พิจารณาไตร่ตรองประเด็นเด่นจากสาส์นมหาพรต
ปี 2015/2558
ของ
สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส
“จงทำจิตใจให้เข้มแข็งเถิด”
(ยก 5:8)
โดย
คุณพ่อเฉลิม กิจมงคล
เทศกาลมหาพรตเป็นเวลาฟื้นฟูชีวิตสำหรับพระศาสนจักรทั้งหมด
สำหรับแต่ละชุมชน และสำหรับทุกบุคคล
ข้อความเริ่มต้นของสาส์นปีนี้ทำให้คริสตชนทุกคน ตระหนักถึงความสำคัญที่จะต้องหันกลับมาพิจารณาตนเอง
ในฐานะเป็นบุคคลหนึ่งที่มีความสัมพันธ์กับชุมชนที่ตนสังกัดอยู่
อีกทั้งยังมีความเป็นคาทอลิกที่มีสายใยกับสมาชิกของพระศาสนจักรทั่วโลก
มิติความเป็นสากลนี่เอง
ต้องทำให้คริสตชนรู้สึกอบอุ่นและเป็นหนึ่งเดียวกับสมาชิกทั่วโลกอีกประมาณกว่า 1000
ล้านคน
มหาพรตเป็นช่วงเวลาเฉพาะซึ่งมีระยะเวลา
40 วัน ที่ชวนให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์แห่งความรอด
ซึ่งระบุว่าโมเสสและเอลียาห์ได้พบปะกับพระเป็นเจ้าบนภูเขาเป็นเวลา 40 วัน
ชาวอิสราแอลประชากรของพระเจ้า ใช้เวลารอนแรมอยู่ในที่เปลี่ยวถึง 40 ปี และที่สำคัญคือ
เป็นโอกาสให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้า ผู้ที่เคยทรงจำศีลอดอาหาร 40
วันในที่เปลี่ยว อย่างไรก็ตาม เราต้องข้ามผ่านด้านช่วงเวลาไปสู่จิตตารมณ์มหาพรต
ซึ่งเป็นเวลาฟื้นฟูชีวิต คำนึงถึงช่วงการเดินทางของชีวิตฝ่ายจิต
ซึ่งในเทศกาลมหาพรตนี้ พระศาสนจักรเชิญชวนให้ไตร่ตรองกิจศรัทธา 3 เส้า คือ การสวดภาวนา
การให้ทาน และการอดอาหาร
อันเป็นเครื่องมือที่ทรงคุณค่าในการพิจารณาไตร่ตรองชีวิต
ที่จะช่วยให้มีส่วนร่วมในการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพในวันฉลองปัสกาปีนี้
อีกทั้งเป็นการเตรียมตัวไปสู่การฉลองปัสกานิรันดรกับพระคริสตเจ้าผู้ทรงชัยด้วย
มหาพรตยังเป็นช่วง
“เวลาแห่งพระหรรษทาน”(2คร 6:2)ซึ่งมีความสำคัญยิ่ง
เพราะในสภาพสังคมปัจจุบัน เรามนุษย์มักลืมไปว่า
สิ่งต่างๆที่เรามีหรือเป็นอยู่ในขณะนี้
ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ได้รับมาจากพระเจ้าทั้งสิ้น ยิ่งมนุษย์มีความสามารถในการผลิตสิ่งต่างๆ
ที่เป็นนวตกรรมใหม่ๆขึ้นมา ยิ่งทำให้มนุษย์หลงตนเองคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่
จนกระทั่งลืมพระเจ้าไป อันที่จริง พระเป็นเจ้าทรงอยู่ใกล้ชิดเรา
หรือกล่าวอีกนัยหนึ่งคือ เราแต่ละคนมีที่ในดวงพระหฤทัยของพระองค์
พระองค์ทรงรู้จักชื่อเรา รู้จักความเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงสร้างเรามาแบบไม่ซ้ำกัน
