วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            " ปีศาจยังมีอยู่.... แม้ในศตวรรษที่ 21 ของเรานี้" พระสันตะปาปาฟรังซิส กล่าวไว้
            พระสันตะปาปาฟรังซิสให้คำเตือนไว้ 13 ครั้ง ถึงศัตรูเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์นั่นคือ "ปีศาจ"
            เพทุบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีศาจคือ ทำให้มนุษย์หลงเชื่อว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ แต่พระสันตะปาปาฟรังซิส ไม่หลงกลของมัน พระองค์จึงเทศน์สอนตั้งแต่แรกที่พระองค์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพระศาสนจักร ด้วยการเตือนทุกคนว่า ปีศาจมีอยู่จริง เราต้องระมัดระวังตัว ความหวังที่เราจะมีชัยชนะเหนือมันได้ก็โดยผ่านทางพระเยซูเท่านั้น ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกคำเทศน์สอนของพระองค์ 10 ครั้ง
            1. "เมื่อใครก็ตามที่ไม่ได้ประกาศยืนยันความเชื่อในหนทางของพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับผู้นั้นประกาศความเชื่อในโลกียวิสัยซึ่งก็คือหนทางของปีศาจนั่นเอง" (เทศน์ครั้งแรก 3/14/2013)
            2. "ซาตาน บุตรของโลกนี้ ไม่ต้องการให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ต้องการให้เราติดตามพระเยซู  พวกท่านบางคนอาจกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหัวเก่าเช่นนี้ มาพูดถึงเรื่องของปีศาจ ในศตวรรษที่ 21 แต่จงระวังเถิด เพราะปีศาจมีตัวตนอยู่จริง มันอยู่ในยุคของเรานี่แหละ เราต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับมันด้วยการศึกษาพระวรสาร" (บทเทศน์ 4/10/2014)
            3. "ปีศาจ มีเป้าหมายที่จะโจมตีครอบครัว มันพยายามทำลายสถาบันครอบครัว ขอพระเจ้าโปรดปกปักษ์พิทักษ์ครอบครัว ขอพระองค์โปรดให้ครอบครัวเข้มแข็งผ่านวิกฤติต่างๆไปได้" (บทเทศน์ 6/1/2014)
            4. “เมื่อเราเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน เราพบว่าปีศาจมันอยู่รอบตัวเรานี่แหละ มันยังทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่ข้าพเจ้าอยากย้ำด้วยเสียงดังว่า พระเจ้านั้นทรงฤทธานุภาพเข้มแข็งกว่า ท่านเชื่อเช่นนี้ไหม ว่าพระองค์เข้มแข็งกว่า (General Audience 6/12/2013)
            5. "ให้เราภาวนาขอพระพรของพระเจ้า เพื่อเราจะทำทุกสิ่งอย่างจริงใจ เพราะพระองค์มาต่อสู้เพื่อความรอดพ้นของชาวเรา พระองค์มีชัยชนะเหนือปีศาจ ดังนั้นขอให้เราทุกคน อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจ พระเจ้ามาเพื่อนำทางเราไปยังบ้านของพระองค์ เพื่อเราจะเป็นของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จงมั่นคงเด็ดเดี่ยว ที่จะอยู่กับพระเยซูเสมอ" (บทเทศน์ 11/8/2013)
            6. "ภาพของปีศาจปรากฏมาตั้งแต่ในหน้าแรกของหนังสือพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ก็มีบทสรุปจบลงด้วยภาพของปีศาจที่ถูกกำราบอยู่ภายใต้ชัยชนะของพระเจ้า" (บทเทศน์ 11/8/2013)
            7. "ไม่ว่าท่านจะอยู่ข้างเรา หรือ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา พระเจ้าตรัส พระเยซูเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของปีศาจ ประเด็นนี้แสดงให้เราเห็นว่า สงครามต่อสู้กำลังดำเนินอยู่เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น เราจึงต้องระมัดระวังตัวเสมอ อย่าหลงไปกับคำโป้ปดหลอกลวง ซึ่งมาจากลมปากของปีศาจ" (บทเทศน์ 10/11/2013)
            8. "ปีศาจ หว่านเชื้อพันธุ์ของความเลว ลงบนความดี มันพยายามทำให้ผู้คนแตกแยก ครอบครัวแตกแยก ชาติต่างๆขัดแย้งกัน แต่พระเจ้าทรงมองลึกถึงเนื้อนาดีของเราทุกคนด้วยความเมตตาและอดทนเสมอ พระองค์แยกแยะมลทินและความเลวร้ายได้ชัดเจนกว่าเรา พระองค์เห็นว่าเมล็ดพันธุ์แห่งดีกำลังเติบโตขึ้น พระองค์รอคอยด้วยความอดทน" (บทเทศน์ 7/20/2014)
            9. "ปีศาจ ทนไม่ได้ที่เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคล มันต้องหาทางทำบางสิ่งบางอย่าง" (บทเทศน์ 5/7/2014)
            10. "จงจำให้ดี พระเยซูไม่เสวนากับปีศาจ เหมือนอย่างที่เอวาเคยทำในสวนเอเดน พระเยซูรู้ดีว่า เราไม่ควรเสวนากับปีศาจ เพราะมันเป็นจอมหลอกลวง ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงใช้พระวาจาของพระเจ้ามาเป็นเกราะกำบัง จงอย่าเสวนากับซาตาน แต่จงปกป้องตัวเองด้วยฤทธานุภาพของพระวาจาของพระเจ้าแล้วเราจะปลอดภัย(เทวทูต 3/9/2014)
            จากบทความ Churchpop.com

พ่อสุพจน์
