วันศุกร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 26 เมษายน 2015

พี่น้องที่รัก
                พ่อจำได้ว่าเมื่อประมาณสี่สิบปีที่แล้ว  วัดเซนต์หลุยส์ของเรามีจำนวนสามเณรในบ้านเณรยอแซฟ
มากเป็นอันดับสองของเณรจากวัดต่าง ๆ ทั้งหมด แม้จะจำไม่ได้ชัดเจนว่ามีจำนวนเท่าไรกันแน่ แต่ก็มีไม่น้อยกว่า 15 คนซึ่งนับว่าเป็นจำนวนมากทีเดียว ในเวลานั้นสามเณรส่วนใหญ่ของวัดเซนต์หลุยส์ก็เริ่มต้นมาจากการเป็นเด็กช่วยมิสซา ช่วยพิธีกรรม นักขับร้อง ที่สุดเมื่อคุณพ่อเจ้าอาวาสเห็นว่าเหมาะสม ก็ส่งให้เด็กเหล่านั้นเข้าไปฝึกฝนตัวเองในบ้านเณร เพื่อเป็นพระสงฆ์
                เรื่องที่น่ายินดีก็คือ ในปีนี้มีพระสงฆ์ลูกวัดเซนต์หลุยส์ของเราที่บวชเป็นพระสงฆ์มาครบ 25 ปี จำนวนถึงสามองค์ครับ ซึ่งได้แก่ คุณพ่อปิยะชาติ มะกรครรภ์ คุณพ่อสุรนันท์ กวยมงคล และ คุณพ่ออนุรัตน์ ณ สงขลา คุณพ่อทั้งสามท่านเคยเป็นเด็กช่วยมิสซาที่วัดแห่งนี้ และ เจริญเติบโตขึ้นภายใต้การเอาใจใส่ของพระสงฆ์ในสมัยก่อน ตั้งแต่สมัยคุณพ่อลังเยร์ คุณพ่อลาบอรี่ และ พ่อเจ้าวัดองค์ต่อ ๆ มา อาทิ คุณพ่อลออ สังขรัตน์ คุณพ่อดาเนียล
                พ่อเองมีความเห็นว่า การที่บุคคลคนหนึ่งตอบรับกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ที่พระเจ้าประทานให้ ด้วยการเริ่มต้นจากการสมัครเข้าบ้านเณรเพื่อฝึกฝนตัวเอง และ พิจารณาตนอย่างถ่องแท้ถึงภารกิจที่พระเจ้าจะประทานให้ ก็เป็นสิ่งที่น่ายกย่องแล้ว แต่สำหรับสามเณรที่สามารถตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าและก้าวต่อจนไปถึงขั้นการสมัครใจขอรับศีลบวชเป็นพระสงฆ์นั้นเป็นสิ่งที่น่าสรรเสริญ และยิ่งไปกว่านั้น สำหรับพระสงฆ์ที่ดำเนินชีวิตรับใช้พี่น้องสัตบุรุษ โดยสละละความปรารถนาส่วนตัวทิ้งไปเสียเป็นเวลานานถึง 25 ปีนั้น เป็นเรื่องที่เราสมควรที่จะแสดงออกอย่างชัดเจนออกมาภายนอกว่า ขอขอบพระคุณพระเจ้า ที่พระองค์โปรดประทานพระสงฆ์ให้กับเรา เพื่อเป็นผู้นำฝ่ายจิตใจของเรา เป็นคนกลางระหว่างเรากับพระเจ้า นำการอภัยของพระองค์มาสู่เรา เป็นผู้ช่วยนำพาเราให้ก้าวไปบนเส้นทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์ที่พระเจ้าทรงเรียกเราทุกคนให้ก้าวไป เป็นผู้ช่วยประคับประคองเราให้ผ่านเส้นทางชีวิตบนโลกนี้ ไปสู่ชีวิตนิรันดรที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้สำหรับผู้ที่รักพระองค์ทุกคน
                ด้วยเหตุผลดังกล่าวข้างต้น สภาภิบาลวัดเซนต์หลุยส์ของเราจึงร่วมใจกันจัดงาน ฉลองครบรอบ 25 ปีชีวิตสงฆ์ให้กับคุณพ่อลูกวัดของเราทั้งสาม รวมไปถึงพระสงฆ์ร่วมรุ่นที่ได้รับศีลบวชพร้อมกันอีกสี่องค์ ซึ่งได้แก่ คุณพ่อพงศ์เทพ ประมวลพร้อม คุณพ่อพรชัย บรัศวกุล คุณพ่ออนุรักษ์ ประจงกิจ และ ตัวพ่อเอง พ่อสุพจน์ ฤกษ์สุจริต  ทั้งนี้เราจะมีพิธีบูชาขอบพระคุณ โมทนาคุณพระเจ้า ในเย็นวันเสาร์ที่ 30 พฤษภาคม 2558 เวลา 17.30 . หลังจากพิธีจบแล้ว จะมีการทานอาหารโต๊ะจีนร่วมกันในบริเวณโรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษาครับ
                พ่อจึงขอประชาสัมพันธ์ให้พี่น้องทราบโดยทั่วกัน และขอเรียนเชิญพี่น้องทุกท่านครับ
คพ.สุพจน์
..........................................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
