วันศุกร์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 มกราคม 2017

พี่น้องที่รัก
                งานฉลองคริสต์มาสผ่านพ้นไปแล้ว แม้ว่าปีนี้เราจัดงานคริสต์มาสแบบเรียบง่าย งดการจัดงานรื่นเริง กิจกรรมสนุกสนานต่างๆ อย่างที่เคยจัดมาทุกๆปี เนื่องด้วยอยู่ในช่วงเวลาแห่งการไว้อาลัยก็ตาม แต่การฉลองคริสต์มาสปีนี้ก็มีความสุขใจเหมือนทุกครั้งที่ผ่านๆมา เรามีความสุข ไม่ใช่เพราะว่าเราได้สนุกสนานรื่นเริง เพราะงานรื่นเริงสนุกสนานเป็นเพียงกิจกรรมภายนอก แต่เรามีความสุข เพราะเรามีจิตใจที่อิ่มเอิบ เรามีความสุขเพราะเราได้สัมผัสถึงบรรยากาศการระลึกถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา ด้วยการประทานพระบุตรของพระองค์มาบังเกิด รับเอาสภาพมนุษย์เหมือนกับเรา และประทับอยู่กับเรา ท่ามกลางเราต่างหาก ปรากฏการณ์ที่น่ายินดีอย่างยิ่งก็คือ พี่น้องสัตบุรุษที่เดินทางมารำลึกถึงการบังเกิดของพระเยซูที่วัดของเราจำนวนมาก ทั้งภายในและภายนอกวัด แม้ว่าปีนี้อากาศภายนอกวัดจะค่อนข้างอบอ้าว แต่ทุกคนก็ยังยินดีที่จะมาร่วมในพิธีกรรมที่นำพาให้จิตใจของเราได้ถวายสักการะแด่พระเยซูกุมารที่บังเกิด เสียงเพลงไพเราะของการฉลองคริสต์มาสตามธรรมประเพณีเป็นท่วงทำนองที่ฟังไม่รู้เบื่อ ความงดงามของเสียงประสานที่ถ่ายทอดออกมาจากคณะนักขับร้อง ช่วยให้เราคริสตชนยกจิตใจขึ้นหาพระเจ้าได้ง่ายยิ่งขึ้น หัวใจของเราที่ใกล้ชิดกับพระเจ้า นำสันติสุขที่ยั่งยืนมาสู่ชีวิตของเรา พระเยซูมาบังเกิดก็เพื่อจุดประสงค์นี้แหละ พระองค์มาเพื่อดึงเราให้เข้าใกล้ชิดกับพระเจ้านั่นเอง
                ถัดจากการเฉลิมฉลองคริสต์มาส ก็มาถึงช่วงของการฉลองการเริ่มต้นปีใหม่ พ่อเชื่อว่าปีใหม่ทุกปีเป็นโอกาสที่เราจะเริ่มต้นชีวิตใหม่อีกครั้ง แต่ละขวบปีที่ผ่านมามีบทเรียนสอนเรามากมาย แต่ละขวบปีที่เรากำลังก้าวไปสู่เป็นโอกาสที่เราจะมีความหวังกับสิ่งใหม่ๆที่จะผ่านเข้ามาในชีวิต ปีใหม่จึงเป็นความท้าทายใหม่ของชีวิต ที่จะเป็นช่วงเวลาแห่งการพัฒนาตัวเราไปบนเส้นสายแห่งกาลเวลา ชีวิตของเราต้องก้าวไปข้างหน้าเสมอ ทั้งทางด้านวัยวุฒิ คุณวุฒิ และ ความดีงาม ปีใหม่จึงเป็นจังหวะแห่งกาลเวลาที่เราจะหันมาพิจารณาตัวเรา ว่าถึงเวลาอีกครั้งแล้วที่เราจะเริ่มสิ่งดีใหม่ๆในชีวิต ซึ่งหมายถึงข้อตั้งใจดีที่เราจะฝึกฝน ปฏิบัติ เพื่อเราจะมีคุณธรรมที่งดงามประดับชีวิตให้มีคุณค่ามากยิ่งขึ้นในการดำรงชีวิตร่วมกันกับผู้อื่น
                ขอพระเจ้าประทานพระพรค้ำจุนสนับสนุนพี่น้องทุกท่าน ให้มีความเข้มแข็งในทุกด้านที่จะก้าวไปบนเส้นทางแห่งชีวิตที่ดีขึ้น งดงามขึ้น อดทนได้มากขึ้น ใจกว้างยิ่งขึ้น เอื้อเฟื้อกับผู้อื่นมากขึ้น นี่แหละคือหนทางแห่งชีวิตที่ก้าวหน้าในคุณธรรมความดี บนพื้นฐานแห่งความเข้าใจชีวิตมากขึ้น แล้วเราจะพบว่าท้ายที่สุดแล้ว ยิ่งเราสามารถละความเห็นแก่ตัวของเราได้มากเท่าไร เราก็สามารถมีคนอื่นเพิ่มขึ้นในหัวใจของเราได้มากขึ้นเท่านั้น

พ่อสุพจน์
.............................................................................................................................

ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์ :ปีไก่ eight-kie-eight-eight

วันนี้ สมโภชพระนางมารีย์พระมารดาพระเจ้า
วันนี้ ปีใหม่ ปีไก่ กะต๊ากกะต๊าก

วันนี้ จึงอยากชวนให้คิดถึงแม่ แม้ไม่ใช่วันแม่
แม่แรก คือ มารดา แม่ของเราแต่ละคน
แม่สอง คือ มารดามารีย์ แม่พระของเรา
แม่สาม คือ มารดาพระศาสนจักร แม่ของหมู่มวลคริสตชน

เริ่มต้นปีใหม่ คงมีความตั้งใจหลายอย่าง
หนึ่งในความตั้งใจที่อยากจะชวนให้มีและทำ คือ กตัญญู

นักเดี่ยวไมโครโฟนท่านหนึ่ง เคยเขียนไว้ในหนังสือของเขาว่า
แม่ไม่ใช่ยาคูลล์ รีบกตัญญูก่อนหมดอายุ

ปีใหม่นี้อยากชวนให้อยู่บ้าน ใช้เวลากับเตี่ยแม่มากขึ้น
ปีใหม่นี้อยากชวนให้อยู่วัด ใช้เวลากับพระเจ้าให้มากขึ้น

