พี่น้องที่รัก
“เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว”
ถ้าเราไม่ตายกับพระคริสตเจ้า
เราจะไม่บังเกิดผล พระวาจาตกลงในดินดี เปื่อยเน่า
และกลับกลายเป็นต้นกล้าแข็งแรงและเจริญเติบโตเกิดดอกออกผลมากมาย
ชีวิตคริสตังที่กำลังเดินทางมหาพรตกับพระคริสตเจ้าเพื่อมุ่งสู่ปัสกา
ผ่านพ้นความตายเพื่อชีวิตสันติสุขนิรันดร ซึ่งเริ่มได้ตั้งแต่ในโลกนี้
ให้เราเริ่มลิ้มรสสวรรค์ตั้งแต่เดี๋ยวนี้เถิด
คู่มือเตรียมสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์มอบให้ทุกคนเพื่อนำไปใช้ควบคู่ไปกับหนังสือพิธีสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์ของวัด(ฉบับใหม่)ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่วันอาทิตย์ใบลานและตรีวารปัสกาคือพฤหัสศักดิ์สิทธิ์
ศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ และเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ จุดประสงค์คือการมีส่วนร่วม เข้าใจ
และไม่พะวงกับความสั้นยาวของพิธี
เพราะทุกอย่างเป็นเรื่องพิธีสำคัญของเวลาช่วงสุดท้ายของพระเยซูเจ้าไถ่บาปบนโลกนี้ตรีวารปัสกา
ที่เราใกล้ถึงเส้นชัยสวรรค์บนโลกนี้แล้ว
วันอาทิตย์หน้า
25 มีนาคม มิสซาเวลา 08.00 น.เชิญชวนรวมตัวกันที่หน้าศาลาหลุยส์มารีย์ของวัด เพื่อร่วมพิธีเสกใบลาน
รับฟังพระวาจา และเดินแห่เข้าวัดพร้อมกัน และเริ่มต้นสัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์
ให้พี่น้องใช้หนังสือเพื่อมีส่วนร่วม โดยเฉพาะอ่านพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า
สลับกับพระสงฆ์ สังฆานุกร ให้สัตบุรุษ ดู อักษร พ. จากหนังสือพิธีกรรม
ใบจาก
ใบตาล ใบลาน เริ่มลดน้อยลง
เจ้าของต้นไม้เหล่านี้ต่างหวงและปรารถนาจะรักษาพืชผลของเขาไว้จึงต้องปรับแนวทางการใช้ใบไม้สกุลปาล์มกันใหม่
ดังนั้นในปีนี้ทางวัดเริ่มเสริมใบหมากเข้ามาเพราะเป็นต้นๆ และไม้ประดับตบแต่ง
จึงเริ่มนำมาใช้มีทั้งใบและต้น ใบสามารถวางไว้บนแท่นพระหรือในที่เหมาะสม
ส่วนเป็นต้นก็นำไปปลูกหรือดูแลไว้ มีความหมายดี (ใบทางวัดมอบให้) ส่วนเป็นต้นๆ ก็ช่วยค่าใช้จ่ายเพื่อร่วมด้วยช่วยกัน
ใครที่ห่วงเรื่องเสกแล้ว ก็ขอจัดสิ่งเหล่านี้ไว้ในที่เหมาะสม
ไม่ทิ้งขว้างหรือวางไว้ในที่ไม่เหมาะสม
บางทีต้นหมากเขียวก็สามารถปลูกไว้หน้าบ้านเพื่อเตือนใจถึงการต้อนรับพระเยซูเจ้าเข้ากรุงเยรูซาเล็มอย่างสง่า
เราจะได้ภูมิใจในชีวิตคริสตัง
ค่ำคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์
29 มีนาคม 19.00 น.
