วันศุกร์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ 28 สิงหาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            วันฉลองนามของนักบุญหลุยส์ กษัตริย์ ซึ่งเป็นนักบุญองค์อุปถัมภ์ของวัดของเราได้เวียนมาบรรจบอีกครั้งหนึ่งแล้วครับ วันนี้จึงเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งในรอบปีของชาวเราสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์ เพราะเป็นวันฉลองวัดของเรานั่นเอง สิ่งที่น่าชื่นชมยินดีประการหนึ่งในโอกาสฉลองวัดปีนี้ก็คือว่า ปีนี้เราได้มีโอกาสต้อนรับ พระคาร์ดินัล ฟรังซิสเซเวียร์เกรียงศักดิ์ โกวิทวาณิช ซึ่งมาเป็นประธานในพิธีบูชาขอบพระคุณวัดของเรา นับตั้งแต่พระคุณเจ้าเกรียงศักดิ์ ได้รับการสถาปนาเป็นพระคาร์ดินัลจากสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิสเมื่อปีก่อน วัดของเรายังไม่มีโอกาสได้ต้อนรับพระคาร์ดินัลองค์ใหม่ของคริสตชนชาวไทยอย่างเป็นทางการเลยสักครั้ง โอกาสนี้จึงเป็นโอกาสที่เรารอคอย และบัดนี้ได้มาถึงแล้ว พ่อเชื่อแน่ว่าพี่น้องสัตบุรุษวัดเซนต์หลุยส์คงมีความปลาบปลื้มยินดีกันทั่วหน้า นอกจากนี้เรายังชื่นชมยินดีที่ได้มีโอกาสต้อนรับพระสงฆ์จากวัดต่างๆที่มาร่วมฉลองวัดกับเราอีกครั้งหนึ่ง ในยามที่เราเห็นภาพของพระสงฆ์จำนวนมากร่วมเป็นหนึ่งเดียวกันรอบๆพระแท่นบูชา เราเห็นภาพของความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรที่มีองค์พระเยซูคริสตเจ้าเป็นศูนย์กลาง ภาพของพระศาสนจักรน้อยๆ ก็ปรากฏเด่นชัด ณ ที่แห่งนั้น ดังนั้นความยินดีนี้จึงเป็นความยินดีของสมาชิกของพระศาสนจักรที่สัมผัสได้ถึงอาณาจักรของพระเจ้าที่มาถึงตัวเราแล้วอย่างแท้จริง ความยินดีอีกประการหนึ่งคือ เรายินดีที่ได้ต้อนรับพี่น้องสัตบุรุษจากวัดใกล้วัดไกล ที่เดินทางมาร่วมฉลองนามนักบุญหลุยส์องค์อุปถัมภ์วัดของเรา การมาถึงของท่านนำความปลื้มปีติมาสู่จิตใจของเราทุกคน เพราะแสดงให้เห็นว่า ในองค์พระเยซูคริสตเจ้า เราทุกคนเป็นพี่น้องกันอย่างแท้จริง ภราดรภาพที่เกิดขึ้นในหัวใจของเรา แสดงให้เห็นว่าทุกคนยินดีที่จะร่วมทุกข์ร่วมสุขกันในทุกโอกาส ดังนั้นพ่อจึงถือโอกาสนี้กล่าวคำว่า ยินดีต้อนรับ กับทุกๆท่านที่เดินทางมาร่วมฉลองวัดของเราในปีนี้ครับ
            หนทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คนฉันใด วันเวลาที่ผ่านมายาวนาน เป็นเครื่องบ่งบอกถึงความคงเส้นคงวา และ ความเจริญก้าวหน้าขององค์กรได้ฉันนั้น วัดของเราได้รับการเสกเมื่อปีพ.. 2500 โดยพระสังฆราชหลุยส์ โชแรง ดังนั้นปีนี้จึงเป็นการฉลองวัดครั้งที่ 59 ของวัดเซนต์หลุยส์ หมายความว่า ปีหน้าจะเป็นการฉลองวัดครั้งที่ 60 ของวัดเซนต์หลุยส์ หรือ อีกนัยหนึ่งวัดเซนต์หลุยส์เป็นศูนย์กลางฝ่ายจิตของคริสตชนในละแวกนี้กำลังจะถึง 60 ปีแล้ว แม้ว่าตามปกติการฉลองครบรอบสำคัญมักจะมีการฉลองใหญ่ในทุกๆรอบ 25 ปี ก็ตาม อย่างไรก็ดี เลข 60 ก็เป็นเสมือน หลักบอกระยะทางที่มีนัยสำคัญเช่นกันว่า 60 ปีที่ผ่านมาชุมชนแห่งความเชื่อแห่งนี้ได้เจริญเติบโตอย่างเข้มแข็งแค่ไหน ปีหน้าจึงเป็นปีที่ลูกวัดเซนต์หลุยส์คงจะต้องหันมามองและพิจารณาเรื่องนี้เป็นพิเศษ
            เพื่อเป็นการฉลองครบรอบ 60 ปีวัดเซนต์หลุยส์ของเราในปีหน้าที่จะมาถึงนี้ ในแง่ของสถานที่ภายนอกทางสังฆมณฑลก็ได้เห็นชอบอนุมัติให้มีการปรับปรุงในหลายสิ่งหลายอย่าง อย่างที่พี่น้องเห็น ว่ากำลังมีการก่อสร้างหลังคาคลุมลานเอนกประสงค์ และ มีการปรับปรุงศาลาหลุยส์มารี ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ นอกจากนี้ยังมีแผนการสร้างหลังคาคลุมทางเดินเชื่อมระหว่างถนนสาทรมาถึงหน้าโรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา และหลังคาคลุมทางเดินเชื่อมระหว่างวัดกับศาลาหลุยส์มารี เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักเรียน ผู้ปกครอง พี่น้องสัตบุรุษ และท้ายสุดก็มีแผนปรับปรุงพื้นผิวถนนที่ใช้สัญจรรอบบริเวณ และ ระบบไฟส่องสว่างทั่วบริเวณอีกด้วย พ่อถือโอกาสนี้แสดงความขอบคุณเป็นอย่างสูงมายังผู้มีจิตศรัทธาทุกท่านที่ได้ร่วมใจกันบริจาคเพื่อสมทบทุนการก่อสร้างตามจุดประสงค์ดังกล่าว
            ขอนักบุญหลุยส์กษัตริย์ ได้วิงวอนพระเจ้าเพื่อทุกท่านเป็นพิเศษในโอกาสที่มาร่วมฉลองวัดเซนต์หลุยส์ในปีนี้ ขอให้ทุกท่านเดินทางกลับโดยสวัสดิภาพครับ

พ่อสุพจน์
.................................................................................