ไก่เป็นสัตว์ตื่นเช้า ส่งเสียงขันยาวเพื่อปลุกพระอาทิตย์
ปีใหม่นี้ ขอพระอวยพรให้เป็นเหมือนไก่
คือ จะเริ่มจะทำสิ่งใดก็ให้เจริญ เจริญ จะพูดจะจา จะเปล่งเสียง
ก็เป็นเสียงเป็นกิจการที่ทรงพลังประหนึ่งเสียงดังปลุกได้แม้พระอาทิตย์
ทั้งเจรจา ทั้งดำเนินกิจการงานใดใด ก็เจริญรุ่งเรืองเสมอเทอญ
#พรใดนอกเหนือจากนี้อธิษฐานขอจากพระเอานะครับ
ทั้งนี้ขอพระมารดามารีย์ที่เราสมโภชในวันนี้เป็นผู้ช่วยวิงวอน


บาทหลวงบางกอก

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้มีเรื่องเล่า มาเล่าสู่พี่น้องฟังกันอีกเรื่องหนึ่งครับ
                เรื่องมีอยู่ว่า ..... “แม่ของผมเป็นคนทำอาหารที่บ้านประจำทุกวัน คืนหนึ่ง หลังจากที่ แม่ทำงานหนักมาตลอดทั้งวัน แม่กลับบ้านมาด้วยความเหนื่อยล้า และทำอาหารเย็นให้เราตามปกติ ที่โต๊ะอาหาร แม่วางจานที่มีปลาทูไหม้เกรียมบนโต๊ะ ต่อหน้าพ่อ และทุกๆคน ผมรอว่า แต่ละคนจะว่าอย่างไร แต่... พ่อไม่พูดอะไร และตั้งหน้าตั้งตากินปลาทูไหม้ตัวนั้น และหันมาถามผมว่า ที่โรงเรียนเป็นอย่างไรบ้าง คืนนั้น หลังอาหารเย็นผมจำได้ว่า ได้ยินแม่ขอโทษพ่อ ที่ทอดปลาทูไหม้ และผมไม่เคยลืมที่พ่อพูดกับแม่เลย "โอย...ผมชอบ ปลาทูทอดเกรียมๆ อร่อยมากนะแม่"
                คืนต่อมา ผมเก็บคำถามในใจก่อนนอนและถามพ่อว่า "พ่อชอบปลาทูทอด เกรียมๆ จริงๆเหรอ" พ่อลูบหัวผม และตอบว่า "แม่ของลูกทำงานหนักมาทั้งวัน... ปลาทูไหม้ 1 ตัว ไม่เคยทำร้ายใคร แต่คำพูดที่ต่อว่ากันนั้นต่างหากที่จะทำร้ายกัน"
                “ชีวิตคนเราเต็มไปด้วยความไม่สมบูรณ์แบบ ตัวเราเองก็ไม่ได้มีอะไรดีกว่าใครๆ"
                แต่สิ่งที่พอเรียนรู้ในช่วงชีวิตคือ... การเรียนรู้ที่จะยอมรับความผิดของคนอื่น และของตัวเอง การเลือกที่จะยินดีกับความคิดต่างกันของแต่ละบุคคล เป็นสิ่งสำคัญ ในการรักษาชีวิตครอบครัว ที่มีความสุข และยืนยาว
                “ชีวิตเรา สั้นเกินกว่าที่จะตื่นขึ้นมา พร้อมกับความเสียใจ ที่ว่าเราทำผิดกับคนที่เรารัก และรักเรา ให้ดูแล และ ทะนุถนอม คนที่รักเรา และพยายามเข้าใจและให้อภัย จะดีกว่า"
                ** ถ้าเรารู้ เราจะทำไหม?**
                เราจะบีบแตร ใส่คนที่ยืนยึกยัก ริมถนนแยกที่ผ่านมาไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้าใส่ขาเทียม
                เราจะเบียดชน คนข้างหน้า ที่เดินช้ามากไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้าพึ่งตกงาน
                เราจะขำ คนที่แต่งตัวเชยไหม ถ้าเรารู้ว่า เค้ามีชุดเก่งแค่ชุดเดียว
                เราจะรำคาญสาวโรงงานที่มาเดินพารากอนไหม ถ้าเรารู้ว่า นั่นคือการฉลองวันเกิดของเธอ
                เราจะหมั่นไส้ลุงที่หัวเราะเสียงดังลั่นคนนั้นไหม ถ้าเรารู้ว่าแกเป็นมะเร็งขั้นสุดท้าย
                เรารู้แจ่มชัดเสมอ ว่าชีวิตเรากลัวเจออะไร แต่เราไม่มีวันรู้ว่า คนที่เราเจอ กำลังเจอกับอะไร
                โลกกว้างกว่าเงาของเรา และ โลกก็ไม่ได้หมุนรอบตัวเรา
                มองข้าม เรื่องเล็กๆน้อยๆ ไปบ้าง ให้โอกาส และให้อภัย มีความเข้าใจซึ่งกันและกัน จะได้รักและอยู่ด้วยกันอย่างยั่งยืนยาวนาน (เครดิต เรื่องส่งต่อผ่านทางไลน์)
           
                วันนี้เป็นวันคริสต์มาส!!! วันเฉลิมฉลองการบังเกิดของพระเยซูเจ้า เรื่องราวของการบังเกิดของพระเยซูเจ้าเป็นเรื่องเล่าที่นำความยินดี ความหวังยิ่งใหญ่มาสู่มวลมนุษย์ทุกคน เรื่องเล่าขานนี้ฟังไม่รู้จักเบื่อ ถ้าชีวิตของเราแต่ละคนจะมีเรื่องดี ๆ จากประสบการณ์จริงของเรา นำมาเล่าสู่กันฟังบ้าง โลกของเราคงเป็นโลกที่น่าอยู่ยิ่งขึ้น เหมือนอย่างที่พระเจ้าได้ทรงทำให้เราเห็นเป็นตัวอย่างแล้ว

