วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2015

พี่น้องที่รัก
         วันนี้เราฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา พระเยซูประจักษ์มากับซิสเตอร์โฟสตินา และกล่าวกับซิสเตอร์ว่า
เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา เป็นที่พึ่งที่กำบังของเหล่าดวงวิญญาณ ของคนบาปทั้งหลาย วันฉลองนี้เป็นวันที่ความเมตตา อ่อนโยนของเรา จะเผยแสดงออกมา เราจะโปรดให้มหาสมุทรแห่งพระพรหลั่งไหลมายังดวงวิญญาณผู้เข้ามาพึ่งพาความเมตตาของเรา วิญญาณที่ไปพึ่งพาศีลอภัยบาป และรับศีลมหาสนิท จะได้รับการอภัยและช่วยให้พ้นมลทินบาปอย่างบริบูรณ์ วันฉลองนี้ ความเมตตาของเราจะเอ่อล้น มาสู่ท่านทั้งหลาย" (Diary, 699)
                วันวันนี้จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลอง ความหมายอันลึกล้ำ ของความเมตตาที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรามนุษย์ วันวันนี้เป็นวันที่ นักบุญโทมัสร้องออกมาว่า "พระเจ้าข้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า" (ยน. 230:28)
                วันนี้คือวันที่พระเจ้าทรงสรรสร้าง
                ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม วันนี้คือวันคืนดีกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ พระโลหิตของพระเยซูได้รับการประพรมบนพระที่นั่งแห่งความเมตตา พระเยซูคือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ได้ทรงชดเชยบาปของเราแต่ละคน เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์
                วันนี้คือวันแห่งพันธสัญญา
                แปดวันหลังจากวันกลับคืนชีพของพระองค์ เราฉลองพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับประชากรของพระองค์ ว่าพระองค์จะมีความรักความเมตตากับประชากรของพระองค์
                วันนี้คือวันที่เราเฉลิมฉลองพระเมตตาของพระเจ้า
                พระเมตตาของพระองค์นั้นมากมายมหาศาล มากมายเกินกว่าบาปใดๆรวมกัน ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยาก ความชั่วร้ายใดๆ รวมไปถึงความตาย เรามีชัยชนะโดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ เราจึงได้รับความรอดพ้น และ ชีวิตนิรันดร
                วันนี้เป็นวันแห่งพระเมตตา
                วันที่เราจะหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และ ชุบตัวเราลงในมหาสมุทรไพศาลแห่งพระเมตตาของพระองค์ วันวันนี้เป็นวันที่เราจะนำพาสมาชิก และ เพื่อนพ้องของเราไปยังมหาสมุทรแห่งพระเมตตา ด้วยการภาวนาอุทิศให้กับพวกเขา วันวันนี้เป็นวันที่เราจะบอกกับพระเยซูว่า เรารักพระองค์ เรามอบชีวิตของเราไว้กับพระองค์ และ กล่าวกับพระองค์ว่า เราวางใจในพระองค์ วันวันนี้ และ ทุกๆวันจากนี้ไป เราจะร้องหาพระองค์บอกกับพระองค์ว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์"
                รูปพระเมตตา
                ปี 1931 องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานนิมิตให้กับ นักบุญโฟสตินา ด้วยลำแสงสองลำแสง ที่พวยพุ่งออกมาจากหัวใจของพระองค์ ลำแสงหนึ่งมีสีแดง และ อีกลำแสงหนึ่งสีขาว ขณะที่ซิสเตอร์เพ่งพิศมองดูพระองค์ พระองค์กล่าวกับเธอว่า "จงวาดภาพนี้ ตามอย่างที่เธอเห็น และ เขียนที่ใต้ภาพว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์" เราสัญญาว่า บุคคลใดที่มีความศรัทธาต่อภาพนี้จะไม่มีวันสูญสลายไป เราสัญญาว่า เขาจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้งในโลกนี้และในเวลาสิ้นใจ เราเองจะปกป้องเขาเยี่ยงสิริมงคลของเรา เราอยากให้ทุกคนทั่วโลกมีความศรัทธาต่อภาพนี้ ซึ่งเราจะประทานพระพรให้กับดวงวิญญาณ  ลำแสงสองลำแสง คือตัวแทนของ เลือดและน้ำ ลำแสงสีขาวคือน้ำที่ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ ลำแสงสีแดง คือเลือด ที่ให้ชีวิตกับดวงวิญญาณ ลำแสงทั้งสองลำนี้ พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกแห่งความเมตตาอ่อนหวาน เมื่อดวงใจของเราที่ทุกข์ระทมถูกเปิดออกโดยหอกบนไม้กางเขน ลำแสงนี้คือเกราะป้องกันดวงวิญญาณจากพระพิโรธแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า บุคคลใดที่ดำรงอยู่ในความคุ้มครองนี้จะมีความสุข