ไม่มีใครเอาชีวิตไปจากเราได้ แต่เราเองสมัครใจสละชีวิตนั้น” (ยน. 10:18)จากพระวาจาของพระเจ้าประโยคนี้ เป็นสิ่งที่พระองค์ทรงแยกความแตกต่างระหว่างคนเลี้ยงแกะสองประเภทอยู่ตรงที่ คนเลี้ยงแกะจริง ๆ เกิดมาเพื่อเลี้ยงแกะโดยเฉพาะ ทันทีที่มีอายุพอสมควร พวกเขาจะถูกส่งออกไปอยู่กับฝูงแกะ และคลุกคลีอยู่กับแกะ จนแกะกลายเป็นเพื่อนและเป็นเหมือนหุ้นส่วนชีวิต ที่พวกเขาคิดถึงก่อนจะคิดถึงตัวเองเสียอีก ส่วนคนเลี้ยงแกะที่เป็นลูกจ้างนั้น... พวกเขาไม่ได้มีกระแสเรียกเป็นคนเลี้ยงแกะตั้งแต่เริ่มแรก สาเหตุเดียวที่ทำให้พวกเขาเข้าสู่วงการเลี้ยงแกะคือความต้องการ "งานและเงิน" พวกเขาจึงขาดสำนึกและความรับผิดชอบต่อหน้าที่อันสูงส่งเช่นนี้ ดังนั้น หากสุนัขป่าเข้าโจมตีฝูงแกะ ลูกจ้างเลี้ยงแกะจะลืมทุกสิ่งทุกอย่างหมด นอกจากการวิ่งหนีเอาชีวิตรอดเท่านั้น  สิ่งที่พระองค์ทรงสะท้อนให้กับเรา คือ หากเราทำงานเพียงเพราะหวัง "รางวัล" เราจะคิดถึง "เงิน"เป็นส่วนใหญ่ แต่ถ้าเราทำงานเพราะ "ใจรัก" เราจะคิดถึง "คน" ที่เราตั้งใจรับใช้ ดังนั้น แบบอย่างของพระองค์ซึ่ง เป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี ทำให้เราได้ ใคร่ครวญ 2 ประการด้วยกัน คือ
           1. พระเยซูเจ้าคือผู้เลี้ยงแกะที่ดี คำว่า "ดี" ในภาษากรีกใช้ 2 คำ คือ
- agathos (อากาธอส) หมายถึงสิ่งที่มีคุณภาพ หรือ มีคุณสมบัติทางด้านศีลธรรมอยู่ในเกณฑ์ดี
- kalos (คาลอส) หมายถึงนอกจาก "ดี" แบบ "อากาธอส" แล้ว ยังมีความน่ารัก น่าชื่นชมแฝงอยู่ด้วย
และพระองค์ทรงเลือกใช้คำ "คาลอส" เพื่อบอกว่าทรงเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ "ดี" หมายความว่า พระเยซูเจ้านอกจากจะเป็นผู้เลี้ยงแกะที่ดี มีประสิทธิภาพและซื่อสัตย์ต่อการปกป้องฝูงแกะของพระองค์แล้ว พระองค์ยังมีความน่ารักอีกด้วย เหมือนเวลาเราบอกว่า "คุณพ่อคนนี้ดี" หรือ "คุณหมอคนนั้นดี" เราไม่ได้หมายความเพียงว่า คุณพ่อหรือคุณหมอคนนั้นเก่งเพียงอย่างเดียว แต่เราคิดถึงความใจดี ความเอื้ออาทร ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น อันเป็นคุณสมบัติที่น่ารัก น่าชื่นชมของท่านเหล่านั้นด้วย
2. คนรับจ้างเลี้ยงแกะคืออันตรายใหญ่สุด ฝูงแกะคือพระศาสนจักร อันตรายของพระศาสนจักร (ครอบครัวของเรา) มีทั้งจากภายนอก คือสุนัขป่า ขโมย และโจร จากภายใน คือ คนรับจ้างเลี้ยงแกะที่ไม่รับผิดชอบและพร้อมทอดทิ้งแกะให้เผชิญภยันตรายตามลำพัง หากผู้เลี้ยงแกะมองกระแสเรียกของตนเป็น "อาชีพ" มากกว่าเป็น "การรับใช้" แกะย่อมตกอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง เพราะศัตรูจากภายนอกสามารถจู่โจมเข้าทำลายฝูงแกะได้โดยง่าย
สิ่งที่เป็นข้อคิดสำหรับเราแต่ละคน คือ ให้เราได้ตระหนักถึงพระพรของพระ (ตามแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้า ผู้เลี้ยงแกะที่ดี) ที่เรียกเรามาเป็นคริสตชน (ให้เรามีหน้าที่บทบาทต่างๆ เป็นพ่อแม่ อาชีพต่างๆของเรา พระสงฆ์ นักบวช กระแสเรียก คือ สิ่งที่พระเจ้าทรงเรียกเราให้มาทำหน้าที่ต่างๆ) ซึ่งนี่มิใช่เป็นเพียงหน้าที่เท่านั้น แต่เป็นพระพรที่ยิ่งใหญ่ เราจะได้ดำเนินชีวิตคริสตชนของเราได้อย่างดี ด้วยการรักและรับใช้ดังที่องค์พระเยซูเจ้าได้กระทำเป็นแบบอย่างแก่เรา จงรู้จักฟังเสียงของพระองค์ แล้วตามพระองค์ไปเสมอแล้วจะไม่มีใครเอาชีวิตเราไปได้นอกจากพระเจ้า ผู้ทรงเป็นชีวิตแท้ของเรา