พระองค์ทรงใส่พระทัยเรา ทุกครั้งที่เราหลงทางหรือทอดทิ้งพระองค์ไป
พระองค์ทรงเป็นผู้เริ่มต้นก่อน เปิดโอกาสให้เราได้กลับมาหาพระองค์
ในพระวัติศาสตร์แห่งความรอด เราค้นพบว่าแทนที่มนุษย์จะกลับใจ
แต่เป็นพระเป็นเจ้าต่างหากที่เปลี่ยนพระทัย
ประสบการณ์ของมนุษย์ประการหนึ่งที่เราคุ้นชินคือ
เมื่อเรามีสุขภาพดีและกินอยู่สบาย เรามักลืมคนอื่น เราไม่ใส่ใจว่าใครมีปัญหาอะไร
ใจเราเย็นชาต่อความทุกข์หรือความอยุติธรรมที่คนอื่นได้รับ
ยิ่งเราไม่เจ็บไข้ได้ป่วยและสะดวกสบาย เรายิ่งไม่คิดถึงคนที่ด้อยกว่าเราที่อยู่ชายขอบของสังคม
ในสาส์นมหาพรตปีนี้ พระสันตะปาปาฟรังซิสทรงห่วงใย
และเกรงว่าคริสตชนจะติดเชื้อโรคโลกาภิวัตน์แห่งความเย็นชา เพิกเฉย ด้วยว่าในขณะนี้
ความไม่ใส่ใจใยดี การไม่รู้ร้อนรู้หนาวต่อความเป็นไปในชีวิตของผู้อื่น
การไม่อนาทรร้อนใจในความทุกข์ของผู้อื่น กำลังแพร่หลายไปทั่วโลก
ค่านิยมด้านลบนี้กำลังเกี่ยวโยงและมีผลกระทบต่อชีวิต ซึ่งก่อให้เกิดทัศนคติที่เห็นแก่ตัวไปทั่วทั้งโลก
อันที่จริง เราตระหนักดีว่าพระเจ้าทรงรักโลกจนกระทั่งประทานพระบุตรของพระองค์ ซึ่ง
“แม้ว่าพระองค์ทรงมีธรรมชาติพระเจ้า พระองค์ก็มิได้ทรงถือว่า
ศักดิ์ศรีเสมอพระเจ้านั้นเป็นสมบัติที่จะต้องหวงแหน แต่ทรงสละพระองค์จนหมดสิ้น
ทรงรับสภาพดุจทาส เป็นมนุษย์ดุจเรา ทรงแสดงพระองค์ในธรรมชาติมนุษย์ ทรงถ่อมพระองค์จนถึงกับยอมรับความตาย
เป็นความตายบนไม้กางเขน”(ฟป2:6-8) สุดยอดแห่งความรักของพระองค์ คือการสิ้นพระชนม์และการกลับคืนพระชนมชีพ
ซึ่งเป็นการเปิดประตูระหว่างพระเจ้าและมนุษย์ และระหว่างสวรรค์และนรก
ปัจจุบันนี้พระศาสนจักรก็ทำให้การเปิดประตูดังกล่าวนี้เป็นปัจจุบัน
ด้วยการประกาศพระวาจาให้ทราบถึงประวัติศาสตร์แห่งความรอด
ที่พระเจ้าทรงกระทำต่อมนุษย์เสมอมา ด้วยการโปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ
โดยเฉพาะศีลมหาสนิทเพื่อมวลมนุษย์จะได้สัมผัสผลแห่งการไถ่กู้หรือการเปิดประตูช่วยให้รอดพ้น
อีกทั้งด้วยการดำเนินชีวิตเชิงประจักษ์ ทำให้ความเชื่อนั้นสัมผัสได้
อาศัยกิจกรรมแห่งความรักต่างๆ(เทียบ กท5:6)
ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้นนี้
คริสตชนทุกคนจะต้องทำการฟื้นฟูจิตใจอย่างเข้มข้นในเทศกาลมหาพรต
เพราะจิตใจเป็นกลไกสำคัญที่จะบันดาลให้เกิดการกระทำต่างๆ
จิตใจของแต่ละคนต้องได้รับการชำระให้หลุดพ้นจากเชื้อโรคที่ไม่ใยดีต่อผู้อื่น