           
อาทิตย์ที่ 28 ส.ค. 2559
            นักบุญหลุยส์ กษัตริย์แห่งฝรั่งเศส ( ค.ศ. 1214-1270) นักบุญหลุยส์ หรือพระเจ้าหลุยส์ที่ 9 กษัตริย์แห่งประเทศฝรั่งเศส ได้รับการอบรมเยี่ยงคริสตชนที่แกร่งกล้าจากพระมารดาบลังซ์เอดคาสตีญ บุตรีของพระนางที่มีนามว่า อีซาแบลลา ก็ได้เป็นนักบุญด้วย
     หลุยส์ ได้ทำให้กษัตริย์แห่งอุดมคติได้เกิดขึ้นจริงๆในตัวพระองค์ โดยพระองค์ได้พยายามเจริญชีวิตด้วยความเชื่อแบบคริสตชน พระองค์เป็นแบบอย่างแห่งคุณธรรมชีวิตครอบครัว แบบอย่างแท้จริงของฆราวาสคริสตชนอีกด้วย พระองค์ได้ทำให้ประเทศฝรั่งเศสได้มีความยุติธรรมขึ้นเสียใหม่ ทรงสร้างโรงพยาบาลและได้มอบที่ดินผืนใหญ่สำหรับการกุศล พระองค์เป็นตัวอย่างในเรื่องความรักต่อคนจนและคนป่วย ได้เข้าอยู่ในคณะนักบวชฟรังซิสกันขั้นที่ 3 พระองค์ได้รับการหล่อหลอมด้วยจิตตารมณ์ของนักบุญฟรังซิสในชีวิตประจำวัน พระองค์ได้ยกฐานะความรู้ของมหาวิทยาลัยซอร์บอนให้สูงขึ้น และได้เป็นคนไกล่เกลี่ยช่วยกู้แผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ได้ถูกจับตัวไปเป็นเชลย พระองค์ได้พยายามทำตัวให้เป็นทั้งแม่ทัพที่ดี และคนพยาบาลที่ดีด้วย
            พระเยซูเจ้าทรงขับไล่วิญญาณชั่ว "ข้าแต่พระเยซูพระบุตรของพระเจ้าสูงสุด   พระองค์มายุ่งกับข้าพระองค์ทำไม   ข้าพระองค์ขอให้พระองค์สาบานในพระนามของพระเจ้าว่า   จะไม่ทรมานข้าพระองค์" พระคัมภีร์บอกเราว่า (อฟ.6.12) เพราะว่าเราไม่ได้ต่อสู้กับเนื้อหนังและเลือด   แต่ต่อสู้กับเทพผู้ครอง   ศักดิเทพ   เทพผู้ครองพิภพในโมหะความมืดแห่งโลกนี้   ต่อสู้กับเหล่าวิญญาณที่ชั่วในสถานฟ้าอากาศ ปีศาจมันรู้จักเวลาและโอกาส ผีมันทักพระเยซูว่า มายุ่งก่อนเวลาหรือยังไม่ใช่เวลาที่พระเจ้าทรงบอกไว้ ผีมันรู้ว่า ทุกวันนี้ มันมีเวลา ทุกวันนี้เป็นเวลาของมัน (วว.12.12) "แต่วิบัติจะมีแก่แผ่นดินโลกและทะเล   เพราะว่ามารได้ลงมาหาเจ้าด้วยความโกรธยิ่งนัก   เพราะมันรู้ว่าเวลาของมันมีน้อย "ผีมันรู้เวลาและโอกาสของมัน เพราะปัจจุบันนี้คือ "เวลาและโอกาสอันน้อยของมันที่จะล่อลวงมนุษย์ ให้พินาศไปกับพวกมัน" มันจึง "เร่งทำการ" ผีมันเร่งทำงาน, ผีมันรู้จักเวลา, กาลเวลา, ผีมันรู้จักฉวยโอกาส แต่คริสตชนหลายคนไม่รู้จัก          (อฟ.5.16) "จงฉวยโอกาส   เพราะว่าทุกวันนี้เป็น "กาลที่ชั่ว" เป็นเวลาที่พระเจ้าอนุญาตให้วิญญาณชั่วทำงานได้ขณะหนึ่ง    พระคัมภีร์จึงเตือนให้คริสตชนรีบเร่งเวลา ฉวยโอกาส เพราะขนาดผีเองมันเร่งเวลา ฉวยโอกาส  แต่ทำไม"คนของพระเจ้ากลับไม่เร่งเวลา ไม่ฉวยโอกาส" ปัจจุบัน จึงเป็นเวลาแห่งความมืด อำนาจมืด เหล่าวิญญาณชั่วกำลังเร่งทำงานใน(2ธส.2.7) บอกว่า  "เพราะว่าอำนาจลึกลับนอกกฎหมายนั้นก็เริ่มทำงานอยู่แล้ว"แม้ผีมันมีอำนาจ  แต่เราไม่ต้องกลัวมัน เพราะพระเยซูทรงฤทธิ์ยิ่งใหญ่กว่ามัน และพวกเราสามารถเอาชนะมันได้ (วว.12.11)  เขาเหล่านั้นชนะพญามารด้วยพระโลหิตของพระเมสิยาห์  (หมายถึง โดยการสิ้นพระชนม์ของพระเยซู ผู้ที่เชื่อใน "นามพระเยซู" นั้น พระเจ้าถือว่า "โลหิตของพระเยซู" มีอำนาจเหนือวิญญาณชั่ว ผีร้าย ปลดปล่อยเขา และได้รับชีวิตนิรันดร  ปีศาจจึงอยู่ใต้สิทธิอำนาจพระเยซู เพราะพระองค์มีอำนาจในการขับไล่และปลดปล่อย ทุกวันนี้ผีมันอยู่รอบๆตัว รอบๆใจ รอบๆตา รอบๆปาก (1ปต.5.8) 8ท่านทั้งหลายจงสงบใจจงระวังระไวให้ดี   ด้วยว่าศัตรูของท่านคือมารวนเวียนอยู่รอบๆ   ดุจสิงห์คำราม เที่ยวไปเสาะหาคนที่มันจะกัดกินได้ ผีมันอยู่ในเมืองของเรา ในชุมชน  ในคนที่เชิญมันมาบวงสรวงบูชามัน! เป็นชั้นศักดิเทพ อิทธิเทพ เทพผู้ครองต่างๆ อยู่หน้าบ้านคน ศาลพระภูมิ อยู่ใต้ต้นไม้ อยู่หน้าร้านค้า แผงลอย และมันอยู่ในคน อยู่ในรอยสัก คนเล่นของอยู่ในคอเสื้อบูชารูปเคารพ อยู่รอบเอว อยู่ในผิวหนัง และอื่นๆ  และที่น่ากลัวที่สุด มันอยู่ในจิตใจคน!   สิ่งที่บ่งบอกถึงงานของผีมารที่ทำงานในจิตใจคน  เป็นลักษณะนิสัยมนุษย์ในสมัยจะสิ้นยุค  "มนุษย์จะเห็นแก่ตัว   เห็นแก่เงิน   เย่อหยิ่ง   ยโส   ชอบด่าว่า   ไม่เชื่อฟังคำบิดามารดา   อกตัญญู   ไร้ศีลธรรม 3ไร้มนุษยธรรม   ไม่ให้อภัยกัน   ใส่ร้ายกัน   ไม่ยับยั้งชั่งใจ   ดุร้าย   เกลียดชังความดี 4ทรยศ   มุทะลุ   หัวสูง   รักความสนุกยิ่งกว่ารักพระเจ้า 5ถือศาสนาแต่เปลือกนอก   ส่วนแก่นแท้ของศาสนาเขาไม่ยอมรับ   คนเช่นนั้นท่านอย่าคบ"แต่จงขอบคุณพระเจ้า พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจปลดปล่อยคนได้   ทรงช่วยได้  ขับไล่ภูตผีวิญญาณชั่วได้ทุกชนิดอำนาจในการกล่าวห้ามหรือจะอนุญาต  ถ้าพระเจ้าไม่อนุญาต ผีมันทำอะไรคนของพระเจ้าไม่ได้สิ่งที่ต้องระวัง คือวิญญาณชั่ว มันหลอกเก่งมากๆ และคนมากมายจะหลงไปฟังวิญญาณชั่วจะมีบางคนละทิ้งความเชื่อ โดยหันไปเชื่อฟังวิญญาณที่ล่อลวง และฟังคำสอนของพวกผีปีศาจพวกพี่น้องทั้งหลายก็ประสบความทุกข์ลำบากจงน้อมใจยอมฟังพระเจ้า   จงต่อสู้กับมาร   และมันจะหนีท่านไปจงสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า   เพื่อจะต่อต้านยุทธอุบายของพญามารได้