พ่อสุพจน์
..............................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            สุขสันต์วันพระทรงบังเกิดแด่ทุกท่าน พระเจ้าอยู่กับเราแล้ว นักบุญยอห์นบอกเราว่า แสงสว่างมาสู่โลกแล้ว แต่น่าเศร้าเพราะว่าโลกไม่รู้จักพระองค์ น่าเศร้ากว่าอีกที่ท่านยังพูดว่า พระเจ้าเสด็จมาสู่บ้านเมือง แต่ประชากรของพระองค์ไม่ยอมรับพระองค์ ความสุขที่แท้จริงจะเป็นของผู้ที่รู้จักและยอมรับพระผู้เสด็จมาเท่านั้น น่าเสียดายที่พระอยู่ท่ามกลางเราแท้ๆ แต่เราไม่รู้จัก คนมากมายในโลกฉลองคริสตมาสทั้งๆที่ไม่รู้จักและไม่ยอมรับพระผู้ไถ่ เราคริสตชนมีบุญกว่าใครก็ควรต้องทำให้คริสตมาสมีความหมายต่อชีวิตเราให้มากที่สุด คริสตมาสต้องทำให้เรารักพระมากขึ้น รักเพื่อนพี่น้องของเรามากขึ้น การคืนดีกับพระ การคืนดีกับเพื่อนมนุษย์จึงเป็นหัวใจของการเฉลิมฉลองที่สำคัญครั้งนี้ ยังคงมีอีกหลายอย่างที่เรายังไม่ได้ทำเพื่อคริสตมาส ทุกกิจการล้วนนำความยินดีมาสู่เรา“ในอดีต พระเจ้าได้ตรัสกับบรรพบุรุษของเราโดยทางประกาศกหลายวาระและหลายวิธี ครั้นมาถึงสมัยนี้อันเป็นวาระสุดท้าย พระองค์ได้ตรัสแก่เราโดยทางพระบุตรพระเจ้า” (ฮบ 1: 1-2) ...ถ้าหากว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีชีวิตอยู่ เมื่อคนที่เรารักนิ่งเงียบไม่ส่งข่าวคราวให้ได้ทราบเลยเป็นเวลานานๆ และน่าจะเป็นเรื่องที่ยากมากขึ้นหลายเท่าตัว ที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป เมื่อพระเจ้าที่ทรงรักเรามนุษย์ จะทรงนิ่งเงียบไม่ยอมตรัสหรือทำอะไรทั้งสิ้น และคงไม่มีใครสามารถคาดเดาได้ว่าสักวันหนึ่งพระเจ้าจะทรงตรัสกับเรามนุษย์ในองค์พระบุตร พระเจ้าที่เสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์ องค์พระเยซูคริสตเจ้าหัวใจของคริสตศาสนาคือความเชื่อที่ว่า พระวาจาที่แสนสุดประเสริฐที่พระเจ้าได้ทรงตรัสกับมนุษย์นั้น จะได้กลายเป็นพระบุคคลในองค์พระเยซูคริสตเจ้า และพระวจนาตถ์ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ในองค์พระเยซูเจ้าซึ่งเท่ากับว่าในที่สุดการนิ่งเงียบของพระเจ้าก็ได้สิ้นสุดลงแล้วสำหรับตลอดไป ดังที่นักบุญเปาโลได้กล้ากล่าวว่า ข้าพเจ้าประกาศสอนเรื่องพระเยซูคริสตเจ้า เป็นการเปิดเผยธรรมล้ำลึก ที่เก็บเป็นความลับตลอดเวลานานมาแล้ว” (รม 16: 25) ในองค์พระเยซูเจ้า เรามีความชื่นชมยินดีที่พระเจ้าทรงเป็นอะไรที่มากกว่าความเงียบ เพราะพระองค์ทรงเป็นพระวจนาถต์ที่มาประทับอยู่ท่ามกลางเรามนุษย์ พระเจ้ามิได้ทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์ ดังที่ผู้แต่งบทเพลงสดุดีได้กล่าวว่า จิตใจของข้าพระองค์ทูลพระองค์ว่า ข้าแต่พระเจ้า ข้าพระองค์แสวงหาพระพักตร์ของพระองค์ ขออย่าทรงซ่อนพระพักตร์ของพระองค์จากข้าพระองค์” (สดด 27) แต่พระเจ้าได้ทรงเผยแสดงพระองค์ในองค์พระบุตรของพระองค์ พระเยซูเจ้า พระเจ้ามิได้อยู่ห่างไกลและแปลกแยกจากเรามนุษย์ แต่พระองค์ได้ทรงมาเยี่ยมเยียนเราในองค์พระเยซูแห่งนาซาแรธ และในองค์พระเยซูเจ้านี้นี่เองที่การเล่นซ่อนหาของพระเจ้าได้สิ้นสุดลงในวันคริสต์มาส วันพระคริสตสมภพ เราทำการฉลองความจริงที่ยิ่งใหญ่ว่าพระเจ้ามิได้ทรงบังซ่อนพระองค์เองในความเงียบ แต่ได้ทรงพันองค์ด้วยผ้าอ้อมและทรงนอนอยู่ในรางหญ้า พระองค์จะได้แสดงพระองค์เองให้เราได้แลเห็นว่า พระเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดกับเรามนุษย์สักเพียงใด พระองค์จะสอนเราให้เรียกพระเจ้าว่า พระบิดาและจะสิ้นพระชนม์ที่ไม้กางเขนเพื่อเป็นการพิสูจน์ว่าพระเจ้าทรงรักเรามนุษย์สักเพียงใด สำหรับเราคริสตชนและสำหรับคนอีกเป็นล้านๆคน นับตั้งแต่การสมภพของพระคริสตเจ้า เราได้มีหนทาง แนวทางใหม่ มิใช่เพียงเพื่อเข้าใจชีวิตดีขึ้นเท่านั้น แต่ยังได้ช่วยพัฒนาชีวิตของเรามนุษย์ให้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย จนที่สุดเราสามารถกล่าวได้ว่าตลอดกว่า 20 ศตวรรษที่ผ่านมา คนจำนวนนับไม่ถ้วนที่ต้องมนต์เสน่ห์ของกุมารน้อยนี้จากเบธเลเฮม ทั้งหลงใหลกับข่าวดีของพระองค์ซึ่งได้นำมาให้ และได้ทำให้ชีวิตของพวกเขาได้รับการเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งในทางที่ดีขึ้นมาก ๆ เราท่านที่นั่งอยู่ในขณะนี้ ก็น่าจะเป็นคนหนึ่งด้วย ดังนั้นให้เราชื่นชมยินดีในองค์พระผู้ได้ทรงเผยแสดงพระพักตร์ของพระเจ้าให้แก่เรา และพระองค์ท่านนั้นก็คือพระวจนาตถ์ของพระเจ้าที่ทรงรับธรรมชาติมนุษย์ยกเว้นความบาป