ที่ทำให้มัวแต่สาละวนอยู่แต่เรื่องของตนเองอย่างเดียว พระสันตะปาปาทรงเสนอกระบวนการไตร่ตรอง
เพื่อการฟื้นฟูจิตวิญญาณดังนี้
1.มิติด้านพระศาสนจักร
พระองค์ทรงย้ำเตือนว่า “ถ้าอวัยวะหนึ่งเป็นทุกข์
อวัยวะอื่นๆทุกส่วนก็ร่วมเป็นทุกข์ด้วย”(1คร12:26)
มหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาที่เราจะต้องเปิดโอกาสให้พระคริสตเจ้าสวมใส่ชีวิตเรา
ด้วยความรัก ความดีงามและความเมตตาของพระองค์
ซึ่งจะเข้าไปชำระล้างและทำลายการคิดถึงและสนใจแต่เรื่องส่วนตัวจนกระทั่งไม่ใยดีต่อผู้อื่น
พระองค์ให้ข้อคิดจากพิธีล้างเท้าในคืนวันพฤหัสบดีศักดิ์สิทธิ์ว่า
“ถ้านักบุญเปโตรไม่ต้องการให้พระองค์ทรงล้างเท้าก็เท่ากับว่า
เปโตรก็จะไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับพระองค์”(ยน13:8)
โดยเฉพาะในภารกิจแห่งการรับใช้ผู้อื่น
เทศกาลมหาพรตจึงเป็นช่วงเวลาที่ต้องอนุญาตให้พระคริสตเจ้าทรงล้างเท้าและทรงให้บริการเรา
โดยผ่านทางการรับฟังพระวาจาและรับศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ โดยเฉพาะศีลมหาสนิท
ซึ่งเป็นพระกายของพระคริสตเจ้า และเมื่อเราอยู่ในร่างกายของพระองค์แล้ว
หัวใจเราก็จะไม่มีที่ให้แก่การไม่ใส่ใจใยดีต่อผู้อื่น
ทุกข์และสุขของเพื่อนพี่น้องที่อยู่ในพระรหัสกายเดียวกันกับพระคริสตเจ้า
ก็จะกลายเป็นทุกข์และสุขของเราแต่ละคนด้วย
พระศาสนจักรคือความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์
และของเรื่องที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆเช่น ความรักของพระเจ้า
ที่พระคริสตเจ้านำมาเปิดเผยแก่เรา รวมถึงพระพรนานาประการ ดังนั้น
ผู้ที่ได้รับความรักและพระพรต่างๆเหล่านั้น
ต้องไม่เก็บไว้กับตนหรือทำตนเป็นเจ้าของและยึดเป็นของตน
แต่ต้องแบ่งปันแก่ผู้ที่อยู่ห่างไกลหรือผู้ที่พระพรของพระเจ้าไปไม่ถึง
ต้องสำนึกว่าความรักและพระพรที่รับเหล่านั้น
พระเจ้าทรงมีพระประสงค์ให้เรานำไปทำให้แผนการแห่งความรอดของพระองค์สำเร็จไป
2.มิติด้านวัดและชุมชน
พระองค์ทรงเชิญชวนให้ไตร่ตรองประโยคจากพระคัมภีร์ที่ว่า
“น้องชายของเจ้าอยู่ที่ไหน”(ปฐก4:9) โดยตั้งประเด็นให้เราถามตนเองว่า
เราแต่ละคนที่เป็นส่วนหนึ่งในพระรหัสกายของพระคริสตเจ้า
มีความสำนึกไหมว่าเราเป็นส่วนหนึ่งในร่างกายนี้ ถ้าสำนึกและเชื่อจริงแล้ว
เราคิดไหมว่าสิ่งที่ได้รับมานั้น
มาจากพระเจ้าผู้ที่ประสงค์ให้เราแบ่งปันแก่ผู้อื่น เราทำตนเช่นเศรษฐีที่อยู่สุขสบายส่วนตัว
