พี่น้องที่รัก
ขอบคุณในการฉลองศาสนนามนักบุญ วันฉลองนักบุญยอห์นบัปติสต์ของพ่อ
ยังมีคุณพ่อยอห์นบัปติสต์เกรียงชัยตรีมรรคา คุณพ่อเคยเป็นผู้ช่วยเจ้าวัดเซนต์หลุยส์ในอดีต
และปัจจุบันยังคงมาช่วยถวายมิสซาในวันอาทิตย์บ่อยๆ ขอร่วมยินดีตามน้ำ(พระทัย)ด้วยนะครับ และในวันนี้ พระศาสนจักรยังให้เราฉลองนักบุญเปโตรและเปาโล พ่อขอร่วมยินดีกับคุณพ่อเปโตรสมภพ
เรืองวุฒิชนะพืช คุณพ่อช่วยงานอภิบาลเสาร์และอาทิตย์และงานสำคัญๆของวัดอย่างสม่ำเสมอ
ขอทุกท่านช่วยภาวนาและสนับสนุนงานประจำของพ่อที่วิทยาลัยเซนต์หลุยส์และในโรงพยาบาลด้วย
เริ่มเตรียมฉลองวัดแล้ว หลายท่านคงเห็นกรรมการสภาภิบาลวัดเริ่มประชาสัมพันธ์งานเดินการกุศลวันอาทิตย์ที่ 20 สิงหาคม
เอาเหงื่อก่อนยกจิตใจฉลองวัดวิหารภายในใจ 27 สิงหาคม เชิญชวนนะครับ
มีอะไรช่วยได้บอกเจตนาได้เลยที่โต๊ะกรรมการและส่วนตัวกับพระสงฆ์ท่านใดก็ได้ ขอการสนับสนุนโดยเฉพาะผู้สนับสนุนรายการเดินการกุศล(สปอนเซอร์ตั้งแต่ 30,000-50,000 บาท)เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายการดำเนินงาน ส่วนบัตรเดิน มีของอภินันทนาการเสริมให้ด้วย
จะมามอบให้ในอีกไม่ช้า และมีส่งท้ายของงานเดินจะมีรางวัลเซอร์ไพรซ์มอบให้ อันนี้ ขออุบบบส์ไว้ก่อนเดี๋ยวลุ้นเองหน้างานในวันนั้น
การฉลองวัด ในวันอาทิตย์ที่ 27 มิสซาเวลา 10.00 น.โดยพระคุณเจ้าพระคาร์ดินัลฟรังซิสเกรียงศักดิ์ เป็นประธาน
ก่อนหน้านั้น 9 วัน มิสซาเวลา 17.30 น.ทุกวันดังกล่าวจะเป็นมิสซาเตรียมจิตใจตั้งแต่เย็นวันที่ 18-26 สิงหาคม โอกาสฉลองวัดครบ 60 ปี 2500-2560
(1957-2017) ใครมีรูปภาพเก่าน่าสนใจให้คนอื่นดูโปรดติดต่อกับพ่อด่วนหรือมาที่สำนักงานวัดได้
พ่อต้องการทำสำเนาและขยายเพื่อให้คนอื่นดูว่า 60 ปีมีเรื่องราวมากมายชวนคิดให้ฟิตร่างกายและจิตใจเพื่อฉลองวัด
100 ปีต่อไป ใครอยากร่วมฉลองยกมือขึ้น (ขอให้ยกไหวๆ
ถ้ายกไม่ไหวก็ตัวใครตัวมัน)
“60
ปีแห่งความหลัง รวมพลังขอบพระคุณพระเจ้าด้วยความหวังเดียวกันคือความรักของพระอันยิ่งใหญ่”
พ่อชาญชัย ทิวไผ่งาม
..................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
พระคัมภีร์ไม่ได้บันทึกการพลีชีพเป็นมรณสักขีของนักบุญเปโตรและเปาโล
รวมถึงอัครสาวกองค์อื่นๆ ยกเว้นนักบุญยากอบบุตรของเศเบดี (กจ12:1-2) แต่เป็นที่รับรู้ในหมู่คริสตชนว่า
ท่านทั้งสองได้พลีชีพเป็นมรณสักขีที่กรุงโรมตามคำสั่งของจักรพรรดิเนโร (ค.ศ. 54-68)