พ่อพงษ์เกษม

วันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 19 เมษายน 2015

พี่น้องที่รัก
            “สันติสุข จงอยู่กับท่าน"
            ภายหลังจากที่พระเยซูเสด็จกลับคืนชีพจากความตาย ในพระวรสารนักบุญลูกา และ พระวรสารนักบุญยอห์นเล่าว่า สิ่งแรกที่พระเยซูตรัส เมื่อพระองค์ปรากฏพระองค์มาท่ามกลางกลุ่มอัครสาวกพระองค์ตรัสว่า "สันติสุข จงอยู่กับท่าน" พระองค์ต้องการสื่อความหมายอะไรกับพวกสาวกกันแน่ หรือ อาจเป็นเพียงต้องการบอกว่า "อย่ากลัวไปเลย ทุกอย่างจะเรียบร้อยในที่สุด" เพราะในพระวรสารนักบุญยอห์นให้ข้อสังเกตว่า เวลานั้นพวกสาวกแอบซ่อนกำบังตัวอยู่ภายในห้องที่ปิดประตูแน่นหนา "เพราะกลัวพวกยิว" แต่นั่นก็ไม่ใช่ความหมายที่แสดงเนื้อความที่สมบูรณ์ตามคำที่ใช้
            แม้ว่าพระวรสารจะถูกบันทึกไว้เป็นภาษากรีก แต่พระเยซูคงไม่ได้พูดภาษากรีกกับบรรดาสาวกแน่ พระองค์น่าจะพูดกับพวกเขาเป็นภาษาอารามาอิกว่า "ชาลามา" (เทียบเท่ากับคำว่า "ชาโลม" ในภาษายิว" คำคำนี้สามารถนำมาใช้เป็นคำทักทายได้ก็จริงอยู่ แต่ถ้าใช้ในใจความนั้นจะมีความหมายเพียง การส่งความปรารถนาให้ได้รับพรมากมาย บริบูรณ์ แต่ในกรณีของพระเยซู พระองค์ไม่ได้ต้องการเพียงส่งความปรารถนาดีเท่านั้น เพราะพระองค์มีอำนาจที่จะทำในสิ่งที่พระองค์ตรัสได้อยู่แล้ว ดังนั้นพระองค์ไม่ได้เพียงแค่ปรารถนาดี แต่พระองค์ประทานให้ตามที่พระองค์ตรัสเช่นนั้น
            คำว่า "ชาโลม" มีความหมายที่กินขอบเขตกว้างขวางเลยโพ้นไปจาก "สันติสุข" อันเนื่องมาจากบ้านเมืองสงบสุข คำว่า "ชาโลม"ในภาษฮิบรู มีความหมายถึง ความสมบูรณ์ ความบริบูรณ์ สุขภาพที่ดี สันติสุข ความมั่นคง ความปลอดภัย ปราศจากความกังวล มั่งคั่ง สงบสุข กลมกลืน ปราศจากภัยอันตราย  ดังนั้นจึงหมายถึง ชีวิตที่สมบูรณ์ อย่างที่ช่วงนี้เราชอบพูดกันว่า "ชีวิตดี๊ดี" ดังนั้นจึงหมายถึง ชีวิตที่ดีพร้อม ทั้งทางด้านวัตถุปัจจัย และทางด้านจิตใจที่งดงาม ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าและเพื่อนมนุษย์
            สันติสุขเช่นนี้แหละที่พระเจ้าประทานให้ อย่างที่นักบุญเปาโลเคยกล่าวเอาไว้ว่า "เกินสติปัญญาจะเข้าใจได้" และ "จะคุ้มครองดวงใจและความคิดของท่านไว้ในองค์พระคริสตเยซู" (ฟป 4:7) ดังนั้น สันติสุขนี้จึงเป็นสันติสุข แบบเหนือธรรมชาติ เป็นสภาวะที่จิตใจที่บรรลุถึงความบริบูรณ์ ด้วยพระพรที่เปี่ยมล้น เป็นความสุขภายในอย่างที่พระเยซูตรัสไว้ว่า "จงมาหาเราเถิด เราจะให้ท่านได้พักผ่อน ท่านจะพบกับการพักผ่อนสำหรับวิญญาณของท่าน" (มธ 11:28-29) และนี่คือเหตุผลที่ว่า ทำไมพระเยซู จึงกล่าวทักทายกับสานุศิษย์ว่า "เรามอบสันติสุขให้กับท่าน เราให้สันติสุขกับท่าน สันติสุขนี้ไม่เหมือนกับที่โลกให้" (ยน. 14:27) สันติสุขของพระองค์นั้นล้ำลึก เยียวยา และ รักษาเราให้เข้มแข็ง และ อยู่คงทนนานกว่า สิ่งใดๆที่โลกให้กับเราได้
            วันนี้พ่อก็ขอให้สันติสุขของพระเยซูสถิตอยู่กับพี่น้องทุกท่านที่รักพระองค์ครับ