พ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้เป็นวันสมโภชสำคัญอีกวันหนึ่งในรอบปีพิธีกรรมของพระศาสนจักร นั่นคือวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ วันนี้เป็นวันที่เราฉลองการเสด็จจากโลกนี้ไปของพระมารดาของพระเยซู ทั้งร่างกายและวิญญาณของพระนางถูกรับไปอยู่เบื้องพระพักตร์ของพระเจ้าแล้ว
                สมเด็จพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ประกาศยืนยันว่าความเชื่อของพระศาสนจักรประการนี้ที่มีมาแต่ยุคแรกเริ่มนั้นเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรรับรองอย่างเป็นทางการในปี ค.. 1950 พระองค์ประกาศข้อความเชื่อประการนี้ในพระสมณกฤษฎีกา "Munificentissimus Deus" ซึ่งมีเนื้อหากล่าวถึงธรรมประเพณีของพระศาสนจักรที่มีการเฉลิมฉลองวันสมโภชนี้มาตลอดในประวัติศาสตร์อันยาวนาน โดยอ้างถึงคำสอนของบรรดาปิตาจารย์ของพระศาสนจักร รวมไปถึงความคิดทางเทววิทยาบนข้อความจากพระคัมภีร์ที่บ่งชี้ว่าพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกขึ้นสู่สวรรค์ภายหลังจากพระนางหมดลมหายใจ
                แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่มีข้อความใดๆกล่าวถึงการได้รับเกียรติยกขึ้นสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์โดยตรงเลย  แต่ธรรมประเพณีของพระศาสนจักรคาทอลิกเชื่อเสมอมาว่า พระนางคือ "สตรีผู้สวมอาภรณ์รุ่งโรจน์ดั่งดวงอาทิตย์" ดังที่มีรายละเอียดปรากฏอยู่ใน หนังสือวิวรณ์ บทที่ 12 ข้อความในพระคัมภีร์ตอนนี้มีใจความว่า การปรากฏตัวของสตรีผู้นี้ คือหมายสำคัญที่ยิ่งใหญ่ที่ปรากฏขึ้นในฟ้าสวรรค์ โดยระบุว่าพระนางคือมารดาขององค์พระผู้ไถ่ของชาวยิว ที่มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้าของนาง และที่ศีรษะของพระนางมีมงกุฏดาวสิบสองดวงสวมอยู่  ภาพลักษณ์ที่พระคัมภีร์กล่าวถึงเช่นนี้แหละคือที่มาของอากัปกิริยาของการเสด็จขึ้นสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์ในพระศาสนจักรทางตะวันตก
                พระศาสนจักรตะวันออกก็มีธรรมประเพณีในการฉลองการเสด็จสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์เช่นกัน พระสันตะปาปาปีโอ ที่ 12 ได้กล่าวอ้างถึง ระเบียบทางพิธีกรรมที่มีมาตั้งแต่เริ่มยุคไบเซนไทน์หลายข้อความ รวมไปถึงสิ่งที่นักบุญยอห์น แห่งดามัสกัสได้กล่าวไว้เกี่ยวกับฉลองการรับเกียรติยกขึ้นสู่สวรรค์ของพระนางมารีย์ว่า "พระนางผู้ได้รักษาพรมจรรย์ไว้ตั้งแต่กำเนิด สมควรได้รับการคงสภาพร่างกายของพระนางให้พ้นจากความเสื่อมสลายภายหลังความตายด้วย เนื่องด้วยพระนางผู้ได้โอบอุ้มพระผู้สร้างซึ่งเป็นเด็กน้อยในพระอุระของพระนางเช่นนี้ พระนางจึงสมควรจะได้พำนักในพระตำหนักนิรันดรขององค์พระเจ้า"
                พระศาสนจักรตะวันออก มีวันฉลองนี้เช่นกัน ในวันเดียวกัน (15 สิงหาคม) เพียงแต่เรียกชื่อวันฉลองแตกต่างกันออกไปว่า "Dormition of Mary" มีความหมายว่า พระนางมารีย์บรรทม ในการฉลองนี้จะมีกำหนดให้คริสตชนเตรียมตัวด้วยการเข้าสู่ช่วงเวลาของการถือศีลอดอาหารเป็นเวลาสองสัปดาห์ก่อนวันฉลอง คล้ายกับประเพณีการถือศีลอดอาหารในช่วงเทศกาลมหาพรต ซึ่งในพระศาสนจักรตะวันตกเคยมีธรรมเนียมปฏิบัติเช่นนี้ในยุคของบรรดาปิตาจารย์ด้วยเช่นกัน
                การสมโภชพระนางมารีย์รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ถือเป็นวันฉลองบังคับที่คริสตชนมีหน้าที่ไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ถอดความจาก The Assumption catholicnewsagency.com)

