สารวัดวันอาทิตย์ที่
7 เมษายน2019
สัปดาห์ที่ห้าในเทศกาลมหาพรต
พี่น้องที่รัก...
ในที่สุดเราก็มาถึงสัปดาห์สุดท้ายของมหาพรต
การเข้าสู่สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ด้วยอาทิตย์พระทรมานของพะเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็ม
เพื่อการฉลองปัสกาครั้งสุดท้ายของชีวิตของพระองค์แต่เป็นปัสกาใหม่ของชีวิตเราทุกคน
ขอให้เราดูความหมายจากปกสารวัดฉบับนี้
เชิญชวนผู้สูงอายุรับศีลเจิม
หลังมิสซาทุกรอบในวันอาทิตย์นี้
ให้ลูกหลานแต่ละครอบครัวนำผู้อาวุโสที่ลุกเดินมาได้ มานั่ง ณ
โต๊ะหน้าหรือนั่งในรถเข็นก็ได้ บรรดาพระสงฆ์จะโปรดศีลเจิมแต่ละท่านให้ เป็นบรรยากาศยกบ้านมาที่วัดเป็นแบบครอบครัวที่อยู่ในศีลในพรของพระเจ้าด้วยกัน
ขอย้ำทุกรอบ หากใครพลาดวันอาทิตย์นี้ จะมีโปรดอีกครั้งในวันอาทิตย์ที่ 28 อีกครั้ง
ซึ่งเป็นวันฉลองพระเมตตาด้วย
ขอแจ้งกำหนดการสัปดาห์สิทธิ์
ประจำปีนี้อีกครั้ง
วันอาทิตย์ใบลาน
14 เมษายน ระลึกถึงการเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า
เฉพาะมิสซาเสกใบลานหน้าศาลาหลุยส์มารีย์
รอบ 08.00 น.รอบอื่นๆเป็นมิสซาตามปกติ
มีใบลานทั้งมอบให้ท่านละ
1 ใบ และถักสวยงามจำหน่ายช่อราคาละ 20 บาทเป็นต้นไป
เฉพาะวันอาทิตย์นี้ไม่มีเดินรูป
14 ภาค
วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์
18 เมษายน ระลึกถึงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระเยซูเจ้า
มิสซาเวลา
19.00 น.พิธีล้างเท้าผู้แทนสัตบุรุษ 12 ท่าน ตื่นเฝ้าศีลมหาสนิท
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
19 เมษายน ระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า
เดินรูป
14 ภาค เวลา 18.30 น.
พิธีนมัสการไม้กางเขนเวลา
19.00 น.
วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
20 เมษายน ระลึกถึงการตื่นเฝ้า
พิธีเสกไฟและเทียนปัสกาหน้าศาลาหลุยส์
เวลา 19.00 น.
พิธีเสกน้ำและล้างบาป
และสมโภชค่ำคืนปัสกา
วันอาทิตย์ปัสกา
21 เมษายน สมโภชปัสกา
มิสซาตามปกติ
06.00/08.00/10.00/12.00และ17.30 น.หลังมิสซามอบไข่ปัสกา
ขอรณรงค์เงินซองมหาพรต
ครั้งสุดท้าย เพื่อจิตตารมณ์แบ่งปันการทำทาน
จะได้รวบรวมส่งให้สภาพระสังฆราชเพื่อผู้ยากไร้ต่อไป
คุณพ่อชาญชัย ทิวไผ่งาม
บอกกล่าว
เล่าเรื่อง
“อากาศร้อน ไม่น่ากลัวเท่า สังคมหัวร้อน”
เมื่อไม่นานมานี้ขณะขับรถอยู่กลางสี่แยกแห่งหนึ่ง
ก็เห็นเหตุการณ์ชุลมุนเหมือนมีเวทีมวยมากางอยู่กลางสี่แยก คู่ชกมาจากค่ายรถสองยี่ห้อใหญ่
ที่คงตกลงกันไม่ได้ว่าควรจะให้รถใครผ่านไปก่อน เลยวางมวยเป็นการเดิมพัน
พ่อไม่ได้เชียร์จนรู้ว่าใครชนะได้แต่ขับรถผ่านไปและไม่รู้บทสรุปว่าจบลงอย่างไร
