สารวัดวันอาทิตย์ที่
14 ตุลาคม 2018
สัปดาห์ที่
28 เทศกาลธรรมดา
เดือนตุลาคม พร้อมเพรียงไม่สิ้นเสียงสายประคำ
วันเสาร์ที่ 13 อาทิตย์ที่ 14 และจันทร์ที่ 15 ตุลาคม ทางวัดจัดกิจกรรมค่ายเยาวชนให้เด็กๆมีพ่อแม่ไปด้วยเพื่อทำกิจกรรมเยาวชน
ณ บ้านเพชรสำราญ หัวหิน มีผู้เข้าร่วมกว่า 40 คน
ต้องขออภัยที่ต้องปิดรับสมัครเพราะจำนวนที่นั่งและที่พักมีจำกัดจริงๆ
คุณพ่อวีรยุทธและสามเณรใหญ่นำพาไป
อบอุ่นใจมากขึ้นที่มีคุณพ่อคุณแม่บางท่านร่วมไปด้วยเพื่อช่วยดูแลและอำนวยความสะดวกในกิจกรรมด้วย หวังว่าอาทิตย์หน้าเป็นวันแพร่ธรรมสากล กลับมาช่วยพระเยซูประกาศข่าวดีตามพระประสงค์ของพระสันตะปาปาฟรังซิส
ดังนั้นในวันอาทิตย์หน้าพ่อได้เริ่มแปะรูปไว้ด้านหน้าสารวัดฉบับนี้แล้ว เพื่อให้เราเข้าใจได้ว่าการประกาศข่าวดีของพระเยซูเจ้า
ทุกคนสามารถทำได้ แม้แต่เด็กๆและเยาวชน วันนี้จึงมีเด็กๆมาช่วยทำหน้าที่ทั้งรอบพระแท่น
ในวัด และนอกวัด
เพื่อเริ่มทำความคุ้นเคยเรื่องใกล้ตัวและสักวันหนึ่งคงได้ทำหน้าที่สำคัญๆต่อไป
พระเยซูเจ้าบอกกับสานุศิษย์ว่า “ให้ออกไปที่ลึก”
นั่นหมายถึงการออกไปเพื่อทำหน้าที่จับมนุษย์ (ให้พระวาจาจับใจ)แทนพระองค์
ปีนี้พระสันตะปาปาเรียกประชุม synod กับบรรดาพระสังฆราชทั่วโลกที่รับผิดชอบงานเยาวชน “พร้อมกับเยาวชน
ให้เราประกาศข่าวดี สู่ปวงชน” หวังว่าวันข้างหน้าพวกเขาคือศิษย์พระคริสต์ช่วยพระองค์ให้กับคนทั้งหลายต่อไป
เชิญชวนภาวนาและถวายเงินเพื่อการแพร่ธรรม ในสัปดาห์หน้าเป็นพิเศษด้วย
ยังมีองค์กรฆราวาสแพร่รรมมาช่วยประชาสัมพันธ์ให้เข้าใจถึงบทบาทหน้าที่
“ประกาศข่าวดี”ด้วย
พ่อต้องขอบคุณที่มีพี่น้องหลายท่านได้มาช่วยงานวันเสาร์ที่ผ่านมาเพื่อบริการความสะดวกให้กับพี่น้องจากวัดในเขตมาร่วมสวดสายประคำด้วยกัน
พอดีๆคับวัดตั้งแต่เช้าจรดถึงบ่ายสามโมง หลายคนมีความสุขใจในการบริการ
แต่สิ่งที่สำคัญคือเสียงการสวดสายประคำนี่สิไม่สิ้นเสียงเลย
หวังว่าพระพรของพระเจ้าทำให้จิตใจของเราทุกคนชุ่มฉ่ำใจเหมือนฝนตกโปรยปรายลงมา
แต่ในเวลาที่ทุกอย่างจบลงและทุกคนกลับบ้านกันแล้ว
วันพุธที่ 31 ส่งท้ายการสวดสายประคำ มิสซาตอนเย็นจะเป็นเวลา 19.00 น.มีเวลาสวดก่อนมิสซาเวลา
18.30 น.และในเวลาหลังมิสซาแล้วมีแห่แม่พระ(โคมไฟ)รอบวัด
ขอพระเจ้าอวยพร
พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
..............................................................................................