เปโตร ถูกตรึงกางเขนเอาหัวลง ในปี ค.ศ. 64
บนเนินวาติกันอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตรในปัจจุบัน ส่วน เปาโล
ในฐานะที่เป็นพลเมืองโรมัน ถูกตัดศีรษะด้วยดาบประมาณปี ค.ศ. 67 บนเนินน้ำพุนอกกรุงโรม
ที่กลายมาเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมืองในปัจจุบัน
นักบุญเอากุสตินกล่าวเอาไว้ในบทเทศน์ของท่านว่า
“อัครสาวกทั้งสองมีวันฉลองวันเดียวกัน
เพราะว่าท่านทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าจะพลีชีพเป็นมรณสักขีคนละวันก็ตาม”
ดังนั้น พระศาสนจักรจึงเฉลิมฉลองอัครสาวกทั้งสองในวันเดียวกัน
ในฐานะที่เป็น “ศิลารากฐาน” ของพระศาสนจักรสากล
ซึ่งท่านทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการยืนยันความเชื่อถึงพระคริสตเจ้าสืบต่อมา อีกทั้ง
ยังสั่งสอนหลักความจริงของพระคริสตเจ้า และสละชีวิตของตนเป็นพยานยืนยันความจริงนั้น
เปโตร เดิมชื่อ “ซีโมน”
เป็นชาวประมงธรรมดาคนหนึ่งในตำบลเบทไซดา (ลก 5:3; ยน1:44) ไม่ได้มีการศึกษาอะไรมากนัก สิ่งที่ท่านรู้ดีที่สุดคือการจับปลา
ต่อมาได้ย้ายมาตั้งหลักแหล่งที่เมืองคาร์เปอร์นาอุม (มก 1:21-29) แต่ยังคงเลี้ยงชีพด้วยการจับปลาเช่นเดิม มีน้องชายชื่อ อันดรูว์
ซึ่งเป็นคนแนะนำให้ท่านติดตามพระเยซูเจ้า (ยน1:42) เป็นไปได้ว่า ยอห์น แบปติสต์
คือผู้ที่เตรียมจิตใจท่านสำหรับการพบปะครั้งสำคัญกับพระเยซูเจ้า
และท่านได้ละทิ้งทุกสิ่งติดตามพระองค์ทันที
พระเยซูเจ้าได้ทรงเปลี่ยนชื่อของท่านจาก
“ซีโมน” เป็น “เคฟาส” หรือ เปโตร ซึ่งแปลว่า ศิลา (มธ16:17-19)
เพื่อทำหน้าที่เป็นศิลาที่พระองค์จะตั้งพระศาสนจักร
และเป็นหัวหน้าของอัครสาวก (ยน21:15-17) ท่านเป็นคนหนึ่งในบรรดาพยานที่พบพระคูหาว่างเปล่า
(ยน20:6) พระเยซูเจ้าทรงสำแดงพระองค์แก่ท่านด้วยหลังจากทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว
(ลก 24:34; 1คร15:5) จะเห็นว่า
เปโตรแม้จะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนอาชีพแล้ว แต่ยังอ่อนแอ พลาดพลั้ง และท้อถอย
(เคยปฏิเสธพระเยซูเจ้า 3 ครั้ง
เคยหนีจากกรุงโรมจนได้พบกับพระเยซูเจ้าอีกครั้ง “Quo vadis?: ท่านกำลังจะไปไหน”)
บทเรียนที่เราได้จากชีวิตของเปโตร
สะท้อนธรรมชาติของมนุษย์เราแต่ละคนซึ่งมี 2 ลักษณะ คือ
ธรรมชาติที่เป็นพระและที่เป็นคน 1)