พ่อสุพจน์
.................................................................................................

อาทิตย์ที่ 21 ส.ค. 2559
            ในปี 1950 พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้ทรงประกาศว่า "พระนางพรหมจารีมารีอา ได้ทรงรับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ" เป็นข้อความเชื่อ คริสตชนมีความศรัทธาภักดีต่อแม่พระ ก็เนื่องจากชีวิตและฤทธิ์กุศล ความดีงามต่างๆ ในชีวิตของพระนาง เป็นแบบอย่างที่ดีแก่เราในการดำเนินชีวิตคริสตชน ฤทธิ์กุศลที่สำคัญในชีวิตแม่พระคือ ความบริสุทธิ์ หมายถึง พระนางมารีอาบังเกิดมาไม่มีบาปกำเนิด และยังดำเนินชีวิตถือตามพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าอย่างครบถ้วน ไม่กระทำบาป อีกทั้งได้ถวายตัวแด่พระเป็นเจ้าตั้งแต่ยังเด็ก โดยตั้งใจว่าจะถือพรหมจรรย์ แต่พระเป็นเจ้าก็ทรงมีแผนการโดยการใช้ให้เทวดาคาเบรียลมาแจ้งแก่แม่พระว่า พระนางจะตั้งครรภ์และกำเนิดบุตรชาย และให้ตั้งชื่อว่า เยซูพระนางมารีอาถามว่า เหตุการณ์นี้จะเป็นไปได้อย่างไร เพราะพระนางยังเป็นพรหมจารีอยู่ เทวดาตอบว่าการตั้งครรภ์นั้น มิได้เกิดตามธรรมชาติฝ่ายเนื้อหนัง แต่เกิดจากฤทธิ์อำนาจของพระจิตเจ้า เด็กที่เกิดมาจะเป็นพระผู้ไถ่โลก พระนางมารีจึงตอบว่า ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของพระเจ้า จงเป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่าน” ( ลก.1:38 ) แล้วนั้นพระวจนาตถ์ก็ทรงรับเอากาย และมาประทับอยู่ท่ามกลางเรา ( ยน. 1: 34 ) ความสุภาพ นอบน้อมเชื่อฟัง พระนางมารีอามีความสุภาพ นอบน้อมเชื่อฟังน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้า อันเป็นฤทธิ์กุศลที่บรรดาคริสตชนพึงมี พระเยซูเจ้าสอนเราให้แสวงหาน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าก่อนอื่นใด แล้วที่เหลือพระเป็นเจ้าจะแถมให้แก่เราเอง หมายถึง จัดการทุกสิ่งทุกอย่างแก่เราเอง คริสตชนยินดีรับทุกสิ่งทุกอย่างที่ผ่านเข้ามาในชีวิตด้วยความนอบน้อมราบเรียบ ด้วยความไว้วางใจในพระเป็นเจ้า ความรัก การยินดีเสียสละน้ำใจตนเอง เพื่อรับน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้ามาเป็นอันดับหนึ่งในชีวิตคริสตชน เพราะรักพระเป็นเจ้า พระนางจึงยอมรับทุกอย่างเพื่อให้สำเร็จตามแผนการไถ่บาปมนุษย์ของพระเป็นเจ้า คริสตชนทุกคนต้องมีส่วนร่วมในการกอบกู้มนุษยชาติให้กลับมาเป็นลูกของพระ พระนางมารีอาได้ร่วมมือกับพระเป็นเจ้า ไม่ว่าจะมีความยากลำบากสักเพียงใดอยู่ในเหตุการณ์นี้ ฯลฯ ความดีและฤทธิ์กุศลที่พระนางมารีอาเสียสละ พระเยซูเจ้าทรงตอบแทน และคืนความดีทุกอย่างแด่แม่ของพระองค์ นั่นคือ โดยการยกเอาพระนางมารีอาไปสวรรค์ทั้งร่างกายและวิญญาณ
            การที่พระนางได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ ทั้งกายและวิญญาณนี้สอนให้เราตระหนักชัดว่า  โลกนี้มิใช่ที่พักพิงหรือบ้านอันถาวรของเรา ทว่าเป็นที่พำนักในสวรรค์ที่ซึ่งเราจะพำนักอยู่ พร้อมกับพระมารดาและพระบุตรของพระนาง นั่นคือทั้งดวงวิญญาณและร่างกายของเราที่ต้องเน่าเปื่อยผุพัง พร้อมกับการตายตามกฎธรรมชาติ จะได้รับความบรมสุขตลอดนิรันดรในสรวงสวรรค์  ณ วาระสุดท้ายแห่งกาลเวลา แต่สำหรับพระนางมารีอาแล้ว  สิทธิพิเศษของพระนางและการมีส่วนในหลักการแห่งการร่วมโชคชะตากับพระบุตรของพระนาง ทำให้เกียรติมงคลแห่งมนุษยภาพของพระนางได้สำเร็จไปก่อนแล้วถึงเวลานั้น เราทุกคนพึงตระหนักว่า "ไม่ใช่เราทุกคนมุ่งไปสู่ความตาย แต่ว่าเราจะเปลี่ยนแปลงไปสู่ความตาย จะกลับคืนชีพอย่างไม่เน่าเปื่อย
            พระศาสนจักรในวันนี้ฉลองรหัสธรรมปัสกาที่ได้สำเร็จบริบูรณ์ไปในชีวิตของพระนางมารีอาเนื่องจากว่า พระนางมารีอาทรงเป็นผู้ที่เปี่ยมด้วยพระหรรษทาน  ไม่มีแม้แต่เงาของบาป  พระบิดาจึงทรงมีพระประสงค์ให้พระนางได้มีส่วนในการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้าเลยทันที  ที่สุดความตายก็มาถึง ในห้องมีแสงสว่างเจิดจ้า  แม่พระเสด็จสู่สวรรค์แล้ว  เธอเป็นราชินีแห่งสวรรค์ตลอดนิรันดร
            โอกาสสมโภชพระชนนีพระเป็นเจ้าได้รับเกียรติยกขึ้นสวรรค์ บรรดาปิตาจารย์และนักปราชญ์ ต่างก็นำพระธรรมคำสอนซึ่งเป็นที่รู้จัก ขึ้นมาเป็นสาระสำคัญในบทเทศน์ ท่านเหล่านี้มีหน้าที่ขยายความ เพื่อเน้นให้ความหมายที่สำคัญเด่นขึ้นมา ที่กล่าวว่าพระกายของพระนางไม่เน่าเปื่อยนั้น มิได้ทำเพื่อให้พิธีกรรมนี้หมดไป สิ่งที่เราฉลองก็คือการมีชัยเหนือความตาย  เมื่อพระนางได้รับการยกย่องว่าประเสริฐตามแบบอย่างของพระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรองค์เดียวของพระนางในสวรรค์