พ่อสุพจน์
..................................................................................................................................... 
พี่น้องที่รัก
พระเยซูเจ้าได้ตรัสแก่บรรดาศิษย์ว่า สันติสุขจงดำรงอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด”   บรรดาศิษย์ที่ได้ยินเสียงของพระเยซูเจ้าต่างตกใจกลัว  พระองค์มาอยู่ท่ามกลางพวกเขาโดยไม่คาดคิด พระองค์ได้ตรัสอีกว่า ท่านวุ่นวายใจทำไม”  เพราะอะไรท่านจึงมีความสงสัยขึ้นในใจ  ความสงสัยและความกลัวของบรรดาศิษย์ทำให้พระองค์ได้แสดงพระวรกายของพระองค์  เพื่อให้เกิดความชัดเจนด้วยรอยตะปูที่พระหัตถ์และพระบาท   บรรดาศิษย์มีความยินดีและแปลกใจจนไม่อยากเชื่อ  และพระองค์ได้ตรัสอีกว่า  ท่านมีอะไรกินบ้าง”  เขาได้ถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งแด่พระองค์  และเพื่อเปิดดวงปัญญาของบรรดาศิษย์ให้เข้าใจในพระคัมภีร์ที่มีเขียนไว้ว่า  พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมานและจะกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม  การประกาศในพระนามของพระองค์  เพื่อให้นานาชาติได้กลับใจ  โดยเริ่มต้นที่กรุงเยรูซาเล็ม   ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้  และสิ่งต่างๆ ที่เกี่ยวกับพระเยซูเจ้า  เราทุกคนซึ่งเป็นลูกของพระองค์จะปล่อยโอกาสที่พระองค์ได้มอบแก่เราทุก ๆ คนสูญไปหรือ  เราต้องมีความเชื่อ  ถึงแม้เราจะไม่เห็นและไม่กล้า   เหมือนสิ่งที่เกิดขึ้นแก่บรรดาศิษย์  เราต้องมีจิตใจเข้มแข็งแน่วแน่   เราจะไม่เป็นเหมือนกับศิษย์   กว่าที่พวกเขาจะได้เห็นและได้เชื่อ ผีไม่มีเนื้อไม่มีกระดูก อย่างที่เรามี ท่านมีอะไรกินบ้าง เขาจึงถวายปลาย่างชิ้นหนึ่งให้พระองค์ พระองค์รับมาเสวยต่อหน้าพวกเขา ผลงานที่ประสบความสำเร็จระยะสั้น  ไม่สามารถนำสันติแท้จริงมาสู่ชีวิตได้  ผลงานที่ยั่งยืนกว่า  คือ  การพัฒนางานต้นแบบที่สามารถให้คนอื่นนำไปปฏิบัติได้   ผลงานที่ยั่งยืนที่สุดคือ  แบบอย่างชีวิตของท่านนักบุญต่างๆ ชื่อและชีวิตของท่านได้ถูกจารึกอยู่บนสวรรค์   ใครที่ดำเนินตามนั้นก็จะเป็นอมตะตามแบบท่าน หากในเวลานี้ใครที่กำลังมีความวิตกกังวลหรือตกใจกลัว เนื่องด้วยสถานการณ์หนึ่งใดของชีวิตอยู่ ก็จงระลึกถึงพระเยซูเจ้า และจงมีสันติสุขที่เกิดขึ้นในใจของเรา ถึงแม้พระองค์จะจากไปอยู่กับองค์พระผู้เป็นเจ้าแล้ว สันติสุขนั้นยังคงอยู่ในใจเรา ในศีลศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้าได้เยียวยารักษาจิตใจผู้ที่ผิดหวังหมดกำลังใจ พระองค์จุดประกายความหวังขึ้นใหม่เป็นสันติสุขของผู้ที่ได้เผชิญกับวิกฤติการณ์ในชีวิต หรือเต็มไปด้วยความผิดหวัง ก็จะเข้าใจได้ดีถึงสภาพแห่งความผิดหวังดังกล่าว แล้วในขณะที่เราอยู่ในความทุกข์โศกนั้นในเวลาที่เราผิดหวังและเศร้าโศกเสียใจนั้น    เราอาจเตือนกันและกันได้ถึงสันติสุขของพระเจ้า  ที่จะนำเราผ่านช่วงเวลาที่มืดมิดที่สุดในชีวิตไปสู่สันติสุขของพระเจ้าได้  พระคริสตเจ้าจะต้องรับทนทรมาน และกลับคืนพระชนมชีพจากบรรดาผู้ตายในวันที่สาม จะต้องประกาศพระนามของพระองค์ให้นานาชาติได้กลับใจเพื่อรับอภัยบาปโดยเริ่มจากกรุงเยรูซาเล็ม ท่านทั้งหลายเป็นพยานถึงเรื่องทั้งหมดนี้” (ลก 24:46-48)ชีวิตของเรามีบาปด้วยกันทุกคน บางคนมาก บางคนน้อย และยังมีความบกพร่องที่ไม่ได้รับการแก้ไขไปตลอดชีวิต หรือบางทีอะไร ๆ อาจจะเลวร้ายลงเสียด้วยซ้ำ แต่ปัญหาและความอ่อนแอของเราก็เป็นอยู่แค่ชั่วคราวเพราะพระองค์ทรงเป็นเครื่อง บูชาชดเชยบาปของเรา และไม่เพียงแต่ชดเชยเฉพาะบาปของเราเท่านั้น แต่ชดเชยบาปของมนุษย์ทั้งโลกด้วย หากในอดีตเราเคยพ่ายแพ้ต่อบาป การคาดหวังถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมไว้ให้กับเรา อาจทำให้มีความหวังขึ้นในหัวใจของเราได้  ความหวังทำให้เรามีจุดยืน และทำให้เราใช้ชีวิตต่อไปได้ด้วยกำลังที่มาจากข้างใน เพราะเรารู้ว่าวันหนึ่งเราจะเปลี่ยนไปจากที่เราเป็นอยู่นี้โดยสิ้นเชิง ไม่มีต้นแบบใดที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าการที่ใครบางคนยอมทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่ากับพระเยซู   แล้วทำไมพระองค์ต้องดิ้นรนทำตามพระประสงค์ของพระบิดาให้ได้หรือนั่นก็เพราะพระองค์ต้องการรับแบกโทษบาปของโลกทั้งหมด ถ้าเราแบกบาปของตัวเราเองและของโลก ดำรงชีวิตในความซื่อสัตย์มั่นคงในความเชื่อ เป็นพยานด้วยชีวิต สันติสุขก็จะดำรงอยู่ในชีวิตของท่าน