พ่อสุพจน์
.....................................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
คำสอนในพระคัมภีร์หลายแห่งคล้าย ๆ จะขัดกับหลักของเหตุและผล  พระเยซูทรงเคยเอาความจริงฝ่ายจิตวิญญาณมาสอนด้วยวิธีแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ขัดกับความคิดเห็นของคนทั่วไป โดยตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก" (ยอห์น 12:24) คำสอนเรื่องความเชื่อ มักแฝงไว้ในสิ่งที่ดูเผิน ๆ ที่ขัดกับความคิดของคนทั่ว ๆ ไป การอดทนพิสูจน์ให้เห็นความเชื่อของโมเสส "ประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา" "เพราะความเชื่อ ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์ เพราะท่านมั่นใจประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา" (ฮีบรู 11:27) แต่คนเราจะเห็นผู้ไม่ปรากฏแก่ตาได้อย่างไร  ความเชื่อจะต้องนำมาใช้ในโลกของสิ่งที่ตามองไม่เห็น  ซึ่งจะพิสูจน์ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ไม่ได้  แต่เป็นโลกของสิ่งที่มีจริง  สิ่งที่ตามองเห็นไม่ได้เป็นสิ่งที่มีจริง  ถ้าคนเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นได้ย่อมไม่มีปัญหา  ทว่าเมื่อมองเห็นได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ  ความเชื่อเป็นข้อพิสูจน์ของสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นว่ามีจริง  และสิ่งที่ยังมองไม่เห็นนั้นมาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เชื่อ  ความเชื่อคือการแน่ใจ โดยที่ยังไม่เห็นความเชื่อทำให้เราร้องเพลงได้ แม้จะว่ากำลังติดคุกอยู่  นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้  ในเรื่องของเปาโลและสิลาส  ทั้งสองร้องเพลงสรรเสริญแม้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย  ความเชื่อนี้ท่านได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าขณะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง  เป็นการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพแม้จะติดโซ่ตรวนอยู่"คำแสดงความคิดถึงนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล ขอท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด" (โคโลสี 4:18) กิจการอัครสาวกวันนี้สำแดงถึงความเชื่อที่ทำให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขจัดผู้ขัดสนให้สิ้นไปจากสังคม สร้างสังคมใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรักด้วยการแจกจ่ายชีวิตของตนเองแก่ผู้อื่น ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมบังเกิดจากพระเจ้า เขาจะรักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ บัญญัติจึงมิใช่ภาระหนัก แต่ทุกคนที่รักพระเจ้าย่อมชนะโลกโดยความเชื่อนั้น เราแต่ละคนล้วนมีความกลัวในความยากลำบาก รักตัวกลัวตายล้วนเหมือนโทมัสที่บางครั้งดีแต่ปาก ไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่เชื่อในพลังที่เรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงล้อมอยู่รอบตัวเราเมื่อคนใช้ของเอลีชา มองเห็นกองทัพศัตรูบุกรุกเข้ามา  ก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า  เราจะทำอย่างไรดี" เอลีชาผู้ผ่านศึกแห่งความเชื่อมาอย่างโชกโชน ได้อธิษฐานว่า" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็นและพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา' " (2พงษ์กษัตริย์ 6:17)วันนี้พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับพวกเราทุกคนว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา แต่ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่เห็นก็เป็นสุข”  ฉะนั้นจงอย่าได้เอาความกระวนกระวายใจ ความลำบาก ความทุกข์ หรือแม้แต่บาปมาเป็นข้อขัดขวางความก้าวหน้าในชีวิต เพราะถ้าเราเชื่อในพระเจ้าแท้เราย่อมชนะโลกได้อย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชนะบาปและความตาย เพราะถ้าท่านมีความเชื่อเช่นนี้แล้ว ท่านทั้งหลายจะมีชีวิตเดชะพระนามของพระองค์ตลอดไป

พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น