พ่อพงษ์เกษม

วันพฤหัสบดีที่ 11 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม 2016

พี่น้องที่รัก
                วันนี้พ่อขอนำงานวิจัยชิ้นหนึ่งมานำเสนอกับพี่น้องครับ ว่ากันว่า งานวิจัยชิ้นนี้เป็นงานวิจัยที่นานที่สุดในโลก เป็นผลงานของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ศึกษาเกี่ยวกับพัฒนาการของมนุษย์ที่อยู่ในวัยผู้ใหญ่ งานวิจัยชิ้นนี้ดำเนินมากว่า 75 ปีแล้ว โดยผู้ถูกวิจัยทั้ง 724 คนนั้น เหลือชีวิตรอดแค่ 60 กว่าคนเท่านั้น ซึ่งผู้เหลือรอดเกือบทั้งหมด อยู่ในวัย 90 ปี ขึ้นไปทั้งนั้น แล้วอะไรบ้างหล่ะที่บรรดานักวิจัยเรียนรู้จากเรื่องราวกว่า 70 ปี ของ 700 กว่าชีวิต ผ่านทางเอกสาร และ ข้อมูลเป็นหมื่นๆหน้า
            พวกเขาเรียนรู้ว่า "ความร่ำรวย" "ความโด่งดัง" หรือ "การทำงานอย่างหนักหน่วง" ไม่ใช่คำตอบของ "การมีชีวิตที่ดี" หรือ "สุขภาพที่ดี" เลยแม้แต่นิดเดียว แต่เป็น "ความสัมพันธ์ที่ดี" ต่างหากที่นำมาซึ่ง "การมีชีวิตที่ดี"
            “Good relationships keep us happier and healthier” ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ผู้วิจัยบอกต่อว่า บทเรียนล้ำค่าที่เกี่ยวกับความสัมพันธ์ คือ
            1. “Connection is really good for us, loneliness kills.” คุณจำเป็นต้องมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง ไม่ว่าจะเป็นคู่ครอง เพื่อน ครอบครัว หรือ สังคมก็ตาม ซึ่งความสัมพันธ์เหล่านี้จะทำให้คุณมีความสุขกว่า แข็งแรงกว่า และมีอายุที่ยืนยาวกว่า ในทางกลับกัน ความเหงา และ โดดเดี่ยวนั้นเป็นสิ่งอันตรายอย่างยิ่ง เพราะมันจะทำให้คุณมีความสุขน้อยลง ทำให้ร่างกายคุณเริ่มแย่ลง ตั้งแต่วัยกลางคน สมองเสื่อมเร็วขึ้น และมีชีวิตที่สั้นกว่า
            2. “Quality is not Quantity.” มันไม่สำคัญที่ปริมาณ หรือรูปแบบของความสัมพันธ์ เช่น "จะต้องแต่งงานเท่านั้น" แต่เป็น "คุณภาพของความสัมพันธ์" ต่างหาก ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ ยังมีงานวิจัยอีกชิ้นหนึ่ง ชี้ให้เห็นว่า ความสัมพันธ์ที่ไม่ดีของสามีภรรยา จะส่งผลลบมากกว่า การหย่าร้างอย่างที่เข้าใจกันเสียอีก
            3. “Good relationships don't just protect our bodies they protect our brains.” ความสัมพันธ์ที่อบอุ่น มั่นคง ไว้ใจได้ พึ่งพาได้ ไม่เพียงแต่ช่วยให้มีสุขภาพที่ดีเท่านั้น ยังดีต่อสมองด้วย ความสัมพันธ์ที่ดีจะทำให้มีความทรงจำที่ดี และสมองยังคงใช้งานได้ดีอยู่ ซึ่งความสัมพันธ์ที่ดีในที่นี้ไม่ได้หมายถึงความสัมพันธ์ที่ราบรื่นสุดๆ ไม่ทะเลาะกันเลย แต่เป็นความสัมพันธ์ที่รู้ว่า เมื่อถึงเวลาที่ต้องการจริงๆ เราจะมีคนที่พึ่งพาได้
            ผู้วิจัยงานชิ้นนี้มีชื่อว่า โรเบิร์ต วาล์ดินเจอร์ กล่าวเสริมว่า ผู้ถูกวิจัยเหล่านี้ในช่วงที่ยังเป็นวัยรุ่น หรือเริ่มเป็นผู้ใหญ่ใหม่ๆนั้นก็เชื่อเหมือนกับที่คนในยุคนี้ว่า "ชื่อเสียง เงินทอง" จะทำให้พวกเขา "ประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดี" แต่ความจริงจากการศึกษากว่า 75 ปี กลับกลายเป็นว่า คนที่ให้ความสำคัญกับ "ความสัมพันธ์ที่ดีกับคนรอบข้าง" ต่างหาก คือคนที่มีชีวิตที่ดีที่สุด
            สิ่งที่ทำให้คนเรามองข้าม "ความสัมพันธ์ที่ดี" แล้วหันไปใส่ใจกับ "ชื่อเสียง เงินทอง" หรือ "หน้าที่การงาน" อาจเป็นเพราะ การมีความสัมพันธ์ที่ดีนั้น เป็นเรื่องละเอียดอ่อน ยาก และไม่รู้จบ แถมยังต้องได้รับการใส่ใจตลอดเวลา จนหลายคนเลือกจะ "ทำงานหาเงิน" อย่างเดียว แต่การเอาใจใส่และการทำความสัมพันธ์ให้ดีไม่ได้ยากขนาดนั้น แค่เงยหน้าจากจอมือถือ แล้วสบตาคนรอบตัวให้มากขึ้น หาอะไรใหม่ๆทำร่วมกัน เพื่อให้ความสัมพันธ์ที่จืดจางกลับมามีสีสันอีกครั้ง ทำอะไรง่ายๆ ที่ไม่ต้องเสียเงิน เช่นชวนคนรักไปเดินเล่น หรือ ติดต่อญาติที่ไม่ได้เจอกันมานานแล้ว เพราะชีวิตเรานั้น "มาร์ก เทวน" บอกว่า มันช่างสั้นนัก แล้วก็สั้นเหลือเกิน สั้นเกินกว่าที่จะมาโกรธกัน ทะเลาะกัน หรือ อิจฉาริษยากัน ควรมีแต่เวลารักกันเท่านั้น ซึ่งแค่นี้มันก็แทบจะไม่พออยู่แล้ว
            จริงไหมครับ

