จากอัครสาวกทั้งสองมากทีเดียวเนื่องจากอัครสาวกทั้งสองได้สละชีวิตเป็นบูชาเยี่ยงมรณะสักขีที่กรุงโรมแห่งนี้ และในภายหลังกรุงโรมได้ฉายแสงเจิดจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก เพราะกรุงโรมได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่ข่าวดีของพระคริสตเจ้า และได้กลายเป็นศูนย์กลางของโลกคริสตชนคาทอลิกในปัจจุบัน
นักบุญเปโตรได้สละชีวิตเป็นมรณะสักขี ในสมัยจักรพรรดิเนโร ประมาณปี ค.ศ. 66  หรือ ไม่ก็ 67 นี่แหละ ร่างของท่านได้รับการฝังไว้ที่เนินวาติกัน ซึ่งภายหลังได้มีการขุดค้นพบหลุมฝังศพของท่านซึ่งอยู่ภายใต้มหาวิหารนักบุญเปโตรนั่นแหละ ส่วนท่านนักบุญเปาโลนั้น ท่านถูกตัดศีรษะที่ ถนน Ostia ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารซึ่งใช้ชื่อของท่านเปาโลมาเป็นองค์อุปถัมภ์ คริสตชนจากทั่วโลกมีธรรมเนียมเดินทางไปแสวงบุญ เพื่อไปแสดงความเคารพต่ออัครสาวกทั้งสองที่หลุมฝังศพของท่านเพื่อเตือนใจและระลึกถึงวีรกรรมแห่งความเชื่อที่มั่นคงดุจหลักศิลาของท่านทั้งสอง พระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม สามารถก่อร่างสร้างตัวเองได้ตั้งแต่ในศตวรรษที่สองและศตวรรษที่สาม ก็เพราะบรรดาอัครสาวกเหล่านี้แหละ อยากจะสรุปความว่า เราคริสตชนทุกคนในยุคปัจจุบันและทุกยุคทุกสมัยจากนี้ไป ต้องไม่ลืมที่จะระลึกถึง ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ในความเชื่อของอัครสาวกทั้งสอง เพราะการอุทิศตนของท่านอัครสาวกทั้งสองนี้แหละที่ทำให้ความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกยังคงสืบเนื่องมาถึงสมัยของเราในยุคปัจจุบัน
วันนี้อยากกล่าวแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับคุณพ่อศวง วิจิตรวงศ์ของเรา เพราะท่านมีนามนักบุญเปาโลเป็นองค์อุปถัมภ์ แถมเมื่อวานยังเป็นวันเกิดของคุณพ่ออีก ส่วนของพ่อเองก็แอบยินดีกับตัวเองแบบเล็กๆด้วย เพราะพ่อเองก็มีนามนักบุญเปโตรเป็นองค์อุปถัมภ์กับเขาด้วยเหมือนกัน !       Happy Feast Day Peter and Paul
                                                                                                                                    พ่อสุพจน์
............................................................................................................