พ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 เมษายน 2015

พี่น้องที่รัก
         วันนี้เราฉลองวันอาทิตย์พระเมตตา พระเยซูประจักษ์มากับซิสเตอร์โฟสตินา และกล่าวกับซิสเตอร์ว่า
เราปรารถนาให้วันฉลองพระเมตตา เป็นที่พึ่งที่กำบังของเหล่าดวงวิญญาณ ของคนบาปทั้งหลาย วันฉลองนี้เป็นวันที่ความเมตตา อ่อนโยนของเรา จะเผยแสดงออกมา เราจะโปรดให้มหาสมุทรแห่งพระพรหลั่งไหลมายังดวงวิญญาณผู้เข้ามาพึ่งพาความเมตตาของเรา วิญญาณที่ไปพึ่งพาศีลอภัยบาป และรับศีลมหาสนิท จะได้รับการอภัยและช่วยให้พ้นมลทินบาปอย่างบริบูรณ์ วันฉลองนี้ ความเมตตาของเราจะเอ่อล้น มาสู่ท่านทั้งหลาย" (Diary, 699)
                วันวันนี้จึงเป็นวันที่เราเฉลิมฉลอง ความหมายอันลึกล้ำ ของความเมตตาที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเรามนุษย์ วันวันนี้เป็นวันที่ นักบุญโทมัสร้องออกมาว่า "พระเจ้าข้า องค์พระผู้เป็นเจ้าของข้าพเจ้า" (ยน. 230:28)
                วันนี้คือวันที่พระเจ้าทรงสรรสร้าง
                ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิม วันนี้คือวันคืนดีกับพระเจ้า แต่เดี๋ยวนี้ พระโลหิตของพระเยซูได้รับการประพรมบนพระที่นั่งแห่งความเมตตา พระเยซูคือลูกแกะของพระเจ้า ผู้ได้ทรงชดเชยบาปของเราแต่ละคน เราจึงได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์
                วันนี้คือวันแห่งพันธสัญญา
                แปดวันหลังจากวันกลับคืนชีพของพระองค์ เราฉลองพันธสัญญาที่พระเจ้าทรงทำกับประชากรของพระองค์ ว่าพระองค์จะมีความรักความเมตตากับประชากรของพระองค์
                วันนี้คือวันที่เราเฉลิมฉลองพระเมตตาของพระเจ้า
                พระเมตตาของพระองค์นั้นมากมายมหาศาล มากมายเกินกว่าบาปใดๆรวมกัน ยิ่งใหญ่กว่าความทุกข์ยาก ความชั่วร้ายใดๆ รวมไปถึงความตาย เรามีชัยชนะโดยอาศัยพระเมตตาของพระองค์ เราจึงได้รับความรอดพ้น และ ชีวิตนิรันดร
                วันนี้เป็นวันแห่งพระเมตตา
                วันที่เราจะหันกลับมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้า และ ชุบตัวเราลงในมหาสมุทรไพศาลแห่งพระเมตตาของพระองค์ วันวันนี้เป็นวันที่เราจะนำพาสมาชิก และ เพื่อนพ้องของเราไปยังมหาสมุทรแห่งพระเมตตา ด้วยการภาวนาอุทิศให้กับพวกเขา วันวันนี้เป็นวันที่เราจะบอกกับพระเยซูว่า เรารักพระองค์ เรามอบชีวิตของเราไว้กับพระองค์ และ กล่าวกับพระองค์ว่า เราวางใจในพระองค์ วันวันนี้ และ ทุกๆวันจากนี้ไป เราจะร้องหาพระองค์บอกกับพระองค์ว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์"
                รูปพระเมตตา
                ปี 1931 องค์พระผู้เป็นเจ้า ประทานนิมิตให้กับ นักบุญโฟสตินา ด้วยลำแสงสองลำแสง ที่พวยพุ่งออกมาจากหัวใจของพระองค์ ลำแสงหนึ่งมีสีแดง และ อีกลำแสงหนึ่งสีขาว ขณะที่ซิสเตอร์เพ่งพิศมองดูพระองค์ พระองค์กล่าวกับเธอว่า "จงวาดภาพนี้ ตามอย่างที่เธอเห็น และ เขียนที่ใต้ภาพว่า "พระเยซู ข้าพเจ้าวางใจในพระองค์" เราสัญญาว่า บุคคลใดที่มีความศรัทธาต่อภาพนี้จะไม่มีวันสูญสลายไป เราสัญญาว่า เขาจะมีชัยชนะต่อศัตรูทั้งในโลกนี้และในเวลาสิ้นใจ เราเองจะปกป้องเขาเยี่ยงสิริมงคลของเรา เราอยากให้ทุกคนทั่วโลกมีความศรัทธาต่อภาพนี้ ซึ่งเราจะประทานพระพรให้กับดวงวิญญาณ  ลำแสงสองลำแสง คือตัวแทนของ เลือดและน้ำ ลำแสงสีขาวคือน้ำที่ชำระดวงวิญญาณให้บริสุทธิ์ ลำแสงสีแดง คือเลือด ที่ให้ชีวิตกับดวงวิญญาณ ลำแสงทั้งสองลำนี้ พวยพุ่งออกมาจากส่วนลึกแห่งความเมตตาอ่อนหวาน เมื่อดวงใจของเราที่ทุกข์ระทมถูกเปิดออกโดยหอกบนไม้กางเขน ลำแสงนี้คือเกราะป้องกันดวงวิญญาณจากพระพิโรธแห่งความยุติธรรมของพระเจ้า บุคคลใดที่ดำรงอยู่ในความคุ้มครองนี้จะมีความสุข