    คุณพ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้พ่อมีเรื่องน่าอ่านมาฝากให้กับพี่น้องอีกหนึ่งเรื่องครับ ไม่ทราบนามผู้เขียน แต่น่าอ่านมากครับมีบทสอนใจดีครับ
                "น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง"
                พ่อชวนลูกออกไปเดินเล่นยังชายป่า พอถึงทางโค้ง พ่อหยุดเดินแล้วถามลูกว่า นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ลูกได้ยินเสียงอะไรอีก ลูกหยุดเดินแล้วเงี่ยหูฟัง ก่อนจะตอบว่า นอกจากเสียงนกร้องแล้ว ยังมีเสียงรถม้าวิ่งอยู่ พ่อบอกว่าถูกต้องแล้ว และนั่นเป็นรถม้าที่ไม่ได้บรรทุกอะไร ลูกแปลกใจจึงถามพ่อว่า รู้ได้ไงว่านั่นเป็นรถเปล่า เพราะ "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                พอเด็กน้อยโตขึ้น ทุกครั้งที่เจอคนที่ชอบคุยโม้โอ้อวด พูดจา โอหังชอบตัดบทคนอื่น ถือตนเป็นใหญ่ ไม่มีใครอยู่ในสายตา ดูหมิ่นคนอื่น เขามักจะมีความรู้สึกเหมือนพ่อมายืนกระซิบอยู่ข้างหูว่า "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                คนที่มีความเชี่ยวชาญในการเดินข้ามห้วยน้ำ ลำธาร ก่อนที่จะลุยลงน้ำ เขามักหยิบก้อนหินขึ้นมาก้อนหนึ่งแล้วปาไปกลางน้ำ เพื่อเป็นการคาดคะเนความลึกของน้ำ ละอองน้ำยิ่งกระจายสูงขึ้นเท่าไหร่ น้ำในลำธารก็จะยิ่งตื้นเท่านั้น ในทางตรงกันข้าม ถ้าละอองน้ำกระเซ็นขึ้นมายิ่งน้อยฉันใด แล้วยังบวกกับกระแสน้ำที่ไหลเงียบสนิท พึงสังวรได้เลยว่า น้ำจะยิ่งลึกมากขึ้นฉันนั้น .... จำไว้.... "น้ำนิ่งไหลลึก น้ำลึกไร้เสียง..."
                "รถม้ายิ่งว่างเปล่า เสียงก็จะยิ่งดัง"
                คนมีดีแต่ไม่ทำตัวให้โดดเด่น
                ไม่โอ้อวดบารมี
                ไม่พูดจาข่มเขา
                นั่นน่าจะเป็นวิถีของคนจริง
                หากนำเอาหลักการเหล่านี้มาเปรียบเปรยกับบุคคลที่เราพบเจอ จะสังเกตได้ว่า คนใจเย็นเวลาสนทนากับคนอื่น มักจะสามารถหลีกเลี่ยงการขัดแย้งกับคู่สนทนา และยังสามารถซึมซับรับรู้ถึงความคิดเห็นของคนอื่น แทนที่จะดันทุรังเอาแต่ยัดเยียดความคิดเห็นตนเป็นใหญ่อยู่ฝ่ายเดียว
                คนที่ก้าวเดินด้วยความใจร้อน มักมองไม่เห็นตะปูบนพื้น ฉันใด คนที่เต็มไปด้วยความวิตกกังวล ก็ไม่รู้จักรสชาติของวันชื่นคืนสุขฉันนั้น
                ปฐพีนี้ไม่มีใครใหญ่ เกินมหาสมุทร
                แต่เหนือสุดกว้างใหญ่กว่า คือเวหา
                แม้นเวหาจะยิ่งใหญ่ครอบจักรวาล
                แต่ยังกว้างสู้จิตมนุษย์ มิได้เอย

พ่อสุพจน์
.............................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้อง
            คำว่า "อิมมานูเอล" เป็นคำที่คุ้นเคยกับเรื่องราวของวัน "คริสต์มาส" เพราะว่าคำว่า "อิมมานูเอล" คือชื่ออีกชื่อหนึ่งของ "พระคริสต์" ผู้ที่บังเกิดในวันคริสต์มาส นั่นอิสยาห์ (Isaiah) ผู้พยากรณ์ในสมัยของกษัตริย์อาหัสที่ปกครองยูดาห์ (หรือ "Judah" ซึ่งต่อมาเรียกสั้น ๆ ว่า "Jew" หรือยิว)  ได้พยากรณ์ไว้ว่า พระเจ้าจะให้หมายสำคัญ (sign) ว่าพระเจ้าจะสถิตอยู่กับคนที่วางใจในพระองค์เพราะฉะนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าจะประทานหมายสำคัญเอง  ดูเถิด หญิงสาว (พรหมจารี) คนหนึ่งจะตั้งครรภ์และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล" (อิสยาห์ 7:14)และในเวลา 700 ปีต่อมาในวันคริสตมาส ท่านมัทธิวได้บันทึกเหตุการณ์ครั้งนั้นที่สำเร็จตามคำพยากรณ์ของอิสยาห์ผู้เผยพระวจนะ  โดยเขียนว่า "ทั้งนี้เกิดขึ้นเพื่อจะให้สำเร็จตามพระวจนะของพระเป็นเจ้า  ซึ่งตรัสไว้โดยผู้เผยพระวจนะว่า ดูเถิด หญิงพรหมจารีคนหนึ่งจะตั้งครรภ์ และคลอดบุตรชายคนหนึ่ง และเขาจะเรียกนามของท่านว่า อิมมานูเอล แปลว่า “อิมมานูเอล” " (มัทธิว 1:23)
            พระเจ้าซึ่งกำลังจะเสด็จมาช่วยประชากรของพระองค์ให้รอดพ้น เรามนุษย์ส่วนใหญ่เป็นสิ่งสร้างที่ยังยึดติดอยู่กับนิสัยเดิมๆ ของตน มีคนพูดกันว่าในครึ่งหลังของชีวิตของเรามนุษย์ เรามักจะเจริญชีวิตอยู่กับนิสัยที่เราเคยได้ปลูกฝังไว้ในช่วงระหว่างครึ่งแรกของชีวิตของเรา นั่นอาจจะเป็นสิ่งที่ดีสำหรับคนที่ได้ปลูกฝังแต่นิสัยที่ดีๆเอาไว้ แต่ว่าอาจจะเป็นโชคร้ายสำหรับคนที่เพาะแต่นิสัยที่ไม่ดี
            อย่างไรก็ตาม   ก็มีด้านบวกสำหรับเรื่องของนิสัย การสร้างพฤติกรรมที่ซ้ำไปซ้ำมา เป็นสิ่งที่จำเป็น แม้ว่าจะเป็นเรื่องที่ยากลำบากและจำเป็นที่จะต้องมีวินัยตนเองในการสร้างนิสัยที่ดีก็ตาม บรรดานักกีฬาก็ได้แสดงให้เห็นว่าการย้ำพฤติกรรมที่ดีอย่างสม่ำเสมอ ย่อมจะก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่ดี และนั่นแหละเป็นทักษะที่สามารถถูกกำกับได้ และสามารถช่วยให้เขาฟันฝ่าช่วงเวลาที่เลวร้ายได้ แต่ว่าในเวลาเดียวกันนิสัยที่ไม่ดีก็สามารถก่อให้เกิดอะไรต่างๆในด้านลบได้ด้วยเหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งนิสัยที่ทำอะไรต่างๆประจำวันอย่างเครื่องจักรโดยไร้จิตวิญญาณ ไม่ได้ใส่หัวใจลงไปในการกระทำของตนเอง นอกจากนั้น นิสัยที่ไม่ดีสามารถเป็นอะไร ที่เห็นแก่ตัวและยากแก่การที่จะเอาชนะได้ การพูดถึงเรื่องนิสัยของคนเราซึ่งเป็นการแสดงออกถึงพฤติกรรมที่ทำอย่างซ้ำๆ ซากๆ นั้น ก็เป็นจุดประสงค์หนึ่งของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าด้วย เป็นการปลุกเราให้ตื่นขึ้นจากนิสัยเดิมๆที่เย็นชาของเรา เป็นการให้โอกาสเราที่จะเริ่มต้นใหม่อย่างมีใจร้อนรนมากยิ่งขึ้นในการเตรียมสมโภชพระคริสตสมภพ สิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเราเป็นประจำทุกๆวัน ก็อาจจะเกิดขึ้นได้เช่นเดียวกันในชีวิตคริสตชนของเราแต่ละคน เราแม้มีส่วนร่วมในพิธีกรรมต่างๆ แต่ก็ได้สูญเสียความสดใหม่และความหมายของพิธีกรรมนั้นๆ ถ้าหากว่าเราไม่ได้ใส่ใจในการฟังพระวาจา ปล่อยให้เข้าหูขวา แล้วทะลุออกหูซ้าย พระพักตร์ของพระเยซูเจ้าได้หายไปจากบนใบหน้าของเพื่อนพี่น้อง โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่อยู่บ้านเดียวกับเรา เป็นโอกาสที่เราจะต้องทำการปัดฝุ่นแห่งนิสัยเก่าๆที่ไม่ดีของเราทิ้งเสีย และยอมปล่อยให้พระคริสต์เข้ามามีชีวิตในชีวิตของเราแต่ละคนอีกครั้งหนึ่ง
            องค์พระผู้เป็นเจ้ากำลังจะเสด็จมา พระองค์จะมาหาเราแต่ละคน เวลาที่เราจะจบชีวิตของเราบนโลกใบนี้ และจะมาพิพากษาในวันสิ้นโลก เราจะไม่รู้วันเวลาของการเสด็จมาของพระองค์...เวลาใดไม่ว่า จะเป็นเวลาที่ไม่ดีสำหรับคนรับใช้ที่ไม่ซื่อสัตย์ และเวลาใดไม่ว่า จะเป็นเวลาที่ดีสำหรับคนรับใช้ที่ซื่อสัตย์ คนรับใช้ที่ซื่อสัตย์จะไม่กลัวการเสด็จกลับมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า เขาจะต้อนรับพระองค์ด้วยความชื่นชมยินดี อย่างแม่พระและนักบุญยอแซฟ ลุกขึ้นจากฝันทำให้เป็นจริงเถิด