พ่อสุพจน์
.............................................................................................
อาทิตย์ที่ 14 ส.ค. 2559
            สหัสวรรษใหม่ ช่างเป็นพยานถึงความรุนแรงที่เพิ่มมากขึ้น เกือบจะไม่มีวันไหนเลยที่ผ่านไปโดยไม่ได้ยินข่าวร้ายของการใช้ความรุนแรง การบุกรุก ประทุษร้ายผู้บริสุทธิ์ ณ ที่แห่งใดแห่งหนึ่งในโลกนี้ ยิ่งไปกว่านั้น ผู้กระทำการเหล่านี้พยายามสร้างความยุติธรรมให้ตนเอง ว่าเป็นการต่อสู้ในสงครามศักดิ์สิทธิ์เพื่อองค์พระผู้เป็นเจ้า ลองทบทวนถึงสงครามครูเสด สงครามของตาลีบันในอัฟกานิสถาน อัลกออิดะในอิรัค และกองทัพในอูกานดา มิใช่การทำสงครามกับบุคคลอื่นแต่เป็นสงครามกับบาปและความชั่วร้ายในตัวมนุษย์เอง ไม่ใช่สงครามกับคนที่เราเห็นว่าชั่วร้าย เห็นว่าเป็นปีศาจ แต่เป็นสงครามกับตัวปีศาจเองซึ่งอาจเป็นตัวเราเองก็ได้
            ท่านคิดว่าเรามาเพื่อนำสันติสุขมาให้โลกนี้หรือ? เปล่าเลย เราบอกต่อท่านทั้งหลาย เรานำความแตกแยกมาให้ต่างหาก ตั้งแต่นี้ไปคนห้าคนในบ้านหนึ่งจะแตกแยกกัน คนสามคนจะแตกแยกกับคนสองคน และคนสองคนจะแตกแยกกับคนสามคน บิดาจะแตกแยกกับบุตรชาย และบุตรชายจะแตกแยกกับบิดา มารดาจะแตกแยกกับบุตรหญิง และบุตรหญิงจะแตกแยกกับมารดา มารดาของสามีจะแตกแยกกับบุตรสะใภ้ และบุตรสะใภ้จะแตกแยกกับมารดาของสามี นักปราชญ์สอนเราว่า ที่พระเยซูเจ้าตรัสนี้มิใช่สาเหตุที่พระองค์เสด็จมา แต่เป็นผลตามมาจากการเสด็จมาของพระองค์ เป็นผลที่หลีกเลี่ยงมิได้จากการเสด็จมานี้ พระเยซูเจ้าทรงเปิดเผยว่าจะมีการแบ่งแยกเป็น 2 พวก บุตรและธิดาที่แท้จริงของพระเจ้า ซึ่งฟังพระวาจาของพระเจ้า เป็นพวกหนึ่งและบุตรชายหญิงของโลก ที่ต่อต้านพระประสงค์ของพระเจ้าจะเป็นอีกพวกหนึ่ง การแบ่งแยกนี้ จักทำให้มนุษยชาติแบ่งเป็น 2 กลุ่มกลุ่มของพระเจ้า และกลุ่มของผู้ไม่ศรัทธาพระเจ้า ความแตกแยกนี้จะคงอยู่ชั่วนิรันดร เป็นสงครามระหว่าง 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่งพยายามอย่างยิ่งที่จะยกโลกขึ้นไปหาพระเจ้าขณะที่อีกกลุ่มหนึ่ง พยายามดึงโลกลงสู่โลกันต์ ประชากร 2 กลุ่มนี้ มิได้แยกกันอยู่ในส่วนที่ต่างกันของโลกสองกลุ่มนี้อาศัยร่วมกัน อยู่ติดๆกัน ข้างๆกัน ในละแวกเดียวกัน ในหมู่บ้านเดียวกันแม้แต่อยู่ใต้ชายคาเดียวกัน
            สงคราม เป็นพลังชั่วร้าย ที่พระเจ้าทรงเรียกเราเข้ามามิใช่ทำสงครามเพื่อต่อสู้กับคนเชื้อชาติใดเชื้อชาติหนึ่ง ผู้คนในวัฒนธรรมใดวัฒนธรรมหนึ่ง ผู้คนในความเชื่อศรัทธาใด ความเชื่อศรัทธาหนึ่ง หรือกับบุคลอันเป็นที่รักของเรา บิดา บุตร มารดา ธิดา แม่สามี ลูกสะใภ้ ของเรา แต่จงประกาศสงครามอย่างเด็ดขาด โดยไม่ผ่อนปรนกับพลังความชั่วเหล่านั้น พลังชั่วร้าย ที่เราต่อต้านนี้ มีอะไรบ้าง ? คือการต่อสู้กับ พยศชั่วบาป 7 ประการความหยิ่งยโส อวดดี ปมเขื่องความโลภ ความตระหนี่  แสวงหาวัตถุทางโลก โดยขายวิญญาณของตน ราคะ การล่วงประเวณี วัตถุลามกอนาจาร การใช้เพศหญิงเป็นวัตถุทางเพศหรือปล่อยตัวตามกามรมย์ ความโกรธ พยาบาท ความขมขื่น เกลียดชัง ความแค้น ความตะกละ กิน และ ดื่ม มากเกินไป ความริษยา เกลียดตัวเอง เกลียดคนอื่น เกลียดคู่แข่งความเฉื่อยชา เกียจคร้าน หาความสบายโดยไม่ทำงานและจงเพิ่มมารดาของความชั่วทั้งหลายเข้าไปด้วย คือความอยุติธรรม หากเราประกาศสงครามกับสิ่งเหล่านี้เรากำลังร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้า เมื่อเราอยู่ในสงครามนี้แล้ว เราจงเตรียมพร้อมที่จะเผชิญกับปัญหาอุปสรรคต่าง ๆ ศัตรูต้องต่อต้านขัดขืน และต่อสู้กลับคืนแน่นอนเราจะประสบกับความยากลำบาก ปัญหาอุปสรรคและอันตราย ประกาศกเยเรมีย์ก็ร่วมในสงครามศักดิ์สิทธิ์ต่อสู้กับประกาศกเท็จเทียม ยืนหยัดอยู่กับความจริงพระเจ้า ไม่เคยทอดทิ้งคนของพระองค์ จงทำสงครามต่อสู้กับความชั่วร้ายในตัวเราเอง และในโลกนี้ ท่านทั้งหลายจงคิดถึงพระองค์ที่ทรงอดทนต่อการคัดค้านเช่นนี้ของคนบาป ท่านจะได้ไม่ท้อถอยหมดกำลังใจในการต่อสู้กับบาป ท่านยังมิได้ต้านทานจนถึงกับต้องหลั่งเลือดเลย” (ฮีบรู12:3-4)พระเจ้าทรงชำระทุกสิ่งให้สะอาดและมีสันติภาพนิรันดร