โดยไม่ใยดีต่อลาซารัสที่อยู่หน้าประตูชีวิตของเราแต่ละวันหรือไม่(ลก16:19-31) ในสังคมปัจจุบัน ผู้ที่มีชีวิตเช่นลาซารัสมีจำนวนมากมาย ทั้งอ่อนแอ
ยากจนและแทบไม่มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ และที่ทำให้เราต้องคิดหนักคือ
ขนาดสุนัขยังเห็นศักดิ์ศรีของลาซารัสและเลียแผลให้ แต่เศรษฐีไม่ได้เหลียวแลเลย
เศรษฐีคนนั้นไม่ได้รับการเอ่ยชื่อในเนื้อเรื่องซึ่งน่าจะเป็นใครก็ได้
อาจเป็นเราก็ได้ใช่หรือไม่ และยิ่งน่าสะพรึงกลัวมากขึ้น หากเราเป็นเช่นกาอินที่ฆ่าน้องชายแล้วยังทำเป็นไม่รู้จักและไม่ใยดี
ขนาดพระเจ้าทรงถามเขาว่า “น้องชายของเจ้าอยู่ไหน”(ปฐก.4:9)
เขายังกล้าตอบเลยว่า “ข้าพเจ้าไม่ทราบ ข้าพเจ้าเป็นผู้ดูแลน้องหรือ”(ปฐก4:9)
เพื่อช่วยให้เรามีสำนึกที่จะใช้สิ่งที่พระเจ้าประทานให้บังเกิดผลอย่างสมบูรณ์
พระสันตะปาปาทรงเสนอแนะวิธี 2 ประการ
ประการแรก ให้เราเป็นหนึ่งเดียวกับพระศาสนจักรในสวรรค์
อาศัยการภาวนา
เพราะในขณะที่ร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ที่พบความบริบูรณ์ในพระเจ้า
เราก็ร่วมในความสนิทสัมพันธ์กับผู้ที่ใช้ความรักเอาชนะความไม่สนใจใยดี อันที่จริง
พระศาสนจักรในสวรรค์ยังไม่ได้มีชัยชนะอย่างสิ้นเชิง ถ้าหากท่านเหล่านั้นมีความสุขกับการได้แยกตัวเองออกไป
และหันหลังให้กับความทุกข์ทรมานที่ยังคงมีอยู่ในโลกนี้ แต่ทว่าบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น
ยังคงเป็นเพื่อนร่วมทางกับเราบนเส้นทางแห่งการจาริกบนโลกนี้
จนกระทั่งชัยชนะแห่งความรักจะซึมซับไปทั่วทุกสัดส่วนของโลกทั้งหมด นักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซูจึงได้ตั้งปณิธานว่า
“ข้าพเจ้ามั่นใจอย่างเต็มที่ว่า ข้าพเจ้าจะไม่อยู่นิ่งเฉยในสวรรค์
ความปรารถนาของข้าพเจ้าคือ ทำงานต่อไปเพื่อพระศาสนจักรและเพื่อวิญญาณ”
(จดหมายฉบับที่ 254 เขียนวันที่ 14 กรกฎาคม 1897)
พระพรและความยินดีของบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในขณะนี้เป็นความชื่นชมยินดีในชัยชนะของพระคริสตเจ้าผู้กลับคืนชีพ
ท่านเหล่านั้นจะส่งพระพรและพลังดังกล่าว เพื่อช่วยให้เราได้พยายามดิ้นรน ต่อสู้
และเอาชนะการรู้สึกไม่ใส่ใจใยดีและดวงใจที่แข็งกร้าวทั้งหลาย
ประการที่สอง เราต้องสร้างสำนึกว่า
เราทุกคนที่เป็นสมาชิกของพระศาสนจักรมีธรรมชาติเป็นธรรมทูต
ทุกคนและทุกชุมชนคริสตชนต้องตระหนักว่า เราถูกส่งให้ออกไปสู่สังคมที่กว้างขึ้น
