พี่น้องที่รัก
"
ปีศาจยังมีอยู่.... แม้ในศตวรรษที่ 21 ของเรานี้" พระสันตะปาปาฟรังซิส กล่าวไว้
พระสันตะปาปาฟรังซิสให้คำเตือนไว้ 13 ครั้ง
ถึงศัตรูเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์นั่นคือ "ปีศาจ"
เพทุบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีศาจคือ
ทำให้มนุษย์หลงเชื่อว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ แต่พระสันตะปาปาฟรังซิส ไม่หลงกลของมัน
พระองค์จึงเทศน์สอนตั้งแต่แรกที่พระองค์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพระศาสนจักร
ด้วยการเตือนทุกคนว่า ปีศาจมีอยู่จริง เราต้องระมัดระวังตัว
ความหวังที่เราจะมีชัยชนะเหนือมันได้ก็โดยผ่านทางพระเยซูเท่านั้น
ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกคำเทศน์สอนของพระองค์ 10 ครั้ง
1.
"เมื่อใครก็ตามที่ไม่ได้ประกาศยืนยันความเชื่อในหนทางของพระเยซูคริสต์
ก็เท่ากับผู้นั้นประกาศความเชื่อในโลกียวิสัยซึ่งก็คือหนทางของปีศาจนั่นเอง"
(เทศน์ครั้งแรก 3/14/2013)
2.
"ซาตาน บุตรของโลกนี้ ไม่ต้องการให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์
มันไม่ต้องการให้เราติดตามพระเยซู
พวกท่านบางคนอาจกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหัวเก่าเช่นนี้
มาพูดถึงเรื่องของปีศาจ ในศตวรรษที่ 21 แต่จงระวังเถิด
เพราะปีศาจมีตัวตนอยู่จริง มันอยู่ในยุคของเรานี่แหละ
เราต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับมันด้วยการศึกษาพระวรสาร" (บทเทศน์ 4/10/2014)
3.
"ปีศาจ มีเป้าหมายที่จะโจมตีครอบครัว
มันพยายามทำลายสถาบันครอบครัว ขอพระเจ้าโปรดปกปักษ์พิทักษ์ครอบครัว
ขอพระองค์โปรดให้ครอบครัวเข้มแข็งผ่านวิกฤติต่างๆไปได้" (บทเทศน์ 6/1/2014)
4.
“เมื่อเราเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน
เราพบว่าปีศาจมันอยู่รอบตัวเรานี่แหละ มันยังทำงานอย่างขะมักเขม้น
แต่ข้าพเจ้าอยากย้ำด้วยเสียงดังว่า พระเจ้านั้นทรงฤทธานุภาพเข้มแข็งกว่า
ท่านเชื่อเช่นนี้ไหม ว่าพระองค์เข้มแข็งกว่า (General Audience 6/12/2013)
5.
"ให้เราภาวนาขอพระพรของพระเจ้า เพื่อเราจะทำทุกสิ่งอย่างจริงใจ
เพราะพระองค์มาต่อสู้เพื่อความรอดพ้นของชาวเรา พระองค์มีชัยชนะเหนือปีศาจ
ดังนั้นขอให้เราทุกคน อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจ
พระเจ้ามาเพื่อนำทางเราไปยังบ้านของพระองค์ เพื่อเราจะเป็นของพระองค์
ดังนั้นจงอย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จงมั่นคงเด็ดเดี่ยว ที่จะอยู่กับพระเยซูเสมอ"
(บทเทศน์ 11/8/2013)
6.
"ภาพของปีศาจปรากฏมาตั้งแต่ในหน้าแรกของหนังสือพระคัมภีร์
แต่พระคัมภีร์ก็มีบทสรุปจบลงด้วยภาพของปีศาจที่ถูกกำราบอยู่ภายใต้ชัยชนะของพระเจ้า"
(บทเทศน์ 11/8/2013)
7.
"ไม่ว่าท่านจะอยู่ข้างเรา หรือ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา
พระเจ้าตรัส พระเยซูเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของปีศาจ
ประเด็นนี้แสดงให้เราเห็นว่า
สงครามต่อสู้กำลังดำเนินอยู่เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น
เราจึงต้องระมัดระวังตัวเสมอ อย่าหลงไปกับคำโป้ปดหลอกลวง ซึ่งมาจากลมปากของปีศาจ"
(บทเทศน์ 10/11/2013)
8.
"ปีศาจ หว่านเชื้อพันธุ์ของความเลว ลงบนความดี
มันพยายามทำให้ผู้คนแตกแยก ครอบครัวแตกแยก ชาติต่างๆขัดแย้งกัน
แต่พระเจ้าทรงมองลึกถึงเนื้อนาดีของเราทุกคนด้วยความเมตตาและอดทนเสมอ
พระองค์แยกแยะมลทินและความเลวร้ายได้ชัดเจนกว่าเรา พระองค์เห็นว่าเมล็ดพันธุ์แห่งดีกำลังเติบโตขึ้น
พระองค์รอคอยด้วยความอดทน" (บทเทศน์ 7/20/2014)
9.
"ปีศาจ ทนไม่ได้ที่เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร หรือ
ความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคล มันต้องหาทางทำบางสิ่งบางอย่าง" (บทเทศน์ 5/7/2014)
10.