พ่อพงษ์เกษม

วันเสาร์ที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ 7 สิงหาคม 2016

พี่น้องที่รัก
            วันนี้พ่อขอนำเอาข้อคิดดีๆ ที่อ่านพบเจอในโลกโซเชียลมาฝากกันอีกสักครั้งครับ
                        “ในทุกๆวันของชีวิต เรามีโอกาสเจอ "โชคดี" 2 แบบ
            โชคดีแบบที่ 1 คือ เราได้พบคนดีๆ ได้เจอเรื่องราวดีๆ ทำให้เราได้ "สุขใจ"
            โชคดีแบบที่ 2 คือ เราได้พบคนไม่ดี ได้เจอเรื่องราวที่ไม่ดี ทำให้เราได้ "เรียนรู้"
                        บางวันเราก็เจอโชคดีแบบที่ 1 บางวันเราก็เจอโชคดีแบบที่ 2 แต่ส่วนใหญ่เราจะเจอ โชคดีทั้ง 2 แบบ ผสมกันไป
                        ถ้าคิดได้แบบนี้ ไม่ว่า เราจะเจอคนแบบไหน จะเจอเรื่องราวอะไร ไม่ว่าดีหรือไม่ดี เรา          ก็ถือว่าเป็นโชคดีของเรา
                        ในทุกเช้าวันใหม่ ถ้าเราลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อม "ลมหายใจ" ก็ถือว่าเราโชคดีที่สุดแล้ว
                        ดังนั้น ถ้ามีใครมาทำไม่ดีกับเรา หรือมีเรื่องราวไม่ดีเข้ามากระทบ เราก็แค่ "ปรับ       มุมมอง" เสียใหม่ มองว่าเป็นโชคดีที่เราได้ "เรียนรู้" เราก็จะมีความสุข
            ดังสุภาษิตจีนที่ว่า "เราไม่สามารถเปลี่ยนทิศทางลมได้ แต่เราสามารปรับใบเรือได้"
            (คัดลอกมาจาก PAG Design)

พ่อสุพจน์
...............................................................................................