พ่อสุพจน์
.....................................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
คำสอนในพระคัมภีร์หลายแห่งคล้าย ๆ จะขัดกับหลักของเหตุและผล  พระเยซูทรงเคยเอาความจริงฝ่ายจิตวิญญาณมาสอนด้วยวิธีแสดงให้เห็นถึงความจริงที่ขัดกับความคิดเห็นของคนทั่วไป โดยตรัสว่า "เราบอกความจริงแก่ท่านว่า ถ้าเมล็ดข้าวไม่ได้ตกลงไปในดินและเปื่อยเน่าไป ก็จะคงอยู่เป็นเมล็ดเดียว แต่ถ้าเปื่อยเน่าไปแล้ว ก็จะงอกขึ้นเกิดผลมาก" (ยอห์น 12:24) คำสอนเรื่องความเชื่อ มักแฝงไว้ในสิ่งที่ดูเผิน ๆ ที่ขัดกับความคิดของคนทั่ว ๆ ไป การอดทนพิสูจน์ให้เห็นความเชื่อของโมเสส "ประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา" "เพราะความเชื่อ ท่านได้ออกจากประเทศอียิปต์ โดยมิได้เกรงกลัวความกริ้วของกษัตริย์ เพราะท่านมั่นใจประหนึ่งได้เห็นพระองค์ผู้ไม่ทรงปรากฏแก่ตา" (ฮีบรู 11:27) แต่คนเราจะเห็นผู้ไม่ปรากฏแก่ตาได้อย่างไร  ความเชื่อจะต้องนำมาใช้ในโลกของสิ่งที่ตามองไม่เห็น  ซึ่งจะพิสูจน์ด้วยวิธีทางคณิตศาสตร์ไม่ได้  แต่เป็นโลกของสิ่งที่มีจริง  สิ่งที่ตามองเห็นไม่ได้เป็นสิ่งที่มีจริง  ถ้าคนเชื่อในสิ่งที่ตาเห็นได้ย่อมไม่มีปัญหา  ทว่าเมื่อมองเห็นได้แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องมีความเชื่อ  ความเชื่อเป็นข้อพิสูจน์ของสิ่งที่ยังไม่ได้เห็นว่ามีจริง  และสิ่งที่ยังมองไม่เห็นนั้นมาเป็นประสบการณ์ส่วนตัวของผู้เชื่อ  ความเชื่อคือการแน่ใจ โดยที่ยังไม่เห็นความเชื่อทำให้เราร้องเพลงได้ แม้จะว่ากำลังติดคุกอยู่  นี่เป็นสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้  ในเรื่องของเปาโลและสิลาส  ทั้งสองร้องเพลงสรรเสริญแม้ยังไม่ได้รับการปลดปล่อย  ความเชื่อนี้ท่านได้ถวายเกียรติแด่พระเจ้าขณะอยู่ในสถานการณ์ที่สิ้นหวัง  เป็นการต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพแม้จะติดโซ่ตรวนอยู่"คำแสดงความคิดถึงนี้เป็นลายมือของข้าพเจ้า เปาโล ขอท่านจงระลึกถึงโซ่ตรวนของข้าพเจ้า ขอให้พระคุณดำรงอยู่กับท่านด้วยเถิด" (โคโลสี 4:18) กิจการอัครสาวกวันนี้สำแดงถึงความเชื่อที่ทำให้พวกเขามีน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ขจัดผู้ขัดสนให้สิ้นไปจากสังคม สร้างสังคมใหม่ที่เปี่ยมไปด้วยความรักด้วยการแจกจ่ายชีวิตของตนเองแก่ผู้อื่น ทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าย่อมบังเกิดจากพระเจ้า เขาจะรักพระเจ้าและปฏิบัติตามบทบัญญัติของพระองค์ บัญญัติจึงมิใช่ภาระหนัก แต่ทุกคนที่รักพระเจ้าย่อมชนะโลกโดยความเชื่อนั้น เราแต่ละคนล้วนมีความกลัวในความยากลำบาก รักตัวกลัวตายล้วนเหมือนโทมัสที่บางครั้งดีแต่ปาก ไม่เชื่อในสิ่งที่อยู่เบื้องบน ไม่เชื่อในพลังที่เรามองไม่เห็น แต่มีอยู่จริงล้อมอยู่รอบตัวเราเมื่อคนใช้ของเอลีชา มองเห็นกองทัพศัตรูบุกรุกเข้ามา  ก็ร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวว่า "อนิจจา นายของข้าพเจ้า  เราจะทำอย่างไรดี" เอลีชาผู้ผ่านศึกแห่งความเชื่อมาอย่างโชกโชน ได้อธิษฐานว่า" ข้าแต่พระเจ้า ขอทรงเบิกตาของเขาเพื่อเขาจะได้เห็นและพระเจ้าทรงเบิกตาของชายหนุ่มคนนั้น และเขาก็ได้เห็นและดูเถิด ที่ภูเขาก็เต็มไปด้วยม้า และรถรบเพลิงอยู่รอบเอลีชา' " (2พงษ์กษัตริย์ 6:17)วันนี้พระเยซูเจ้าทรงตรัสกับพวกเราทุกคนว่า “ท่านเชื่อเพราะได้เห็นเรา แต่ผู้ที่เชื่อ แม้ไม่เห็นก็เป็นสุข”  ฉะนั้นจงอย่าได้เอาความกระวนกระวายใจ ความลำบาก ความทุกข์ หรือแม้แต่บาปมาเป็นข้อขัดขวางความก้าวหน้าในชีวิต เพราะถ้าเราเชื่อในพระเจ้าแท้เราย่อมชนะโลกได้อย่างแน่นอน เหมือนอย่างที่พระองค์ทรงชนะบาปและความตาย เพราะถ้าท่านมีความเชื่อเช่นนี้แล้ว ท่านทั้งหลายจะมีชีวิตเดชะพระนามของพระองค์ตลอดไป