"จงจำให้ดี พระเยซูไม่เสวนากับปีศาจ
เหมือนอย่างที่เอวาเคยทำในสวนเอเดน พระเยซูรู้ดีว่า เราไม่ควรเสวนากับปีศาจ
เพราะมันเป็นจอมหลอกลวง ด้วยเหตุนี้
พระเยซูจึงใช้พระวาจาของพระเจ้ามาเป็นเกราะกำบัง จงอย่าเสวนากับซาตาน
แต่จงปกป้องตัวเองด้วยฤทธานุภาพของพระวาจาของพระเจ้าแล้วเราจะปลอดภัย(เทวทูต 3/9/2014)
จากบทความ Churchpop.com
พ่อสุพจน์
........................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
คริสตชนโดยทั่วไปเชื่อว่าการอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า
เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์
และถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพระองค์ที่พิสูจน์ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
เนื่องจากพระเยซูเจ้ามีสองธรรมชาติคือ ธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติพระเจ้า การที่พระองค์ทรงรู้สึกหิว
เหน็ดเหนื่อยและสิ้นพระชนม์ นั่นคือเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์
ส่วนการอัศจรรย์ต่างๆ
ที่ทรงกระทำเป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
แต่นักพระคัมภีร์และนักเขียนคริสตชนหลายคนมองว่า
การอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ มิใช่กิจการที่แสดงถึงอำนาจและพลานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์
แต่เป็นกิจการแห่งความรักและความเมตตากรุณา
ที่สะท้อนความสงสารที่มีต่อคนบาปและผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อน
และการอัศจรรย์แต่ละอย่างมีคำสอนเฉพาะที่พระองค์ทรงต้องการสอนเรา
การอัศจรรย์ที่กล่าวถึงในพระวรสารมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญสองประการคือ
เพื่อประกาศพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเป็น หลักฐานพยานที่มีคุณค่าในตัวเอง
พระเยซูเจ้าทรงอ้างถึงงานที่ทรงกระทำว่าเป็นพยานถึง “พันธกิจ” และ “ความเป็นพระเจ้า” ของพระองค์
ทรงยืนยันว่า การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำเป็นคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์นบัปติสต์
(ยน 5:36) “แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา
อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด
แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่าพระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” (ยน 10:37-38) คริสตชนถือเสมอมาว่า
การอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเป็นเหมือนสื่อที่นำสารของพระเจ้า
เช่นเดียวกับพระวาจาของพระองค์
เราพบความจริงว่าอัศจรรย์หลายครั้งเน้นความสำคัญของความเชื่อ ดังเช่น
·
การรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน
พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า “อำนาจของเราช่วยเจ้าให้รอด”
แต่ตรัสว่า “จงลุกขึ้น ไปเถิด
ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว” (ลก 17:19)
·
การดำเนินบนน้ำ
เปโตรได้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อ
เพราะการขาดความเชื่อจึงทำให้ท่านเริ่มจมลง (มธ 14:31)
พระเยซูเจ้าต้องการสอนบรรดาอัครสาวกว่าเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก
ก่อนอื่นพวกเขาจะต้องมีความเชื่อในพระองค์
·
การรักษาผู้หญิงที่ตกเลือดมาสิบสองปี
พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเธอว่า “ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” (มธ 9:22)แต่บางอัศจรรย์สื่อถึงความจริงบางอย่าง
เช่น การทวีขนมปังเลี้ยงคนมากกว่า 5,000 คน
พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนเราให้ร่วมมือกับพระองค์ในการทำอัศจรรย์
เหมือนเด็กคนนั้นที่ได้มอบ “ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัว”
ซึ่งเป็นอาหารสำหรับตัวเขาให้กับพระองค์
ทรงกล่าวถวายพระพรและแบ่งให้ทุกคน
เมื่อทุกคนเห็นแบบอย่างนี้ต่างนำอาหารที่ตนเองเตรียมมาแบ่งปันกันอัศจรรย์จึงเกิดขึ้น
นั่นคือ
ทรงเปลี่ยนใจที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาแต่ละคนให้เป็นคนใจกว้างและคิดถึงคนอื่น ส่วนนักบุญยอห์นนำเสนอเรื่องนี้เพื่อหมายถึง
“ศีลมหาสนิท” ที่พระองค์จะประทานให้
การอัศจรรย์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระแมสิยาห์ที่พันธสัญญาเก่ากล่าวถึง
ชาวยิวรอคอยพระแมสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญามาเป็นเวลานาน
พระเยซูเจ้าทรงยืนยันความจริงนี้ในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ “พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า
เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน
ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศข่าวดีแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด
ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า” (ลก 4:18)เมื่อยอห์นบัปติสต์ถูกจองจำอยู่ในคุกได้ยินกิตติศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ
จึงส่งศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่าเป็นผู้ที่จะมาหรือต้องคอยใครอีก
และพระองค์ตรัสตอบว่า “จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น
คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ
คนจนได้รับการประกาศข่าวดี” (มธ 11:2-6)
การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระแมสิยาห์ที่พวกเขารอคอย
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น