พิธีล้างเท้าในมิสซาให้กับตัวแทนพี่น้อง 12 คน
พ่อจะเลือกผู้แทนของพี่น้องที่มาวัดเป็นประจำจากแต่ละรอบของเสาร์อาทิตย์แบบครอบครัวสม่ำเสมอสัก
12 บ้าน
เพื่อให้มีบรรยากาศของชุมชนคริสตชนที่ชวนครอบครัวกันมาหาพระเยซูเจ้าในวันเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายของพระองค์
ในปีนี้พระอัครสมณฑูตวาติกันประจำประเทศไทยจะกระทำพิธีล้างเท้า ณ
บริเวณที่นั่งของสัตบุรุษในวัด ใครที่นั่งใกล้คงได้เห็นอย่างใกล้ชิด
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
30 มีนาคม 19.00 น. การนมัสการไม้กางเขนใหญ่ใช้เพียงไม้เดียวจะกระทำในวัด
ส่วนการจูบกางเขนในพิธีให้คณะสงฆ์ ตัวแทนอัครสาวกและผู้สูงอายุซึ่งมากับรถก่อน
สำหรับสัตบุรุษทั่วไปให้เดินมาจูบ
หลังจบพิธีอวยพรภาวนารับศีลมหาสนิทแล้วอย่างสงบและเรียบร้อย
ไม้กางเขนใหญ่คงตั้งไว้จนถึงเที่ยงของวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์เพื่อทำตามแนะนำให้สัตบุรุษรำพึงถึงความตายของพระเยซูเจ้าเพื่อการไถ่บาปของชาวเรา
เวลา
18.30 น. ของวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์จะเริ่มเดินรูป 14 ภาค ส่งท้ายมหาพรตปีนี้
พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
.......................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
ชาวกรีกมีนิสัยชอบท่องเที่ยวไปทั่วโลกเพื่อทำการค้าขายและแสวงหาสิ่งใหม่ๆ
จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เราจะพบชาวยิวในกรุงเยรูซาเล็ม ระหว่างเทศกาลปัสกาอันยิ่งใหญ่เช่นนี้
นอกจากชอบแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ แล้ว ชาวกรีกยังชอบแสวงหาความจริงเป็นชีวิตจิตใจ พวกเขาชอบศึกษาลัทธิปรัชญา และศาสนาต่าง ๆ และมักเปลี่ยนอาจารย์ไปเรื่อย ๆ จนกว่าจะได้ความจริงที่น่าพอใจ ชาวยิว กลุ่มนี้คงได้เข้าไปในพระวิหารที่ลานชั้นนอกสำหรับคนต่างศาสนา
และมีโอกาสเห็นพระเยซูเจ้าชำระพระวิหาร
จนเกิดแรงบันดาลใจให้อยากรู้จักพระองค์พวกเขาไปหาฟิลิป
อาจเป็นเพราะชื่อฟิลิปเป็นภาษากรีก แต่ฟิลิปไม่รู้จะทำอย่างไรดี เขาจึงไปปรึกษาอันดรูว์ซึ่งเคยพาเปโตร
และเด็กชายเล็ก ๆ พร้อมกับขนมปัง 5 ก้อนและปลา 2 ตัวไปพบพระเยซูเจ้า แล้วอันดรูว์รู้ดีว่าไม่มีใครน่ารำคาญหรือน่าเบื่อหน่ายสำหรับพระเยซูเจ้า
พระองค์ไม่เคยขับไล่ไสส่งคนที่มีหัวใจแสวงหาพระองค์ให้กลับไปมือเปล่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว” คำพูดของพระเยซูเจ้าประโยคนี้คงทำให้ผู้ฟังพากันกั้นหายใจด้วยความตื่นเต้น
เพียงแต่ว่าสิ่งที่พวกเขาคาดหวังนั้นช่างต่างกับสิ่งที่พระเยซูเจ้าต้องการหมายถึงราวหน้ามือกับหลังมือ
คำ “บุตรแห่งมนุษย์” มีที่มาจากหนังสือประกาศกดาเนียลบทที่
7 ข้อ 13-14 ที่ว่า “ดูเถิด มีท่านผู้หนึ่งเหมือนบุตรมนุษย์มาพร้อมกับบรรดาเมฆของสวรรค์
