พี่น้องที่รัก
วัดเซนต์หลุยส์ครบ
60 ปีแล้ว
ขอขอบพระคุณพระเจ้า งานทุกอย่างที่จัดเพื่อสรรเสริญพระเจ้า ขอบพระคุณพระองค์
และประกาศความรักอันยิ่งใหญ่ให้เพื่อนพี่น้องได้รับรู้ ผ่านพ้นไปอย่างเรียบร้อยและสง่างาม นับตั้งแต่งานเดินการกุศลในวันอาทิตย์ที่ 20
สิงหาคมที่สวนลุมพินี และการเตรียมจิตใจ 9 วันก่อนวันฉลองอย่างเป็นทางการ
บรรยากาศอย่างเป็นธรรมชาติของการมาวัดเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอทุกเช้าและตอนเย็น
ถึงแม้ว่าไม่มากมายเหมือนวันเสาร์และอาทิตย์
แต่ก็มากด้วยคุณภาพที่ชวนกันมาขอบพระคุณพระเจ้า
โดยเฉพาะค่ำคืนที่ 26 สิงหาคม ซึ่งพระคาร์ดินัลมีชัย กิจบุญชู มาเป็นประธานมิสซาฉลองภายใน
เดินแห่รูปนักบุญรอบวัดและมาเสกศาลาหลุยส์มารีย์และโถงเอนกประสงค์ใหม่
บรรยากาศสวยงามและชวนศรัทธาดี
ถึงแม้ว่ายามดึกฝนจะเทลงมาจนน่าเป็นห่วงงานในวันรุ่งขึ้น
แต่ที่สุดทุกอย่างพร้อมแล้วในวันอาทิตย์ที่ 27 สิงหาคม บรรดาสภาภิบาลวัด
ผู้เกี่ยวข้องทุกองค์กรมาต้อนรับพระคาร์ดินัลเกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิชอย่างอบอุ่น
และงานฉลองวัดอย่างเต็มรูปแบบพร้อมกับแห่รูปนักบุญออกไปนอกวัดที่ริมถนนสาทรใต้เพื่อผ่านเข้าไปในโรงพยาบาลเซนต์หลุยส์และกลับมาที่โถงเอนกประสงค์เพื่อภาวนาขอบพระคุณพระเจ้าด้วยกันต่อหน้ารูปนักบุญ
ทุกอย่างจบลงด้วยคำชื่นชมและรอยยิ้มกว้าง “สมกับงานฉลองวัด 60 ปี”
ยิ่งใหญ่ทั้งในวัดและเรียบร้อยในการจัดบรรยากาศรอบวัด
ขอขอบคุณทุกท่านอีกครั้งหนึ่ง
ขอเก็บชื่อไว้ในใจแต่บอกออกมาภายนอกว่า “สิ่งที่ท่านได้ทำพระจดจำได้หมด”
แม้แต่ผู้ดูแลความสะอาดทั้งห้องน้ำและบริเวณสถานที่ตลอดงาน
งานเล็กพระเจ้าถือยิ่งใหญ่ และยังพอพระทัยในความรับผิดชอบงานใหญ่ๆ และสำคัญไว้ทั้งหมด
ขออภัยในข้อบกพร่อง
งานสิ่งใดๆในส่วนที่ขาดๆเกินๆย่อมมี จะละไว้ก็ไม่ใช่
ขอนำไปปรับปรุงเพื่อทำให้งานฉลองวัดปีหน้าดียิ่งขึ้น ใครมีอะไรที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ขอเชิญแนะนำได้ที่พ่อ
ก้าวต่อไปอย่างมุ่งมั่นคือการสร้างชุมชนศิษย์พระคริสต์วัดเซนต์หลุยส์ให้เจริญเติบโตด้วยความเชื่อและเป็นประจักษ์พยานให้กับเพื่อนบ้าน
โดยเฉพาะครอบครัวที่อบอุ่น พระกระแสเรียกที่งอกงามเพิ่มขึ้น
และทุกองค์กรของวัดช่วยพระเยซูเจ้าประกาศข่าวดีของพระองค์ 75
ปีของวัดกับวันที่รอคอย....
พ่อเจ้าวัด
................................................................................................