บอกกล่าว เล่าเรื่อง
“รู้จักเรา รู้จักเขา”
พ่อจำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยได้ร่วมการอบรมเกี่ยวกับการรู้จักตนเอง
และในการอบรมนั้นมีกิจกรรมหนึ่งให้บรรยายความเป็นตัวเอง ส่วนใหญ่ก็จะบอกว่าคิดไม่ออก
ไม่รู้จะเขียนอะไร ข้อดี ข้อเสียเขียนมาได้นิดหน่อยและก็ไม่รู้จะเขียนอะไรมากกว่านี้ละ
พอเริ่มให้บรรยายเพื่อนที่รักคนที่ชอบ ก็เขียนได้พอสมควรทั้งลักษณะทั้งนิสัย
ทั้งรูปประกอบยิ่งต่อมาเขียนบรรยายคนที่ไม่ชอบสักคน
ยิ่งเยอะเลยทั้งข้อเสียร้อยแปดพันประการมาแบบจัดเต็มจึงมีคำกล่าวที่ว่า“ความผิดคนอื่นเท่าภูเขา
ความผิดของเราเท่าเส้นผม” และคนเราก็มักที่จะคิดว่าตัวเรารู้จักคนนั้น คนนี้ดี
จนหลายครั้งดูเหมือนรู้จักดีกว่าตัวของเราเองด้วยซ้ำไป
ซ้ำร้ายกว่านั้นบางทีเรารู้จักคนอื่นในแบบที่เราคิดว่าเรารู้จักจากคนเขาว่าอย่างนั้นว่าอย่างนี้
ดีอย่างนั้นไม่ดีอย่างนี้และก็สรุปว่าคนนั้นเป็นอย่างนี้แน่นนอน ฉันรู้จักเขาเพราะคนเขาว่ามา
หรือรู้จักเขาจริง ๆ จากตัวของเรา จากประสบการณ์ของเรา หรือมากกว่านั้นบางทีก็เปรียบเทียบคนอื่นกับคนนั้นคนนี้
ก็เลยทำให้เราไม่ได้รู้จักตัวตนของคนคนนั้นจริง ๆ เรารู้จักเขาอย่างไรจากเสียงลือเสียงเล่าอ้าง
จากคนอื่นหรือรู้จักเขาอย่างที่เขาเป็น
ในตอนท้ายกิจกรรมผู้นำก็สรุปว่า ทุกคนก็มีมุมดีมุมด้อย
มีจุดอ่อนจุดแข็ง เราเลือกรู้จักเขาแบบไหน แบบข้อด้อย แบบมีจุดอ่อนเพื่อซ้ำเติมโจมตี
หรือเพื่อช่วยเขา เพื่อพัฒนาเขา หรือเลือกรู้จักแบบที่มีจุดดีแบบที่มีจุดแข็งของเขา
เพื่อเสริมสร้าง เพื่อสนับสนุน หรือเพื่อประโยชน์บางอย่างสำหรับตน
ทุกวันนี้สังคมก็ทำให้เรารู้จักตัวเราเองแบบแต่งแต้มเพิ่มเติมจากค่านิยมอื่น
ๆ จากกระแสสังคมต่าง ๆ จนไม่ใช่ตัวเราจริง ๆ หรือเราก็รู้จักกันเพียงผิวเผิน อาจจะโดยทางสังคมออนไลน์
ทางช่องทางต่าง ๆ จากที่คนอื่นบอก จากที่เราคิดจนเราก็ไม่รู้จักกันจริง ๆ แบบที่เราและเขาเป็น
บางทีเพื่อจะรู้จักคนอื่นดี ๆ ก็เรียกร้องการรู้จักตัวเองจริง
ๆ ยิ่งรู้จักมากเท่าไหร่ก็ช่วยให้เราเห็นคุณค่าของตนเองและคนอื่นมากขึ้น
รู้จัก(ตัว)เรา ก็รู้จักเขา(ผู้อื่น) มากขึ้น
ปลัดวัดสาทร
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น