และท่านมาหาผู้เจริญด้วยวัยวุฒินั้น
เขานำท่านมาเฝ้าต่อเบื้องพระพักตร์พระองค์
ราชอำนาจ ศักดิ์ศรี กับราชอาณาจักร เขานำมามอบไว้กับท่าน เพื่อบรรดาชนชาติ
ประชาชาติทั้งปวง และภาษาทั้งหลายจะปรนนิบัติท่าน
ราชอาณาจักรของท่านเป็นราชอาณาจักรนิรันดร์”
เบื้องหลังของคำทำนายนี้คือ
โลกในยุคของดาเนียลตกอยู่ภายใต้อำนาจของอาณาจักรใหญ่สี่แห่งอันได้แก่ อัสซีเรีย
บาบิโลน มีเดีย และเปอร์เซีย
ผู้คนของทั้งสี่อาณาจักรล้วนมีจิตใจโหดร้ายเหมือนสัตว์ป่าซึ่งดาเนียลเปรียบตัวแรกเป็นสิงโตมีปีกนกอินทรี
ตัวที่สองเหมือนหมีที่มีกระดูกซี่โครงสามซี่อยู่ระหว่างฟัน ตัวที่สามเป็นเสือดาวสี่หัวพร้อมกับปีกนกสี่ปีก
และตัวสุดท้ายเป็นสัตว์ร้ายพร้อมฟันเหล็กมหึมาที่น่ากลัวที่สุดจึงเป็นความใฝ่ฝันของชาวยิวที่จะเห็นอำนาจใหม่และอาณาจักรใหม่
ที่ผู้คนมีจิตใจอ่อนโยนเหมือน “บุตรมนุษย์” ไม่ใช่ดุร้ายเหมือน “ลูกสัตว์ป่า”
แต่ยุคทองแห่งอำนาจใหม่จะเกิดขึ้นได้อย่างไร
ในเมื่อชาวยิวเป็นเพียงชนชาติเล็ก ๆ และอ่อนแอ
หนทางเดียวที่จะเป็นไปได้คืออาศัย “พระหัตถ์อันทรงฤทธิ์ของพระเจ้า”
บุคคลที่มีจิตใจเหมือน
“บุตรมนุษย์”
ในภาพนิมิตของดาเนียล จึงถูกนำมาใช้เพื่อหมายถึง “บุตรแห่งมนุษย์” ที่พระเจ้าจะส่งมาเพื่อนำพาชาวยิวไปสู่ยุคใหม่แห่งอำนาจและสถาปนาอาณาจักรอันยิ่งใหญ่เที่ยงแท้ถาวร
เพราะฉะนั้น เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เวลาที่บุตรแห่งมนุษย์จะได้รับพระสิริรุ่งโรจน์มาถึงแล้ว”
ย่อมหมายความว่าปี่กลองรบได้ลั่นแล้ว ขบวนการกู้ชาติได้เริ่มต้นแล้ว
แต่
“พระสิริรุ่งโรจน์”
ของพระเยซูเจ้าไม่ได้หมายถึงอาณาจักรอันยิ่งใหญ่ทางโลก ตรงกันข้าม
พระองค์หมายถึง “กางเขน”น่าเสียดายที่ชาวยิวไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์
อีกทั้งไม่พยายามที่จะเข้าใจอีกด้วย นอกจากจะสอนว่า “กางเขน”
เป็นหนทางสู่ “พระสิริรุ่งโรจน์” แล้ว พระองค์ยังได้ประทานคำสอนอันเป็นอมตะแก่เราอีก 3 ประการด้วยกัน
1. ความตายก่อให้เกิดชีวิต
เมล็ดข้าวสาลีจะไม่บังเกิดผลเลยหากมันถูกเก็บรักษาไว้ในที่ปลอดภัยและมั่นคง
ต่อเมื่อมันถูกโยนและจมลงบนพื้นดินที่เย็นชุ่มดุจดังหลุมศพนั่นแหละ
มันจึงจะเจริญงอกงามและบังเกิดผลในอดีต
ไม่ใช่เป็นเพราะโลหิตของบรรดามรณสักขีดอกหรือที่ทำให้พระศาสนจักรเจริญเติบโตดังเช่นปัจจุบัน
สำหรับตัวเราก็เช่นกัน เมื่อใดก็ตามที่เราฝังความต้องการและความทะเยอทะยานส่วนตัว
เมื่อนั้นเราจะกลายเป็นข้ารับใช้ที่มีประโยชน์ยิ่งสำหรับพระเจ้า
2.การสละชีวิตจะรักษาชีวิตไว้ ผู้ที่รักชีวิตของตนมักมีสาเหตุ 2 ประการคือ เห็นแก่ตัว และต้องการความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต ให้เราลองจินตนาการดูว่าโลกของเราจะสูญเสียอะไรบ้าง
หากไม่มีผู้ใดพร้อมจะสละความเห็นแก่ตัวหรือความมั่นคงในชีวิตของตน