คำสอนหลักที่พระเยซูเจ้าตรัสถึงบ่อยที่สุด
คือเงื่อนไขในการติดตามพระองค์ซึ่งมี 3 ประการด้วยกัน (เทียบ มธ10:37-39;
มก 8:34-37; ลก 9:23-27; 14:25-27;
17:33; ยน12:25)
1. เลิกคิดถึงตนเอง
หรือบางคนเรียกว่า “ปฏิเสธตนเอง” (self-denial) ส่วนใหญ่เรามักคุ้นเคยกับการปฏิเสธตนเองแบบจำกัด
โดยเฉพาะบางเวลา เช่น ละเว้นไม่กินเนื้อวันศุกร์
พลีกรรมช่วงมหาพรต ฯลฯแต่นี่เป็นเพียงเสี้ยวหนึ่งของการเลิกคิดถึงตนเองตามความหมายของพระเยซูเจ้า
เพราะสำหรับพระองค์การเลิกคิดถึงตนเองหมายถึงการพูด “ไม่”
กับตัวเองและ “ใช่” กับพระเจ้าทุกลมหายใจตลอดชีวิต ไม่ใช่ “ใช่” กับพระองค์เพียงช่วงใดช่วงหนึ่งเป็นการลดบทบาทตนเองหรือปลดตนเองลงจากบัลลังก์ชีวิต
แล้วอัญเชิญพระองค์ขึ้นสู่บัลลังก์เพื่อเป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราตลอดไป
2. แบกไม้กางเขนของตน
นั่นคือยอมรับภาระทุกอย่างอันเกิดจากการรับใช้ด้วยความเสียสละ
เช่นยอมละทิ้งความทะเยอทะยานส่วนตัวเพื่อรับใช้พระเยซูเจ้า
ยอมสละเวลาว่างและความบันเทิงส่วนตัวเพื่อเยี่ยมเยียนหรือรับใช้ผู้สูงอายุ
เด็กกำพร้า ผู้พิการ ผู้ด้อยโอกาส ฯลฯ
ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการรับใช้พระเจ้าที่ดีที่สุด
3. ติดตามพระเยซูคริสตเจ้า
คือยอมรับพระองค์เป็นผู้นำของเรา และพร้อมนบนอบเชื่อฟังพระองค์ทั้งด้านความคิด
วาจา และกิจการเรียกว่าพร้อมเดินตามรอยพระองค์ทุกย่างก้าวนอกจากเงื่อนไขในการติดตามพระองค์ทั้ง
3 ข้อแล้ว พระองค์ยังแยกแยะให้เราเห็นความแตกต่างระหว่าง “คนเป็น” และ “คนมีชีวิต”
(existing vs living) อีกด้วยผู้ใดมีปอดที่ยังหายใจได้และหัวใจที่ยังเต้นอยู่ก็ได้ชื่อว่า
“คนเป็น” แล้ว แต่คนที่ “มีชีวิต”
จำเป็นต้องมีคุณค่ามากกว่านี้แน่ เช่น มีดวงวิญญาณที่สงบสุข
มีจิตใจที่ร่าเริงเบิกบาน หรือมีความตื่นเต้นซาบซึ้งอยู่ทุกขณะจิตวันนี้
พระเยซูเจ้าทรงประทานตำราหรือคาถาทำให้ “คนเป็น” มีชีวิต กล่าวคือ
1. “ผู้ใดใคร่รักษาชีวิตของตนให้รอดพ้น
ก็จะสูญเสียชีวิตนิรันดร” มัทธิว เขียนพระวรสารระหว่างปีค.ศ. 80-90
ซึ่งเริ่มมีการเบียดเบียนศาสนาแล้ว
ท่านจึงนำคำสอนของพระเยซูเจ้ามาบันทึกไว้เพื่อเตือนใจคริสตชนว่า “หากท่านละทิ้งความเชื่อ จริงอยู่ท่านอาจรักษาชีวิตไว้ได้
แต่ก็เจริญชีวิตก็เพื่อรอวันตายและเป็นความตายชั่วนิรันดร ตรงกันข้ามหากท่านรักษาความเชื่อไว้ ก็อาจตาย
แต่ก็ตายเพื่อจะได้มีชีวิตนิรันดร”แม้ว่าทุกวันนี้โอกาสตายเพื่อยืนยันความเชื่อจะเหลือน้อยเต็มที
แต่หากเรามัวสลวนอยู่กับการแสวงหาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิตหรือดำเนินชีวิตที่ง่ายๆสะดวกสบาย