    คุณพ่อพงษ์เกษม

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 11 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            " ปีศาจยังมีอยู่.... แม้ในศตวรรษที่ 21 ของเรานี้" พระสันตะปาปาฟรังซิส กล่าวไว้
            พระสันตะปาปาฟรังซิสให้คำเตือนไว้ 13 ครั้ง ถึงศัตรูเก่าแก่ที่สุดของมนุษย์นั่นคือ "ปีศาจ"
            เพทุบายที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของปีศาจคือ ทำให้มนุษย์หลงเชื่อว่ามันไม่มีตัวตนอยู่ แต่พระสันตะปาปาฟรังซิส ไม่หลงกลของมัน พระองค์จึงเทศน์สอนตั้งแต่แรกที่พระองค์ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำพระศาสนจักร ด้วยการเตือนทุกคนว่า ปีศาจมีอยู่จริง เราต้องระมัดระวังตัว ความหวังที่เราจะมีชัยชนะเหนือมันได้ก็โดยผ่านทางพระเยซูเท่านั้น ข้อความต่อไปนี้เป็นบันทึกคำเทศน์สอนของพระองค์ 10 ครั้ง
            1. "เมื่อใครก็ตามที่ไม่ได้ประกาศยืนยันความเชื่อในหนทางของพระเยซูคริสต์ ก็เท่ากับผู้นั้นประกาศความเชื่อในโลกียวิสัยซึ่งก็คือหนทางของปีศาจนั่นเอง" (เทศน์ครั้งแรก 3/14/2013)
            2. "ซาตาน บุตรของโลกนี้ ไม่ต้องการให้เราเป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ มันไม่ต้องการให้เราติดตามพระเยซู  พวกท่านบางคนอาจกล่าวว่า ทำไมข้าพเจ้าถึงหัวเก่าเช่นนี้ มาพูดถึงเรื่องของปีศาจ ในศตวรรษที่ 21 แต่จงระวังเถิด เพราะปีศาจมีตัวตนอยู่จริง มันอยู่ในยุคของเรานี่แหละ เราต้องเรียนรู้ที่จะต่อสู้กับมันด้วยการศึกษาพระวรสาร" (บทเทศน์ 4/10/2014)
            3. "ปีศาจ มีเป้าหมายที่จะโจมตีครอบครัว มันพยายามทำลายสถาบันครอบครัว ขอพระเจ้าโปรดปกปักษ์พิทักษ์ครอบครัว ขอพระองค์โปรดให้ครอบครัวเข้มแข็งผ่านวิกฤติต่างๆไปได้" (บทเทศน์ 6/1/2014)
            4. “เมื่อเราเปิดหนังสือพิมพ์ขึ้นมาอ่าน เราพบว่าปีศาจมันอยู่รอบตัวเรานี่แหละ มันยังทำงานอย่างขะมักเขม้น แต่ข้าพเจ้าอยากย้ำด้วยเสียงดังว่า พระเจ้านั้นทรงฤทธานุภาพเข้มแข็งกว่า ท่านเชื่อเช่นนี้ไหม ว่าพระองค์เข้มแข็งกว่า (General Audience 6/12/2013)
            5. "ให้เราภาวนาขอพระพรของพระเจ้า เพื่อเราจะทำทุกสิ่งอย่างจริงใจ เพราะพระองค์มาต่อสู้เพื่อความรอดพ้นของชาวเรา พระองค์มีชัยชนะเหนือปีศาจ ดังนั้นขอให้เราทุกคน อย่าไปยุ่งเกี่ยวกับปีศาจ พระเจ้ามาเพื่อนำทางเราไปยังบ้านของพระองค์ เพื่อเราจะเป็นของพระองค์ ดังนั้นจงอย่าทำเป็นทองไม่รู้ร้อน จงมั่นคงเด็ดเดี่ยว ที่จะอยู่กับพระเยซูเสมอ" (บทเทศน์ 11/8/2013)
            6. "ภาพของปีศาจปรากฏมาตั้งแต่ในหน้าแรกของหนังสือพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ก็มีบทสรุปจบลงด้วยภาพของปีศาจที่ถูกกำราบอยู่ภายใต้ชัยชนะของพระเจ้า" (บทเทศน์ 11/8/2013)
            7. "ไม่ว่าท่านจะอยู่ข้างเรา หรือ อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับเรา พระเจ้าตรัส พระเยซูเสด็จมาเพื่อปลดปล่อยเราจากการเป็นทาสของปีศาจ ประเด็นนี้แสดงให้เราเห็นว่า สงครามต่อสู้กำลังดำเนินอยู่เพื่อช่วยเราให้ได้รับความรอดพ้น เราจึงต้องระมัดระวังตัวเสมอ อย่าหลงไปกับคำโป้ปดหลอกลวง ซึ่งมาจากลมปากของปีศาจ" (บทเทศน์ 10/11/2013)
            8. "ปีศาจ หว่านเชื้อพันธุ์ของความเลว ลงบนความดี มันพยายามทำให้ผู้คนแตกแยก ครอบครัวแตกแยก ชาติต่างๆขัดแย้งกัน แต่พระเจ้าทรงมองลึกถึงเนื้อนาดีของเราทุกคนด้วยความเมตตาและอดทนเสมอ พระองค์แยกแยะมลทินและความเลวร้ายได้ชัดเจนกว่าเรา พระองค์เห็นว่าเมล็ดพันธุ์แห่งดีกำลังเติบโตขึ้น พระองค์รอคอยด้วยความอดทน" (บทเทศน์ 7/20/2014)
            9. "ปีศาจ ทนไม่ได้ที่เห็น ความศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร หรือ ความศักดิ์สิทธิ์ของบุคคล มันต้องหาทางทำบางสิ่งบางอย่าง" (บทเทศน์ 5/7/2014)
            10. "จงจำให้ดี พระเยซูไม่เสวนากับปีศาจ เหมือนอย่างที่เอวาเคยทำในสวนเอเดน พระเยซูรู้ดีว่า เราไม่ควรเสวนากับปีศาจ เพราะมันเป็นจอมหลอกลวง ด้วยเหตุนี้ พระเยซูจึงใช้พระวาจาของพระเจ้ามาเป็นเกราะกำบัง จงอย่าเสวนากับซาตาน แต่จงปกป้องตัวเองด้วยฤทธานุภาพของพระวาจาของพระเจ้าแล้วเราจะปลอดภัย(เทวทูต 3/9/2014)
            จากบทความ Churchpop.com