โดยเฉพาะบรรดาผู้ยากจน พันธกิจด้านธรรมทูตนี้จะต้องปรากฏออกมาในชีวิตเชิงประจักษ์ที่เพียรทน
ความรักที่แท้จริงต้องเป็นพลวัตรไม่อยู่นิ่งเฉย แต่จะเป็นพลังที่ส่งไปถึงมนุษย์ทุกคน
เราต้องตระหนักและมั่นใจว่า
พระคริสตเจ้าทรงสิ้นพระชนม์และเสด็จกลับคืนพระชนมชีพเพื่อมวลมนุษย์ทั้งสิ้น
เรายังต้องเตือนสติบุคคลอื่นให้มีความสำนึกแบบเดียวกันกับเรา
แต่เราจำเป็นต้องมีชีวิตเชิงประจักษ์ก่อน ความสำนึกอีกประการหนึ่งคือ ทุกสิ่งทุกอย่างบนโลกนี้ที่พระเจ้าทรงสร้างมาให้ทุกคน
ทุกคนจึงมีสิทธิเป็นเจ้าของ กล่าวคือเป็นของทุกคน
บุคคลที่มีมากกว่าผู้อื่นและมีมากเกินความจำเป็น
ผู้นั้นต้องมีสำนึกว่าสิ่งเหล่านั้น เป็นของผู้อื่นที่กำลังขาดแคลนสิ่งที่จำเป็น
แต่พระเจ้าทรงฝากไว้ที่เขา เขาจึงต้องนำไปคืนแก่เพื่อนพี่น้องที่ขัดสน
การทำบุญให้ทานแก่ผู้ที่ขาดสิ่งจำเป็น จึงมิใช่เรื่องอะไรใหญ่โต
เป็นเพียงแต่นำสิ่งที่ควรเป็นของเขา ไปคืนให้แก่เขาเท่านั้น
พระสันตะปาปายังทรงเชิญเราคริสตชน
ให้ทำตนเป็นหมู่เกาะแห่งความเมตตากรุณา ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งการไม่ใส่ใจใยดีต่อกัน
ให้เราตอบสนองพระองค์ ด้วยการสร้างหมู่คนที่มีชีวิตเช่นพระคริสตเจ้า
ผู้ที่พระสันตะปาปาพระองค์นี้ทรงสะท้อนภาพในชีวิตของพระองค์
และให้เราเกาะเกี่ยวกันให้แน่น
เป็นพลังที่จะทำให้พระวรสารกลายเป็นความชื่นชมยินดีของผู้ที่อยู่ชายขอบสังคม
3. มิติด้านปัจเจกบุคคล
พระองค์ทรงเชิญชวนให้ไตร่ตรองประเด็นของสาส์นมหาพรตปีนี้ว่า
“จงทำจิตใจให้เข้มแข็งเถิด” (ยก 5:8)
เพราะเรามักถูกทำให้รู้สึกว่า
มีความทุกข์ทรมานของผู้คนจำนวนมากมายจนทำให้เรารู้สึกสิ้นหวัง
และไม่สามารถช่วยเหลือได้หมด
ประการแรก
เราต้องไม่ลดคุณค่าและอำนาจของการภาวนา
เพราะการภาวนาทำให้ความเป็นหนึ่งเดียวของพระศาสนจักรในสวรรค์และในโลกเกิดพลัง
ด้วยเหตุนี้ พระองค์จึงทรงเชิญชวนให้พระศาสนจักรใช้เวลา 24
ชั่วโมงเพื่อพระคริสตเจ้า ระหว่างวันที่ 13-14 มีนาคมนี้
ประการที่สอง
เราต้องเริ่มแสดงความห่วงใยด้วยกิจการแห่งความรักที่แม้เล็กน้อย
แต่สามารถจับต้องได้ อีกทั้งยังสามารถช่วยเหลือผู้ที่อยู่ห่างไกล
ผ่านองค์กรการกุศลมากมายของพระศาสนจักร
ประการที่สาม
เราต้องกลับใจและเปลี่ยนแปลงชีวิตเพราะความทุกข์และความขัดสนของผู้อื่นต้องทำให้นึกถึงความไม่แน่นอนของชีวิต
เราไม่อาจวางใจในวัตถุสิ่งของ แต่ต้องมอบความไว้ใจในพระเจ้า