พ่อพงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 3 เมษายน พ.ศ. 2558

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 5 เมษายน 2015

พี่น้องที่รัก
                สุขสันต์วันปัสกา แด่พี่น้องทุกๆท่าน
                สุขสันต์วันแห่งความชื่นชมยินดีสูงสุดของเราคริสตชนทุกคน
                สุขสันต์วันพระเยซูกลับฟื้นคืนชีพชนม์
                สุขสันต์วันแห่งชีวิตใหม่ที่พระเจ้าพระบิดาทรงประทานให้กับพระบุตรของพระองค์
                สุขสันต์วันที่พระเยซูมีชัยชนะเหนือความตาย
                สุขสันต์วันแห่งแสงสว่าง ที่เข้ามาขับไล่ความมืดมน

                พี่น้องครับวันนี้คือวันเฉลิมฉลองที่สำคัญที่สุดของชาวเรา เพราะ
                วันนี้เป็นวันแห่งชัยชนะ
                วันแห่งความยินดี
                วันแห่งความหวัง
                วันแห่งการหลุดพ้นจากความมืดมนที่ครอบคลุมเราอยู่
                วันแห่งชีวิตของเรามนุษย์ที่มีศักดิ์ศรีแห่งการเป็นบุตรของพระเจ้า
               
                เราคริสตชนจึงมีความยินดีอย่างบริบูรณ์ เพราะพระเจ้าทรงมีแผนการณ์แห่งความรอดเพื่อช่วยเรา และบัดนี้แผนการณ์แห่งความรอดของพระองค์สำเร็จสมบูรณ์ตามพระประสงค์ของพระองค์โดยทางองค์พระเยซูคริสต์พระเจ้าของชาวเราแล้ว
                ให้เราดำเนินชีวิตอย่างผู้ที่ดำรงอยู่ในความสว่างเถิด
                ให้เรายึดมั่นในครรลองแห่งความดีงามเสมอไปเถิด
                ให้เราครองตนอยู่ในธรรมะที่พระเจ้าประทานให้เถิด
                ให้เราพบสันติสุขที่เที่ยงแท้ในการเป็นบุตรของพระเจ้าเถิด
                โอกาสนี้พ่อขอต้อนรับคริสตชนใหม่ทุกท่านด้วยความยินดีเป็นอย่างยิ่ง พวกท่านได้รับศักดิ์ศรีแห่งการเป็นบุตรบุญธรรมของพระเจ้าแล้ว ขอให้ท่านได้รักษาศักดิ์ศรีนี้ไว้มิให้ด่างพร้อย จนกว่าจะถึงวันที่องค์พระคริสตเจ้าจะเสด็จกลับมา ขอให้พี่น้องได้โอบอุ้ม อุปถัมภ์ค้ำชูผู้ที่มีความเชื่อในพระเจ้าเหล่านี้ไว้ เพื่อให้ความเชื่อของเขาเจริญเติบโต เข้มแข็ง และ หยั่งรากลึกลงในจิตใจของพวกเขาทุกคน เพื่อพวกเขาจะมีความมั่นคงในแนวทางชีวิตที่อาศัยพระวรสารของพระเยซูเป็นแสงสว่างส่องนำทางเสมอไป
                ขอพระเจ้าโปรดประทานพระพรอันอุดมบริบูรณ์แด่พี่น้องทุกท่านในโอกาสสมโภชปัสกาอีกครั้งในปีนี้
                สุขสันต์วันปัสกาแด่พี่น้องทุกท่านอีกครั้งครับ