เราเข้าสู่เดือนเมษายน
เดือนที่ใครต่อใครก็บอกว่าอากาศจะร้อนที่สุดในรอบปีแต่มานั่งคิดจริงๆ ตลอดหลายเดือนที่ผ่านมาก็มีเรื่องร้อนๆ
ข่าวร้อนๆ สถานการณ์ร้อนๆในประเทศของเราอยู่เป็นระยะๆ จนเอาเข้าจริงๆ แล้ว
อากาศที่ว่าร้อน อาจไม่สู้สถานการณ์ หรือประเด็นร้อนๆที่แผดเผากันอยู่ทุกๆ วันในประเทศของเรา
ความร้อนของสถานการณ์ทางการเมือง
ความร้อนของอารมณ์ที่โถมใส่กันที่เห็นได้ตามหน้าสื่อต่างๆ
จนลุกลามบานปลายไปถึงการลงมือลงไม้กัน เอาเลือดเอาเนื้อเอาชีวิตกัน ฯลฯ
ดูเหมือนความร้อนในเรื่องเหล่านี้จะจะน่ากลัวมากกว่าความร้อนของอากาศที่บอกว่าร้อนสุดๆ
ในรอบปี
ดูเหมือนความร้อนของอากาศยังไม่น่ากลัวเท่ากับความร้อนของใจ
ความร้อนของอารมณ์ จนทุกวันนี้เรามักมีคำพูดทีเล่นทีจริงว่า
สังคมไทยกลายเป็นสังคมหัวร้อนไปแล้ว จากที่เคยเป็นสังคมแห่งรอยยิ้ม
สังคมของการช่วยเหลือ สังคมของการถ้อยทีถ้อยอาศัย สังคมแบบที่ว่าก็ค่อยๆ หายไป เดือนเมษายนเข้าสู่ฤดูร้อนแบบจริงจัง แต่ดูเหมือนสังคมไทยจะเข้าสู่สังคมหัวร้อนมาสักระยะใหญ่แล้ว
สิ่งที่เห็นจากสถานการณ์หัวร้อนก็คือ “อารมณ์ร้อน
มาพร้อมความไม่ยั้งคิด และจบด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์”
นี่เป็นสูตรของคนหัวร้อนในสังคมไทยตามหน้าสื่อต่างๆ ที่เราเห็น อารมณ์ร้อน
ลงไม้ลงมือ และจบด้วยประโยคสุดคลาสสิก ขอโทษ เพราะรู้เท่าไม่ถึงการณ์
เมื่อไหร่ที่ให้อารมณ์เป็นนายเหนือเหตุผล เหนือความถูกต้อง เหนือทุกอย่าง
ความหัวร้อนก็เกิดขึ้นได้กับทุกคนไม่เว้นใคร
อย่างเหตุการณ์หัวร้อนที่พ่อพบและเล่าให้ฟัง หรือจากเหตุการณ์หัวร้อนต่างๆ ตามสื่อที่เราพบได้ทุกวี่วัน
พ่อเชื่อว่าทุกวันนี้เราทุกคนก็หัวร้อนกับหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องของเรา
และเรื่องที่ไม่เกี่ยวกับเราแต่เราก็เอามาและทำให้เรามีความขุ่นข้องใจสารพัดเรื่อง
จนพาลหัวร้อนไปกับเรื่องเหล่านั้น
และหลายครั้งอาจนำไปถึงความเสียหายต่อความสัมพันธ์ ต่อทรัพย์สิน
เพียงเพราะอารมณ์ร้อนชั่ววูบหรือด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ อากาศร้อนแล้ว
อย่าให้เราใจร้อน หัวร้อนยิ่งกว่าอากาศ ใจเย็นอีกนิด ค่อยๆคิด
ใช้เหตุผลมากขึ้นหน่อย ทางออกของปัญหาที่ดีไม่ได้มาจากการใช้อารมณ์
บางทีทางออกที่ดีก็อยู่ในความใจเย็น อยู่ในความมีสติ อย่าเอาอารมณ์นำความรู้สึก
นำทุกๆ เรื่องที่เกิดขึ้น เย็นลงอีกนิด ช้าลงอีกหน่อย
คงไม่ทำให้เราไปถึงที่หมายช้าไปหรอก อากาศเดือนนี้ร้อนพอแล้ว อย่าให้อุณหภูมิใจ
อุณหภูมิหัวมันร้อนขึ้นไปอีก มันจะยิ่งเผาไปกันใหญ่
ปลัดวัดสาทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น