และในบางกรณีเราอาจต้องพึ่งพาเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน
หากเราถ่อมตนวิงวอนขอพระหรรษทานจากพระเจ้าและยอมรับข้อจำกัดของเรา
เราจะไว้ใจในความสามารถที่ไร้ขอบเขตซึ่งพระเจ้าจะประทานให้เรา
เราสามารถต่อต้านกับการผจญของปีศาจที่ทำให้เราคิดว่า
เราสามารถช่วยโลกและตัวเองให้รอดพ้นด้วยความพยายามของเรา
พระสันตะปาปาเชิญชวนเราให้ดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของพระสันตะปาปา
เบเนดิกต์ที่ 16 ว่าด้วยเรื่องความแตกต่างในกิจเมตตาธรรมของพระศาสนจักร
ตามพระสมณสาส์น “พระเจ้าคือองค์ความรัก” ข้อที่ 31 ด้วยว่าหัวใจที่มีเมตตามิใช่ที่อ่อนแอ
ใครก็ตามที่ปรารถนาจะเป็นผู้เมตตา จะต้องมีหัวใจที่เข้มแข็งและมั่นคง
และต้องไม่ลืมว่า หัวใจที่ยากจนนั้นจะตระหนักถึงความยากจนของตนเอง
และจะมอบตนเองให้แก่ผู้อื่นด้วยใจอิสระ
ระหว่างมหาพรตปีนี้
ขอให้เราสวดเร้าวิงวอนพระคริสตเจ้า โปรดบันดาลให้ใจของเราละม้ายคล้ายคลึงกับดวงพระหฤทัยของพระองค์
เพื่อจิตใจของเราจะได้เข้มแข็ง เมตตา ใจกว้างไม่ปิด
ไม่เป็นเหยื่อและไม่ใยดีต่อโลกาภิวัตน์ที่ไม่ใยดีต่อผู้อื่น
พระสันตะปาปาสัญญาจะภาวนาเพื่อให้เทศกาลมหาพรตปีนี้
เกิดประโยชน์ฝ่ายจิตแก่ทุกคน ทุกชุมชน และทั่วพระศาสนจักรผู้มีความเชื่อ
และดังเช่นทุกครั้งที่จะจบการปราศรัย พระองค์ขอให้เราภาวนาเพื่อพระองค์ด้วย
............................................................................................................
พี่น้องที่รัก
ท่านอยากหายเป็นปกติหรือเปล่า?
เป็นคำถามที่พระเยซูทรงถามเราทุกคนในวันนี้ที่เรามานมัสการพระองค์ทุกวันอาทิตย์ระหว่างช่วงเวลาเทศกาลที่เต็มไปด้วยความปีติในเยรูซาเล็ม
พระผู้ช่วยให้รอดทรงละจากฝูงชนออกเสาะหาผู้ที่ขัดสนที่สุด พระองค์พบพวกเขาที่เบธไซดา
สระน้ำที่มีศาลาห้าหลังที่ริมประตูแกะซึ่งเป็นที่รู้กันว่าเป็นที่รวมของคนทุกข์ยากจำนวนมากพระกิตติคุณของนักบุญยอห์นสอนเราว่าใกล้สระน้ำนั้น
“มีคนป่วยจำนวนมาก
มีทั้งคนตาบอด คนง่อย และคนเป็นอัมพาตนอนอยู่ คอยน้ำกระเพื่อม“เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งของพระเจ้าลงมากวนน้ำในสระเป็นครั้งคราว
และเมื่อน้ำกระเพื่อมอยู่
ใครก้าวลงไปในน้ำก่อนก็จะหายจากโรคร้ายที่เขาเป็นอยู่นั้น” (ยอห์น
5:3–4)
การมาเยือนของพระผู้ช่วยให้รอดถูกพรรณนาไว้อย่างสวยงามในภาพวาดของคาร์ล