หรือตัดสินใจตามมาตรฐานและแรงจูงใจแบบชาวโลก
เรากำลังทำให้ชีวิตของเราด้อยค่า หย่อนยาน เห็นแก่ตัว
และยึดติดอยู่กับสิ่งของของโลกและหากเราดำเนินชีวิตดังเช่นที่กล่าวมา เราไม่ใช่ “มนุษย์” อีกต่อไป
เพราะมนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาของพระเจ้า
2. “ผู้ใดเสียชีวิตของตนเพราะเรา
ก็จะพบชีวิตนิรันดร” ในอดีตที่ผ่านมา เราได้พบเห็นผู้คนมากมายที่ยอมเสี่ยงหรือยอมสูญเสียทุกสิ่งเพื่อพระเยซูเจ้า
ต่างได้รับการจารึกชื่อไว้อย่างยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์หากไม่มีใครยอมสละความมั่นคงปลอดภัยส่วนตน
หรือไม่ยอมเสี่ยงเพื่อค้นคว้ายารักษาโรคร้าย หรือคิดค้นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ๆ ชีวิตของเราคงยากลำบากหรืออาจจบสิ้นไปแล้วก็เป็นได้หรือหากแม่กลัวเจ็บไม่ยอมเสี่ยงคลอดบุตร
เราจะเกิดมาได้อย่างไรกัน ?ทุกคนที่พร้อมเดิมพันชีวิตของตนเพื่อพระเจ้าเท่านั้นแหละ
ที่จะพบชีวิตนิรันดร!
3. “มนุษย์จะได้ประโยชน์ใดในการที่ได้โลกทั้งโลกเป็นกำไร
แต่ต้องเสียชีวิต”หากเรามีตำแหน่งสูง
มีอำนาจวาสนาและบารมีล้นเหลือ ผู้คนนับหน้าถือตา ไปไหน ๆ ก็มีคนล้อมหน้าล้อมหลัง
แล้วอยู่มาวันหนึ่งเราเกิดค้นพบว่าชีวิตของตนไร้ค่า
มีทางใดหรือที่เราจะได้ชีวิตกลับคืนมา?ทุกครั้งที่เราตัดสินใจกระทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
เรากำลังทำให้ตัวของเรามีรูปแบบบุคลิกลักษณะเฉพาะและกลายเป็นนิสัยติดตัวตลอดไป
จนกลายเป็นว่าเราสามารถทำสิ่งหนึ่งได้อย่างคล่องแคล่ว
แต่ไม่สามารถทำสิ่งอื่นได้อีกเลย
ตัวอย่างเช่น หากเราเป็นคนเห็นแก่ตัวมาทั้งชีวิต
ไม่เคยฟังหรือคิดถึงผู้อื่นเลย
ย่อมคาดหวังไม่ได้เลยว่าในบั้นปลายของชีวิตเราจะกลับกลายเป็นคนเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือรู้จักรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นเมื่อวาระสุดท้ายมาถึง
เราไม่อาจนำสิ่งใดติดตัวไปได้เลยนอกจากตัวของเราเอง
หากเราลดตัวลงไปยึดติดกับสิ่งที่เป็นของโลกมันจะน่าเศร้าและขมขื่นสักเพียงใด?และกฎเกณฑ์ในการตัดสินคือ ผู้ที่เห็นแก่ตัว ผู้ที่แสวงหาความมั่นคงปลอดภัยในชีวิต
ผู้ที่ชอบยศถาบรรดาศักดิ์และความสะดวกสบายที่โลกหยิบยื่นให้
อาจถือว่าประสบความสำเร็จในสายตาของชาวโลก
แต่สอบตกในสายตาของชาวสวรรค์ส่วนผู้ที่อุทิศตนด้วยความเสียสละเพื่อผู้อื่น
อาจเป็นคนโง่เง่าในสายตาของชาวโลก แต่เป็นที่ชื่นชอบของชาวสวรรค์และสมกับรางวัลที่พระเจ้าจะประทานให้
!
คพ. พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น