พ่อสุพจน์
..........................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
เขานำองค์พระผู้เป็นเจ้าไปจากพระคูหาแล้ว ศิษย์คนนั้นวิ่งเร็วกว่าเปโตร เขาเห็นและได้เชื่อแต่ยังไม่เข้าใจว่าพระองค์ทรงกลับคืนชีพจากบรรดาผู้ตายนั้นหมายความว่าอย่างไร วันนี้ชาวโลกต่างประกาศพร้อมหน้ากันว่าพระเยซูทรงเป็นผู้ชนะจากปัญหาทุกอย่าง ความยุ่งยาก สถานการณ์ร้ายๆแม้กระทั่งความตาย และบาปชั่วร้ายทั้งสิ้น ในโลกนี้มีอะไรที่เราไม่เข้าใจอีกเยอะแยะแต่ก็เป็นความจริงถ้าเราไม่มัวไปปิดหูปิดตา หรือปิดใจเสีย มีสิ่งหนึ่งคือปิรามิดแห่งอียิปต์ถือเป็นหนึ่งในเจ็ดสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่ทุกคนรู้จักดี แต่ในความเป็นจริง ปิรามิดคือสุสานขนาดใหญ่ที่ใช้ฝังร่างของกษัตริย์ฟาโรห์แห่งอียิปต์ในลักษณะแบบมัมมี่ เช่นเดียวกับสุสานเวสมินเตอร์แห่งอังกฤษ ที่ใช้ฝังร่างของบุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างนักเขียน นักปรัชญาและนักการเมือง มีผู้คนและนักท่องเที่ยวเป็นจำนวนมากไปเยี่ยมชม เพื่อคารวะหลุมศพของบุคคลที่พวกเขาเคารพนับถือต่างจากสักการสถานสุสานศักดิ์สิทธิ์แห่งเยรูซาเล็ม ซึ่งผู้แสวงบุญจากทั่วโลกพากันไปคารวะหลุมศพที่ว่างเปล่า ที่มีเพียงข้อความสั้นๆ ตรงทางเข้าว่า พระองค์ไม่ได้อยู่ที่นี่สิ่งที่ทำให้สุสานแห่งนี้มีชื่อเสียงเพราะเชื่อกันว่า ครั้งหนึ่งสุสานแห่งนี้เคยฝังพระศพของพระเยซูเจ้า เมื่อพระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพคูหาจึงว่างเปล่า พระองค์ได้กระทำอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ ทรงฝืนกฎธรรมชาติและพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างแท้จริง ปัสกาคือการสมโภชการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า เป็นเหตุการณ์ที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ของโลก ถือเป็นการฉลองที่สำคัญและยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับเราคริสตชน ด้วยเหตุผลที่ว่า การกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าคือความเชื่อพื้นฐานของเราคริสตชน ถือเป็นศูนย์กลางของพิธีกรรมและการฉลองทั้งหลายตลอดปี ความเชื่อ ความหวังและความหมายแห่งชีวิตคริสตชนของเราอยู่ที่การกลับคืนชีพนี้ ดังที่นักบุญเปาโลเขียนเอาไว้ว่า ถ้าพระคริสตเจ้ามิได้ทรงกลับคืนพระชนมชีพ การเทศน์สอนของเราก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านก็ไร้ประโยชน์เช่นเดียวกัน” (1 คร 15:14) ปัสกาคือหลักประกันแห่งการกลับคืนชีพของเรา พระเยซูเจ้าได้ให้ความมั่นใจกับมาร์ธา ณ ที่ฝังศพของลาซารัสว่า เราเป็นการกลับคืนชีพและเป็นชีวิต ใครเชื่อในเรา แม้ตายไปแล้วก็จะมีชีวิต และทุกคนที่มีชีวิตและเชื่อในเราจะไม่มีวันตายเลย...” (ยน 11:25-26)  อีกทั้งเป็นการฉลองที่ทำให้เรามีความหวังและกำลังใจในโลกที่เจ็บปวดและความโศกเศร้า เพราะพระเยซูเจ้าทรงกลับคืนชีพและประทับท่ามกลางเรา นี่คือ ข่าวดีแห่งปัสกาที่เราเฉลิมฉลองในวันนี้ ซึ่งมีแง่มุมที่น่าสนใจหลายประการเช่นเครื่องหมายที่บ่งบอกให้เราได้ทราบถึงความเป็นพระเจ้าของพระองค์ จงทำลายพระวิหารนี้แล้วเราจะสร้างขึ้นใหม่ภายในสามวัน” (ยน 2:19)การทำให้พระสัญญาของพระองค์บรรลุถึงความสมบูรณ์บนกางเขนและคูหาที่ว่างเปล่า ทูตสวรรค์ได้บอกกับพวกผู้หญิงที่หน้าคูหาว่า ทำไมท่านมองหาผู้เป็นในหมู่ผู้ตายเล่า พระองค์มิได้ประทับอยู่ที่นี่ พระองค์ทรงกลับคืนพระชนมชีพแล้ว” (ลก 24:5-6)การไม่เชื่อของบรรดาศิษย์และพระเยซูเจ้าได้ปรากฏมาให้พวกเขาได้เห็นหลายครั้ง เพื่อพิสูจน์เรื่องการกลับคืนชีพ  พวกเขาได้เห็น เป็นพยานและประกาศการกลับคืนชีพของพระองค์ ด้วยชีวิตของพวกเขา การประกาศข่าวดีและการเป็นพยานเรื่องการกลับคืนชีพ จึงเป็นหัวใจสำคัญถึงพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า ฉันได้เห็นองค์พระเจ้าเราจะไม่สามารถเข้าใจธรรมล้ำลึกเรื่องการกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าได้ จนกว่าเราจะรักพระองค์อย่างแท้จริง ความรักคือกุญแจสำหรับที่ทำให้เกิดความเข้าใจ เราต้องไม่ฝังตัวเองในหลุมศพแห่งบาป นิสัยไม่ดีและความประพฤติที่ไม่ถูกต้อง เราถูกเรียกร้องให้ตายต่อบาปและความเห็นแก่ตัว เจริญชีวิตใหม่ในสันติมีความชื่นชมยินดี ตระหนักถึงการประทับอยู่ขององค์พระเจ้าผู้กลับคืนชีพในทุกเหตุการณ์แห่งชีวิต  ทุกวันต้องเป็นวันปัสกาที่เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระเยซูเจ้า ด้วยการกลับใจเปลี่ยนแปลงตนเอง ละทิ้งชีวิตเก่าและตายต่อตัวเองพร้อมกับพระองค์ เพื่อเราจะได้มีชีวิตใหม่ที่ดำเนินชีวิตในแสงสว่างและความถูกต้องชอบธรรม ความรักในพระองค์และความรักต่อเพื่อนพี่น้อง ควรเป็นเหมือนไฟปัสกาที่ส่องสว่างและนำบุคคลอื่นให้มาพบกับพระเยซูเจ้าในชีวิตจริง ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกๆท่าน

พ่อพงษ์เกษม