อาทิตย์ที่ 19 เทศกาลธรรมดา
            ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ บรรพบุรุษของเราเชื่อในพระสัญญาของพระเจ้า รอคอยความรอดพ้นด้วยการเชื่อฟังตามแบบของอับราฮัมที่ออกจากตัวเอง และเดินทางโดยไม่รู้ว่าจะไปไหนอันมีรากฐานจากพระเจ้าผู้เป็นผู้ออกแบบและก่อสร้าง พระเยซูคริสตเจ้าได้ทรงเตือนผู้ที่ติดตามพระองค์ให้เตรียมพร้อมเสมอที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรัก  และความสัตย์ซื่อต่อพระองค์ใครเป็นผู้รับใช้ที่รับผิดชอบและฉลาด  ตามปกติในครอบครัวที่ร่ำรวยในสมัยนั้น  คนใช้แต่ละคนได้รับส่วนแบ่งซึ่งอาจจะเป็นข้าวสาลีหรือพืชอื่น ๆ  และพวกเขาอาจจะใช้พืชผลที่ได้รับนั้นทำให้เกิดประโยชน์ นายได้ตั้งเขาไว้เป็นหัวหน้าคอยปันส่วนข้าวสาลีแก่คนใช้อื่น ๆ  นายตั้งใจจะเดินทางไปที่อื่น จึงได้ตั้งผู้รับใช้ที่รับผิดชอบผลประโยชน์ไว้ ผู้รับใช้ผู้นี้มีหน้าที่ที่จะดูแลผลประโยชน์ให้แก่นายและคอยควบคุมคนใช้อื่น ๆ เหมือนกับนาย  เป็นบุญของผู้รับใช้ที่รับผิดชอบ ถ้าหากผู้รับใช้ปฏิบัติหน้าที่อย่างสัตย์ซื่อจนกว่านายกลับมาเขาก็จะได้รับคำชมเชย และนายจะแต่งตั้งเขาให้เป็นหัวหน้าดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดซึ่งเป็นตำแหน่งที่สูงสุดที่คนใช้อาจจะได้รับ แต่ถ้าผู้รับใช้คิดในใจว่าอีกนานกว่านายจะกลับมา เป็นไปได้ที่นายยังไม่กลับเนื่องจากติดธุระ อย่างใดก็ตาม  ผู้รับใช้อาจจะใช้อำนาจจนนอกลู่นอกทางเพื่อทำตามความพอใจของตัวเอง  ในประวัติศาสตร์เราเห็นว่าอำนาจทำให้คนดี ๆ กลายเป็นคนชั่ว อำนาจทำให้คนกลายเป็นทรราช  พระเยซูคริสตเจ้าทรงเตือนสานุศิษย์และเราทุกคน  เพราะอำนาจนี้เองที่ทำให้ผู้รับใช้ต้องประสบหายนะ แล้วเขาก็ข่มเหงบ่าวไพร่ชายหญิง เอาแต่กินเอาแต่ดื่มจนเมามาย  เพื่อที่จะแสดงอำนาจข่มเหงคนใช้หรือลูกน้องของเขา เขาใช้อำนาจจนนอกลู่นอกทาง
                ถ้านายกลับมาในวันที่เขามิได้รอคอย  คนใช้หรือผู้จัดการที่มัวเมาอยู่ในอบายมุข ไม่รู้ตัวว่านายจะกลับมาเมื่อไร  ครั้นนายกลับมาโดยกะทันหัน  โดยที่เขาก็ไม่พร้อม เขาจะไปรับโทษกับพวกที่ไม่มีความเชื่อ  ผู้รับใช้ที่รับผิดชอบจะได้ตำแหน่งอันสูงส่ง  เพราะนายมอบความไว้วางใจให้แก่เขา ส่วนผู้รับใช้ที่ไม่รับผิดชอบจะต้องโทษมหันต์ ผู้รับใช้ของพระเป็นเจ้าที่ได้รับศีลบวช เพื่อจะได้แจกจ่ายข้าวสาลี กล่าวคือพระหรรษทาน การอบรมสั่งสอน การโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์แก่สมาชิกทุกคนในพระศาสนจักร  วิบากกรรมแก่เขา  ถ้าหากเขาเลินเล่อไม่เอาใจใส่ต่อหน้าที่การงาน  เพราะเขาจะนำหายนะ ไม่ใช้เพื่อสู่ตัวเองเท่านั้น  แต่ต้องไปสู่ผู้คนจำนวนมากที่พระเป็นเจ้าได้ทรงมอบให้ เพื่อดูแลเอาใจใส่  แม้พระเยซูคริสตเจ้าจะตรัสกับผู้ดูแลวิญญาณและอภิบาลสัตบุรุษ สิ่งที่พระองค์ตรัสนี้เป็นสิ่งที่น่าคิดมากสำหรับผู้ที่มีอำนาจและได้รับมอบหมายจากพระเป็นเจ้า จงทำหน้าที่อย่างตระหนัก บิดา-มารดา มีหน้าที่จะต้องอบรมดูแลลูกหลานซึ่งพระเป็นเจ้าได้ทรงมอบไว้  เพื่อว่าบุตรหลานนั้นจะได้สัตย์ซื่อต่อพระเป็นเจ้าและบรรลุถึงสวรรค์  ถ้าหากเขาจะละเลยต่อหน้าที่นี้ เขาก็มีข้อบกพร่อง  นี่เป็นหน้าที่โดยเฉพาะของเขา  ซึ่งจะมอบให้คนอื่นทำได้ยากที่สุด  เพราะว่าโรงเรียนหรือวัดก็ไม่สามารถทำแทนได้อย่างครบครัน  บิดามารดาจะต้องอบรมบุตรหลานให้รักพระเป็นเจ้าตั้งแต่อยู่ในครอบครัว ต้องพร่ำสอนให้เด็กรักและถือพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า ผู้ที่เป็นพ่อแม่จะต้องพิจารณาถึงความรับผิดชอบประการนี้เสมอ เราได้ปฏิบัติแบบผู้รับใช้ที่รับผิดชอบที่นายได้มอบความไว้วางใจให้แก่เราหรือเปล่า เราได้เป็นตัวอย่างที่ดีแก่บุตร เราได้อบรมบ่มนิสัย และเราได้ให้คำสอนแบบคริสตังค์แก่บุตรหลานเป็นต้นในด้านศีลธรรม  เพราะตัวอย่างไม่ดีของเรา?  โปรดระลึกไว้เสมอว่า  เด็ก ๆ มักจะเอาอย่างผู้ใหญ่เสมอ เป็นต้น  บิดามารดา เพื่อประโยชน์ของเราเองและของลูกหลานของเขาในอนาคตด้วย ขอให้เราได้เป็นผู้จัดการที่สัตย์ซื่อเสมอ
                ครูเป็นผู้จัดการที่พระเป็นเจ้าได้แต่งตั้งให้เป็นนายในครอบครัว  ครูบาอาจารย์ได้รับหน้าที่ที่จะอบรมเด็กให้มีความประพฤติดีงาม  ไม่ใช่แต่ว่าเขาจะต้องสอนคำสอนให้เด็กเท่านั้น  แต่ว่าเขาจะต้องปลูกฝังให้เด็กมีความเคารพรักต่อพระเป็นเจ้าและพระบัญญัติของพระองค์  โดยอาศัยตัวและติดตามผู้มีชื่อเสียงและอำนาจของครู  ฉะนั้น  เมื่อครูประพฤติตนไม่เหมาะสม ความผิดจึงหนักและมีผลร้ายกาจมาก และอาจจะยังฝังอยู่ในความทรงจำของเด็กเป็นเวลาช้านาน ตรงกันข้าม ถ้าหากครูบาอาจารย์ประพฤติดีประพฤติชอบ เด็ก ๆ ก็จะเอาอย่าง  และจะเป็นดังประทีปที่ส่องสว่างในจิตใจของเด็ก  และเขาเองจะสุกใสเหมือนดาราบนท้องฟ้า  เพราะว่าเขาได้นำศิษย์ไปสู่ทางแห่งความรอด (ดาเนียล 12:3) บรรดาผู้หลักผู้ใหญ่ทางบ้านเมืองซึ่งมีอำนาจในการปกครองก็เช่นกัน จะต้องเอาใจใส่ต่อประชาชนและจะต้องรับผิดชอบต่อพระเป็นเจ้าด้วย


พ่อพงษ์เกษม