เพื่องานพัฒนาวิจัยด้านต่าง ๆ ที่เต็มไปด้วยอันตรายและเสี่ยงภัย
โลกของเราเป็นหนี้บุญคุณผู้ที่พลีแรงกายและแรงใจอุทิศตนแด่พระเจ้าและเพื่อนมนุษย์มากมายมหาศาลจริง
ๆ พระเยซูเจ้าจึงตรัสย้ำหลายครั้งหลายโอกาสว่า “ผู้ที่รักชีวิตของตนย่อมจะเสียชีวิตนั้น
ส่วนผู้ที่พร้อมจะสละชีวิตของตนในโลกนี้
ก็ย่อมจะรักษาชีวิตนั้นไว้สำหรับชีวิตนิรันดร” (มก 8:35;
มธ16:25; 10:39; ลก 9:24; 17:33)
3. การรับใช้นำมาซึ่งเกียรติอันยิ่งใหญ่ บุคคลที่โลกจดจำด้วยความรักคือผู้ที่อุทิศตนรับใช้ผู้อื่น
แต่น่าเสียดายที่โลกยุคใหม่รู้จักการรับใช้น้อยลงทุกที
สิ่งที่พวกเขาสนใจคือผลประโยชน์ทางธุรกิจ
ซึ่งแม้จะทำให้เขาร่ำรวยเป็นเศรษฐีหมื่นล้านได้ แต่จะไม่มีผู้ใดรักเขา บังเอิญว่า “ความรัก” คือ “ความมั่งคั่ง”
ที่แท้จริงของชีวิต ยิ่งเป็นการรับใช้พระเยซูเจ้าด้วยแล้ว
เกียรติที่ได้รับนั้นช่างยิ่งใหญ่จริง ๆ เพราะพระองค์ตรัสว่า “ผู้ใดรับใช้เรา พระบิดาจะประทานเกียรติแก่เขา”“บัดนี้
ใจของเราหวั่นไหว...บัดนี้ เจ้านายแห่งโลกนี้กำลังจะถูกขับไล่ออกไป” (ข้อ 27,31)ยอห์นไม่ได้เล่าเรื่องความทุกข์ทรมานของพระเยซูเจ้าในสวนเกทเสมนีเหมือนผู้เขียนพระวรสารคนอื่น
แต่ท่านเล่าตอนนี้ว่าพระองค์พยายามหลีกหนีกางเขนเช่นกัน “ข้าแต่พระบิดาเจ้า โปรดช่วยข้าพเจ้าให้พ้นจากเวลานี้” (ข้อ 27) แน่นอน ไม่มีใครอยากตายขณะอายุ 33 ปี
ยิ่งเป็นความตายบนไม้กางเขนด้วยแล้วยิ่งไม่มีใครต้องการ
พระเยซูเจ้าก็กลัวและไม่ต้องการเช่นเดียวกันเพราะกลัว
คุณค่าแห่งความนบนอบที่พระองค์มีต่อพระบิดาจึงสูงส่งเป็นอย่างยิ่ง หากพระองค์นบนอบได้ง่าย ๆ
แล้วจะมีคุณค่าได้อย่างไร เพราะ “ความกล้าหาญ” ที่แท้จริงไม่ได้อยู่ที่ “ไม่กลัว” แต่อยู่ที่ แม้กลัวจนตัวสั่นก็ยัง “ทำในสิ่งที่ควรทำ” ทั้ง ๆ ที่กลัวและเครียด พระเยซูเจ้าก็ยังมีความบรรเทาใจ เพราะทรงมองเห็นชัยชนะรออยู่เบื้องหน้า
หากพระองค์นบนอบพระบิดาและยอมรับไม้กางเขน ผลที่จะตามมาคือ “เจ้านายแห่งโลกนี้
(ซาตาน) จะถูกขับไล่ออกไป”นอกจากอำนาจของซาตานจะถูกทำลายแล้ว
พระองค์ยังมองเห็นภาพที่พระองค์ถูกยกขึ้นบนไม้กางเขน
สามารถดึงดูดมนุษย์ทุกคนให้มาหาพระองค์“เมื่อเราจะถูกยกขึ้นจากแผ่นดิน
เราจะดึงดูดทุกคนเข้ามาหาเรา” (ข้อ 32)พระองค์ตระหนักดีว่า
หนทางสู่ชัยชนะขั้นสูงสุดอยู่ที่ “พลังดึงดูดของไม้กางเขน”
และประวัติศาสตร์ได้พิสูจน์แล้วว่าพระองค์เป็นฝ่ายถูก“พลังรัก” ไม่มีวันตาย ส่วน “พลังอำนาจ” ตายหมด แต่อาณาจักรของพระคริสตเจ้าซึ่งมีรากฐานอยู่ที่ “ไม้กางเขน” ยังคงอยู่ และกำลังแผ่ขยายออกไปทุกวัน แต่พระองค์เลือกเป็นกษัตริย์แห่งความรักที่มีบัลลังก์จารึกอยู่ในหัวใจของมนุษย์ทุกคนชั่วกัลปวสานอาณาจักรของพระองค์มีพื้นฐานอันมั่นคงอย่างยิ่งนั่นคือ
“ความรักอันเสียสละ” !
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น