มะเร็งฝ่ายวิญญาณ
สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองสร้างความไม่สบายกายและใจ หลายโรคภัยนำอันตรายมาสู่ชีวิต พี่น้องที่กำลังเป็นโรคร้ายเหล่านี้หลายคนเคยบ่นว่า “ทำไม ต้องเกิดขึ้นกับตัวฉันด้วย”หนักหน่อยก็โทษว่าพระเจ้าเลยว่า “พระองค์ให้ลูกเกิดมาแล้ว ทำไมต้องให้โรคร้ายนี้เกิดขึ้นกับลูกด้วย ไม่อยากจะเชื่อพระเจ้าอีกแล้ว”
ไม่ใช่พระเจ้าหรอกที่ให้มนุษย์เป็นมะเร็ง ลองพิจารณาดูให้ดีว่าโรงมะเร็งคืออะไร? “โรคมะเร็ง หมายถึง โรคที่เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบ่งตัวแบบกระจายอย่างรวดเร็ว โดยอาจลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงหรือแพร่กระจายไปตามอวัยวะที่สำคัญต่างๆ” เราแต่ละคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายทุกคนซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา สาเหตุให้เกิดโรคก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เป็นวิถีชีวิต การนอนหลับ การกินอาหาร อารมณ์และความเครียดต่างหาก ดังนั้น เป็นเราเองแหละที่ทำให้ร่างกายเราป่วย ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโต ความตายไม่ได้มาจากการกระทำของพระเจ้าเลย
พ่อจำได้ว่าเคยเล่าถึงเรื่องเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่บ้านเณรใหญ่ด้วยกัน แล้วเขาเป็นโรคมะเร็งในไขกระดูกจนต้องตัดขา แต่ด้วยความปรารถนาจะเป็นพระสงฆ์จริงๆ ของเขา ก็ทำให้เขาสู้กับโรคร้ายนี้ แม้ในที่สุดพระเจ้าจะเรียกเขาไปอยู่กับพระองค์ก่อนเวลา (ที่เราคิดว่าควรเป็น) พ่อยังจำได้ถึงข้อความที่เขาทิ้งไว้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า “ไม่ต้องมีคำถามว่า...ทำไม...อีกต่อไป” เพราะเขาได้พบความรักในองค์พระคริสตเจ้า และได้รำพึงถึงชัยชนะเหนือความตายของพระองค์ ที่สุดเขาได้เป็นพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าเบื้องหน้าพระองค์จริงๆ ในสวรรค์แล้ว
พระวรสารวันนี้ นักบุญมาระโกได้นำเรื่องของหญิงตกโลหิตกับเรื่องบุตรสาวของไยรัสมาผูกไว้ด้วยกัน เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีสาเหตุเพราะ 1) ทำให้อธิบายได้ถึงเหตุที่พระเยซูเจ้าไปถึงบ้านของไยรัสช้า และเด็กหญิงนั้นก็ได้ตายแล้วจริงๆ หรือ 2) อัศจรรย์ที่แทรกมานี้อธิบายอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่า คือเป็นการกล่าวล่วงหน้าถึงพระเยซูเจ้าว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยแล้วความตาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดบทเรียนที่ได้จากพระวรสารวันนี้คือ ไยรัสและหญิงตกโลหิตได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ และพวกเขามีความเชื่อในพระองค์
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดและทำให้ตาย แต่พระคาร์ดินัลฟูลตั้นชีน เคยเขียนให้ความเห็นถึงชีวิตของพระเยซูเจ้าไว้ว่า “คนทั้งหลายมาในโลกนี้เพื่อมีชีวิต แต่บุคคลผู้นี้ พระเยซูเจ้ามาเพื่อที่จะตาย” ดังนั้นเราจึงควรจดจำได้ถึงสิ่งที่พระองค์บอกเรา “เรามาเพื่อให้ท่านทั้งหลายมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” (ยน 10:10) ในความเป็นจริงคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต และความตายไม่ใช่เป็นการกระทำของพระองค์ เป็นเราแต่ละคนเองมากกว่าที่เลือกหนทางของความตาย ด้วยการทำบาป มีความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งช่วงชิงกัน หยิ่งยโส โลภ หลงอำนาจ และลืมพระเจ้า
พระเยซูเจ้าในวันนี้จึงท้าทายเราแต่ละคนให้ยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสพระองค์ และขอให้พระองค์รักษาเรา มะเร็งหรือโรคร้ายที่เราเป็นอยู่อาจจะหายขาดหรือไม่หายขาดก็ได้ แต่ขออย่าให้ “มะเร็งฝ่ายวิญญาณ” ของเราไม่ได้รับการรักษาจากพระองค์เลย
พี่น้องครับ เราพร้อมหรือยังที่จะทำเหมือนพระองค์ ยื่นมองออกไปสัมผัสคนเจ็บป่วย คนเป็นทุกข์เศร้าโศก คนถูกทอดทิ้ง คนที่ล้มเหลวในชีวิต เพื่อให้กำลังใจพวกเขาในการมีชีวิตต่อไป

                                                                        คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น