........................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            คริสตชนโดยทั่วไปเชื่อว่าการอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพระองค์ที่พิสูจน์ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เนื่องจากพระเยซูเจ้ามีสองธรรมชาติคือ ธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติพระเจ้า การที่พระองค์ทรงรู้สึกหิว เหน็ดเหนื่อยและสิ้นพระชนม์ นั่นคือเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ ส่วนการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทำเป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
            แต่นักพระคัมภีร์และนักเขียนคริสตชนหลายคนมองว่า การอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ มิใช่กิจการที่แสดงถึงอำนาจและพลานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่เป็นกิจการแห่งความรักและความเมตตากรุณา ที่สะท้อนความสงสารที่มีต่อคนบาปและผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อน และการอัศจรรย์แต่ละอย่างมีคำสอนเฉพาะที่พระองค์ทรงต้องการสอนเรา
            การอัศจรรย์ที่กล่าวถึงในพระวรสารมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญสองประการคือ เพื่อประกาศพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเป็น หลักฐานพยานที่มีคุณค่าในตัวเอง พระเยซูเจ้าทรงอ้างถึงงานที่ทรงกระทำว่าเป็นพยานถึง พันธกิจและ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ทรงยืนยันว่า การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำเป็นคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์นบัปติสต์ (ยน 5:36) แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่าพระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” (ยน 10:37-38) คริสตชนถือเสมอมาว่า การอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเป็นเหมือนสื่อที่นำสารของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระวาจาของพระองค์ เราพบความจริงว่าอัศจรรย์หลายครั้งเน้นความสำคัญของความเชื่อ ดังเช่น
·                     การรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า อำนาจของเราช่วยเจ้าให้รอดแต่ตรัสว่า จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว” (ลก 17:19)
·                    การดำเนินบนน้ำ เปโตรได้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อ เพราะการขาดความเชื่อจึงทำให้ท่านเริ่มจมลง (มธ 14:31) พระเยซูเจ้าต้องการสอนบรรดาอัครสาวกว่าเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ก่อนอื่นพวกเขาจะต้องมีความเชื่อในพระองค์
·                    การรักษาผู้หญิงที่ตกเลือดมาสิบสองปี พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเธอว่า ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” (มธ 9:22)แต่บางอัศจรรย์สื่อถึงความจริงบางอย่าง เช่น การทวีขนมปังเลี้ยงคนมากกว่า 5,000 คน พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนเราให้ร่วมมือกับพระองค์ในการทำอัศจรรย์ เหมือนเด็กคนนั้นที่ได้มอบ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวซึ่งเป็นอาหารสำหรับตัวเขาให้กับพระองค์ ทรงกล่าวถวายพระพรและแบ่งให้ทุกคน เมื่อทุกคนเห็นแบบอย่างนี้ต่างนำอาหารที่ตนเองเตรียมมาแบ่งปันกันอัศจรรย์จึงเกิดขึ้น นั่นคือ ทรงเปลี่ยนใจที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาแต่ละคนให้เป็นคนใจกว้างและคิดถึงคนอื่น ส่วนนักบุญยอห์นนำเสนอเรื่องนี้เพื่อหมายถึง ศีลมหาสนิทที่พระองค์จะประทานให้
            การอัศจรรย์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระแมสิยาห์ที่พันธสัญญาเก่ากล่าวถึง ชาวยิวรอคอยพระแมสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญามาเป็นเวลานาน พระเยซูเจ้าทรงยืนยันความจริงนี้ในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศข่าวดีแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า” (ลก 4:18)เมื่อยอห์นบัปติสต์ถูกจองจำอยู่ในคุกได้ยินกิตติศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ จึงส่งศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่าเป็นผู้ที่จะมาหรือต้องคอยใครอีก และพระองค์ตรัสตอบว่า จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้รับการประกาศข่าวดี” (มธ 11:2-6) การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระแมสิยาห์ที่พวกเขารอคอย

คพ.พงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น