ธรรมชาติที่เป็นคน คือ “ซีโมน” ชื่อเดิม คนเดิม ที่ขี้คุย กลับกลอก และอ่อนแอ 2) ธรรมชาติที่เป็นพระ
คือ “เคฟาส” หรือ “เปโตร” ที่ร้อนรน กล้าหาญเด็ดเดี่ยว ธรรมชาติทั้งสองอย่างนี้มีอยู่ในตัวเราอย่างเต็มเปี่ยม
แต่สิ่งที่ทำให้เปโตรสามารถเอาชนะธรรมชาติที่เป็นซีโมนได้
จนกลายเป็นนักบุญผู้ยิ่งใหญ่คือ การกลับใจ
หลังจากปฏิเสธพระเยซูเจ้าเป็นครั้งที่สามต่อหน้าหญิงรับใช้ที่บ้านของคายาฟาส เปโตรรู้สึกสำนึกได้
และออกไปข้างนอกร้องไห้อย่างขมขื่น (ดู มธ26:69-75)
เปาโล เดิมชื่อ “เซาโล”
เกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซิลีเซีย อยู่ในตระกูลเบนยามิน
เป็นฟาริสีชั้นแนวหน้าในการตามล่าศิษย์ของพระเยซูเจ้า
ซึ่งท่านคิดว่าเป็นพวกมิจฉาทิฐิที่ต้องกำจัดให้หมดสิ้นไป
แต่เมื่อพระคริสตเจ้าทรงสำแดงพระองค์ให้ท่านเห็น
ขณะที่กำลังเดินทางไปจับกุมคริสตชนที่เมืองดามัสกัสมารับโทษ
ท่านเข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า
บรรดาคริสตชนเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในพระกายทิพย์ของพระคริสเจ้า
ท่านได้กลับใจรับศีลล้างบาปจากอานาเนีย
และกลายมาเป็นธรรมทูตผู้ยิ่งใหญ่ของพระคริสตเจ้า เปาโลได้รับเลือกให้เป็นธรรมทูตพร้อมกับบาร์นาบัส
ออกเดินทางไปประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้าอย่างกว้างขวาง เราทราบรายละเอียดพอสมควร
เกี่ยวกับการเดินทางแพร่ธรรมทั้งสามครั้งของท่าน
จากหนังสือกิจการอัครสาวกตั้งแต่บทที่ 13 เป็นต้นไป
ท่านประกาศพระนามของพระคริสตเจ้าทั้งแก่ชาวยิวและคนต่างศาสนา
ตั้งกลุ่มคริสตชนขึ้นในเมืองต่างๆ ทำให้ท่านเป็น “อัครสาวกของคนต่างศาสนา”
เป็น เครื่องมือนำพระนามของพระเยซูเจ้าไปประกาศแก่ชนต่างศาสนา
(เทียบ กจ9:15) อย่างแท้จริง บทเรียนที่เราได้จากชีวิตของเปาโล
จากผู้เบียดเบียนตัวยง พระเยซูเจ้าทรงเรียกและเลือกให้เป็นผู้ประกาศพระนามของพระองค์
และท่านได้กระทำเช่นนั้นตลอดชีวิต ด้วยการพลีชีพเพื่อพระเยซูเจ้าด้วยความกล้าหาญ
แง่คิดที่เราได้คือ “การเบียดเบียนพระศาสนจักรหรือคริสตชนเท่ากับเป็นการเบียดเบียนพระคริสตเจ้าเอง”
ดังนั้น พระเจ้าสามารถเรียกและเลือกใช้ผู้ที่พระองค์ทรงปรารถนาและไม่มีใครที่จะสามารถขัดพระประสงค์ของพระองค์ได้
ให้เราทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าอย่างสม่ำเสมอเถิด
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น