พ่อสุพจน์
........................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            คริสตชนโดยทั่วไปเชื่อว่าการอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงในประวัติศาสตร์ และถือเป็นเหตุการณ์ที่สำคัญในชีวิตของพระองค์ที่พิสูจน์ถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ เนื่องจากพระเยซูเจ้ามีสองธรรมชาติคือ ธรรมชาติมนุษย์และธรรมชาติพระเจ้า การที่พระองค์ทรงรู้สึกหิว เหน็ดเหนื่อยและสิ้นพระชนม์ นั่นคือเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นมนุษย์ ส่วนการอัศจรรย์ต่างๆ ที่ทรงกระทำเป็นเหตุการณ์ที่แสดงถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์
            แต่นักพระคัมภีร์และนักเขียนคริสตชนหลายคนมองว่า การอัศจรรย์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ มิใช่กิจการที่แสดงถึงอำนาจและพลานุภาพยิ่งใหญ่ของพระองค์ แต่เป็นกิจการแห่งความรักและความเมตตากรุณา ที่สะท้อนความสงสารที่มีต่อคนบาปและผู้ที่กำลังทุกข์ยากเดือดร้อน และการอัศจรรย์แต่ละอย่างมีคำสอนเฉพาะที่พระองค์ทรงต้องการสอนเรา
            การอัศจรรย์ที่กล่าวถึงในพระวรสารมีจุดมุ่งหมายที่สำคัญสองประการคือ เพื่อประกาศพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า และเป็น หลักฐานพยานที่มีคุณค่าในตัวเอง พระเยซูเจ้าทรงอ้างถึงงานที่ทรงกระทำว่าเป็นพยานถึง พันธกิจและ ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ ทรงยืนยันว่า การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำเป็นคำยืนยันที่ยิ่งใหญ่กว่าคำพยานของยอห์นบัปติสต์ (ยน 5:36) แม้ว่าท่านทั้งหลายไม่เชื่อเรา อย่างน้อยก็จงเชื่อในกิจการที่เราทำนั้นเถิด แล้วท่านจะรู้และเข้าใจว่าพระบิดาสถิตอยู่ในเรา และเราอยู่ในพระบิดา” (ยน 10:37-38) คริสตชนถือเสมอมาว่า การอัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าเป็นเหมือนสื่อที่นำสารของพระเจ้า เช่นเดียวกับพระวาจาของพระองค์ เราพบความจริงว่าอัศจรรย์หลายครั้งเน้นความสำคัญของความเชื่อ ดังเช่น
·                     การรักษาคนโรคเรื้อนสิบคน พระเยซูเจ้ามิได้ตรัสว่า อำนาจของเราช่วยเจ้าให้รอดแต่ตรัสว่า จงลุกขึ้น ไปเถิด ความเชื่อของท่านทำให้ท่านรอดพ้นแล้ว” (ลก 17:19)
·                    การดำเนินบนน้ำ เปโตรได้บทเรียนที่สำคัญเกี่ยวกับความเชื่อ เพราะการขาดความเชื่อจึงทำให้ท่านเริ่มจมลง (มธ 14:31) พระเยซูเจ้าต้องการสอนบรรดาอัครสาวกว่าเมื่อเผชิญกับความยากลำบาก ก่อนอื่นพวกเขาจะต้องมีความเชื่อในพระองค์
·                    การรักษาผู้หญิงที่ตกเลือดมาสิบสองปี พระเยซูเจ้าได้ตรัสกับเธอว่า ความเชื่อของท่าน ช่วยท่านให้รอดพ้นแล้ว” (มธ 9:22)แต่บางอัศจรรย์สื่อถึงความจริงบางอย่าง เช่น การทวีขนมปังเลี้ยงคนมากกว่า 5,000 คน พระเยซูเจ้าทรงเชิญชวนเราให้ร่วมมือกับพระองค์ในการทำอัศจรรย์ เหมือนเด็กคนนั้นที่ได้มอบ ขนมปังห้าก้อนกับปลาสองตัวซึ่งเป็นอาหารสำหรับตัวเขาให้กับพระองค์ ทรงกล่าวถวายพระพรและแบ่งให้ทุกคน เมื่อทุกคนเห็นแบบอย่างนี้ต่างนำอาหารที่ตนเองเตรียมมาแบ่งปันกันอัศจรรย์จึงเกิดขึ้น นั่นคือ ทรงเปลี่ยนใจที่เห็นแก่ตัวของพวกเขาแต่ละคนให้เป็นคนใจกว้างและคิดถึงคนอื่น ส่วนนักบุญยอห์นนำเสนอเรื่องนี้เพื่อหมายถึง ศีลมหาสนิทที่พระองค์จะประทานให้
            การอัศจรรย์พิสูจน์ว่าพระเยซูเจ้าเป็นพระแมสิยาห์ที่พันธสัญญาเก่ากล่าวถึง ชาวยิวรอคอยพระแมสิยาห์ตามที่พระเจ้าทรงสัญญามาเป็นเวลานาน พระเยซูเจ้าทรงยืนยันความจริงนี้ในศาลาธรรมเมืองนาซาเร็ธ พระจิตของพระเจ้าทรงอยู่เหนือข้าพเจ้า เพราะพระองค์ทรงเจิมข้าพเจ้าไว้ให้ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน ทรงส่งข้าพเจ้าไปประกาศข่าวดีแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด ปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ ประกาศปีแห่งความโปรดปรานของพระเจ้า” (ลก 4:18)เมื่อยอห์นบัปติสต์ถูกจองจำอยู่ในคุกได้ยินกิตติศัพท์ที่พระเยซูเจ้าทรงกระทำ จึงส่งศิษย์ไปทูลถามพระองค์ว่าเป็นผู้ที่จะมาหรือต้องคอยใครอีก และพระองค์ตรัสตอบว่า จงไปบอกยอห์นถึงสิ่งที่ท่านได้ยินและได้เห็น คนตาบอดกลับแลเห็น คนง่อยเดินได้ คนโรคเรื้อนหายจากโรค คนหูหนวกได้ยิน คนตายกลับคืนชีพ คนจนได้รับการประกาศข่าวดี” (มธ 11:2-6) การอัศจรรย์ที่ทรงกระทำจึงเป็นข้อพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระแมสิยาห์ที่พวกเขารอคอย

คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 2 ธันวาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 4 ธันวาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้มีเรื่องมาเล่าสู่กันฟังอีกเรื่องหนึ่งครับ
                ในตลาดขายของเก่าแห่งหนึ่ง เจ้าของร้านชายได้หยิบไวโอลินเก่าๆ ตัวหนึ่งขึ้นมาประกาศขาย
                "ไวโอลินเก่าตัวนี้ราคา 1,000 บาทขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจ เดินตรงเข้ามาเลยครับ"

                ชายคนหนึ่งเดินเข้ามา และหยิบไวโอลินทั้งเก่าทั้งโทรมตัวนั้นขึ้นมาดู เขาลองสีดู ปรากฏว่าเสียงของมันน่าเกลียดและบาดหูมาก เขาจึงตัดสินใจวางมันลงไว้ที่เดิม เมื่อผ่านเวลาไปได้ครึ่งชั่วโมง เจ้าของร้านก็ได้ประกาศขึ้นอีกครั้งว่า
                "ไวโอลินเก่าตัวนี้ ราคา 500 บาทขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจเดินตรงเข้ามาเลยครับ"
                แต่ก็ยังไร้วี่แววคนสนใจ จนเจ้าของร้านได้ประกาศเป็นรอบที่ 3 ว่า
                "ไวโอลินเก่าตัวนี้ราคา 100 บาทขาดตัว ลูกค้าท่านใดสนใจ เดินตรงเข้ามาเลยครับ"

                ชายชราผมขาวคนหนึ่งเดินมาหยุดหน้าร้าน จากนั้นก็หยิบไวโอลินขึ้นมาดู เขาใช้ผ้าที่อยู่ในมือของเขาบรรจงเช็ดลงไปที่ไวโอลินเครื่องนั้นด้วยความทนุถนอม ครู่ต่อมาไวโอลินตัวนั้นก็มีสีสันมันวาวขึ้นมา มันดูดีขึ้นมาในทันที ชายชราทำการปรับสายของไวโอลินแต่ละเส้นด้วยความตั้งใจ จากนั้นก็นำมันทาบขึ้นที่คางของตัวเอง แล้วบรรจงสีไวโอลินนั้น เสียงไวโอลินกังวานก้องจนเจ้าของร้านประหลาดใจ
                "คุณทำได้ยังไง?” เขาเอ่ยถามชายชรา
                "ทุกสิ่งในโลกใบนี้ล้วนมีคุณค่าในตัวของมันเอง อยู่ที่ว่าใครจะเห็นคุณค่าของมันก็เท่านั้นเอง" ชายชราตอบ             "คุณลุงช่วยสีไวโอลินนี้ให้ผมอีกครั้งได้ไหมครับ" ชายชราพยักหน้า จากนั้นก็สีไวโอลินให้ผู้คนที่เดินเลือกซื้อของเก่าในตลาดฟัง
                “ผมให้ราคาหนึ่งพันบาทตามที่คุณประกาศตอนแรก" ลูกค้าชายคนหนึ่งเสนอขึ้น
                “ผมให้ราคาสองพันบาทมากกว่าที่คุณประกาศตอนแรก" ลูกค้าคนที่สองเอ่ยขึ้น
                “ฉันให้ราคาสามพันบาท สามีของฉันต้องชอบมันแน่ๆ" ลูกค้าสตรีผู้หนึ่งเสนอราคา
                จนสุดท้าย ราคาไวโอลินตัวนี้ถูกขายในราคา 5,999 บาทจากราคาเดิมที่ 100 บาท

                ชาวยิวมีทรรศนะเช่นนี้ว่า คนทุกคนเปรียบเสมือนไวโอลิน อารมณ์ของคุณเสมือนสายไวโอลิน หากคุณปรับอารมณ์ของคุณได้ดี ก็ไม่มีใครกล้าดูแคลนคุณค่าของคุณได้ ไวโอลินเก่าตัวหนึ่งเมื่อมันอยู่ในมือของนักเล่นที่มีชื่อเสียง มันกลายเป็นไวโอลินที่ทรงคุณค่าและมีราคา กลับกัน หากมันอยู่ในร้านขายของเก่า มันก็ไม่ต่างอะไรจากไวโอลินเก่าๆ ธรรมดาตัวหนึ่งที่หาราคาค่างวดอะไรไม่ได้
                ม้าตัวหนึ่ง เมื่อมันอยู่กับชาวไร่ คุณค่าของมันก็คือพาหนะที่ช่วยขนย้ายพืชผล แต่หากมันอยู่กับแม่ทัพ มันก็จะกลายเป็นม้าศึกคู่ใจแม่ทัพ คุณค่าของมันก็คือม้านักรบ
                "ของที่มีคุณค่า ต้องอยู่กับคนที่เห็นคุณค่า เช่นนี้จึงก่อเกิดคุณค่าอันมหาศาล"
                (เครดิต : นุสนธิ์บุคส์)
                พระเจ้ามองเห็นคุณค่าในตัวของเราทุกคนเสมอ ถ้าเราอยู่ในอ้อมพระหัตถ์ของพระ คุณค่าของเราก็มากมายมหาศาลจริงๆครับ

พ่อสุพจน์
.................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้อง
            ยอห์นคือผู้ที่ประกาศกอิสยาห์กล่าวถึงให้เป็นทุกข์ถึงบาป กลับใจ และเปลี่ยนแปลงตนเอง  ยอห์นเป็นเสียงร้องของพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารเตือนประชาชนและเรียกร้องให้กลับใจแบบถอนรากถอนโคน (Metanoia) ด้วยการเปลี่ยนแปลงจิตใจและวิธีดำเนินชีวิตจากที่เคยกระทำในอดีต ซึ่งการกลับใจนี้มิใช่การกระทำเพียงครั้งเดียว แต่ต้องกระทำทุกวันตลอดชีวิต ยอห์นมีความกล้าหาญในการประณามความชั่วอย่างเปิดเผยในทุกที่ทุกเวลาที่พบได้ตำหนิกษัตริย์เฮโรดที่เอานางเฮโรเดียด ภรรยาของน้องชายมาเป็นภรรยาของตน (มธ 14:4) และได้ว่ากล่าวชาวฟาริสีและสะดูสีแบบไม่ไว้หน้า อันเนื่องมาจากความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาที่ปฏิบัติตามจารีตพิธีแต่ภายนอก เจ้าสัญชาติงูร้าย” (มธ 3:7) สารที่ยอห์นประกาศคือ จงกลับใจเถิดอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว” (มธ 3:2) ซึ่งเป็นถ้อยคำเดียวกันกับที่พระเยซูเจ้าทรงใช้เมื่อเริ่มพันธกิจในการประกาศเทศน์สอนของพระองค์ (มธ 10:7)ยอห์นถูกส่งมาล่วงหน้าเพื่อเตรียมทางของพระเจ้าและชี้ไปที่พระเยซูเจ้าโดยตรง จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด” (มธ3:3)  ยอห์นได้ประกอบพิธีล้างด้วยน้ำเพื่อเป็นเครื่องหมายของการกลับใจ และสำนึกในบทบาทของตนเองในการเตรียมทางสำหรับผู้ที่จะเสด็จมาภายหลัง แต่ผู้ที่จะมาภายหลังข้าพเจ้า ทรงอำนาจยิ่งกว่าข้าพเจ้า” (มธ3:11) โดยมีเป้าหมายเพื่อช่วยปลุกเร้าจิตใจเราให้เตรียมฉลองการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในหนทางที่ถูกต้อง
            ประการแรก เราต้องกลับใจอยู่เสมอ เทศกาลเตรียมรับเสด็จฯ เป็นช่วงเวลาของการเตรียมตนเองด้วยการกลับใจใช้โทษบาป เปลี่ยนแปลงชีวิตของเราผ่านทางการภาวนา การรับศีลอภัยบาป และแบ่งปันพระพรของพระเจ้ากับผู้อื่น การบังเกิดมาของพระคริสตเจ้าจะไม่มีประโยชน์อะไร หากพระองค์มิได้บังเกิดในจิตใจของเรา เพื่อเราจะได้นำความรัก ความเมตากรุณา การให้อภัย และการรับใช้ที่ถ่อมตนของพระองค์ไปสู่ทุกคน
            ประการที่สอง เราต้องน้อมรับการเรียกที่ท้าทายของยอห์นบัปติสต์ ที่เรียกให้เราดำเนินชีวิตในความถูกต้องชอบธรรม เป็นมโนธรรมของสังคม ยอห์นใช้ชีวิตเข้มงวดด้วยการนุ่งห่มผ้าขนอูฐ รัดเอวด้วยสายหนัง กินตั๊กแตนกับน้ำผึ้งป่า ประพฤติตนเคร่งครัดด้วยปฏิเสธตนเองและมัธยัสถ์ตัว เพื่อนำประชาชนให้หันมาหาพระคริสตเจ้า เราจะต้องประกาศการเสด็จมาของพระองค์ไม่ใช่ด้วยคำพูดเท่านั้น แต่ด้วยแบบอย่างความเชื่อและตัวอย่างชีวิตที่ดีงามของเราเช่นเดียวกับยอห์น
            ประการที่สาม เราจะต้องดำเนินชีวิตเยี่ยงผู้ที่ได้กลับใจแล้ว จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด” (มธ 3:8) เราจะต้องไม่หันกลับไปเดินในหนทางแห่งบาปที่เคยกระทำ เช่น ความเห็นแก่ตัว ความอิจฉาริษยา ความโลภ หรือการทะเลาะเบาะแว้ง ทั้งนี้ เพื่อพระคริสตเจ้าจะได้บังเกิดในจิตใจของเรา และชีวิตของเราจะได้เป็นเครื่องหมายแห่งการประทับอยู่ของพระองค์อย่างแท้จริง
            พระศาสนจักรได้เชื้อเชิญเรา ให้กลับใจเปลี่ยนแปลงตนเอง และปรับเปลี่ยนการดำเนินชีวิตในทางตรงข้ามกับที่เคยกระทำในอดีต ไปสู่การดำเนินชีวิตในหนทางแห่งความสว่างตามแบบอย่างของพระคริสตเจ้า ความยินดีแห่งการบังเกิดของพระคริสตเจ้า จะต้องแสดงออกให้เห็นความกล้าหาญ และการยืนหยัดมั่นคงในความถูกต้องชอบธรรมในความรักต่อกันด้วยจริงใจ อดทนต่อความบกพร่องของกันและกัน และให้อภัยด้วยใจกว้างในการเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า

คพ.พงษ์เกษม