บล็อค ชื่อภาพว่า พระคริสต์ทรงรักษาคนป่วยที่เบธไซดา บล็อควาดภาพพระเยซูกำลังยกกันสาดชั่วคราวขึ้นเพื่อมองเห็น
“คนป่วยคนนั้น”
(ยอห์น 5:7) ผู้นอนอยู่ใกล้สระและรอคอย คำว่า คนป่วย
ในที่นี้หมายถึงคนที่หมดกำลังและเน้นให้เห็นถึงพระเมตตาและพระกรุณาธิคุณของพระผู้ช่วยให้รอด
ผู้เสด็จมาอย่างเงียบๆ เพื่อปฏิบัติศาสนกิจแก่คนที่ไม่สามารถช่วยตนเองได้ในภาพวาดนี้
ชายผู้ทุกข์ยากนอนในร่มเงาบนพื้น เหน็ดเหนื่อยสิ้นหวังจากการทนทุกข์ในความเจ็บป่วยเป็นเวลาถึง
38 ปี
ขณะที่พระผู้ช่วยให้รอดยกผ้าคลุมขึ้นมือหนึ่ง
พระองค์กวักมือเรียกอีกข้างหนึ่ง และถามตรงๆ ว่า “ท่านอยากจะหายเป็นปกติหรือเปล่า?”สำหรับชายคนนี้แล้วดูเหมือนว่าเป็นการท้าทายที่เป็นไปไม่ได้
แต่พระเยซูทรงตอบอย่างลึกซึ้งและเหนือความคาดหมายว่า“ลุกขึ้นเถิด
จงยกแคร่ของท่านเดินไป “ทันใดนั้นเขาก็หายเป็นปกติและยกแคร่ของเขาเดินไป”
(ยอห์น 5:8–9)
มีอีกครั้งหนึ่งเกี่ยวกับความอ่อนโยนนี้
ลูกาบอกเราว่าพระผู้ช่วยให้รอดขณะที่เดินทางไปยังเยรูซาเล็ม ทรงพบคนโรคเรื้อน 10
คน เพราะการเจ็บป่วยของเขา พวกเขา “ยืนอยู่แต่ไกล” (ลูกา 17:12)
พวกเขาถูกขับไล่ ไม่สะอาดและไม่เป็นที่ต้องการพวกเขาร้องขึ้น “เยซู นายเจ้าข้า โปรดเมตตาเราเถิด” (ลูกา 17:13)
ถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งก็คือ “มีอะไร
ที่พระองค์จะช่วยพวกเราบ้างได้ไหม?”แพทย์ผู้ยิ่งใหญ่พระองค์นี้
เต็มไปด้วยสงสาร และยังรู้ว่าศรัทธาจะทำให้เกิดปาฏิหาริย์
ดังนั้นพระองค์จึงบอกพวกเขาว่า “จงไปสำแดงตัวต่อพวกปุโรหิตเถิด”
(ลูกา 17:14)
เมื่อเขาจากไปโดยศรัทธา
ปาฏิหาริย์จึงเกิดขึ้น พวกท่านจินตนาการได้ไหมถึงปีติที่เปี่ยมล้นในแต่ละย่างก้าว เมื่อเขาได้รับพยานในช่วงเวลานั้นจริงๆ
เมื่อร่างกายถูกชำระให้สะอาด การรักษาให้หาย และได้รับการฟื้นฟูต่อหน้าต่อตา?“คนหนึ่งในพวกนั้นเมื่อเห็นว่าตัวเองหายโรคแล้ว
จึงกลับมาสรรเสริญพระเจ้าด้วยเสียงดัง“และกราบลงที่พระบาท [ของพระอาจารย์]
ขอบพระคุณพระองค์ แล้ว พระเยซูตรัสกับคนนั้นว่า จงลุกขึ้นและไปเถิด
ความเชื่อของท่านทำให้ท่านหายปกติแล้ว” (ลูกา 17:15–16, 19)
ท่านจำได้ไหมเมื่อท่านศรัทธาและความปีติของท่านก็ล้นปรี่
ท่านจำพระได้ในขณะที่ท่านพบประจักษ์พยานด้วยตัวของท่านเอง เมื่อพระผู้เป็นเจ้ายืนยันกับท่านว่าท่านเป็นบุตรหรือธิดาของพระองค์และพระองค์ทรงรักท่านมากท่านก็รู้สึกว่าหายเป็นปกติ
หากช่วงเวลานั้นหายไป ท่านจะหาพบได้อีกเป็นพระองค์ที่เป็นพระผู้ช่วยให้รอดทรงแนะนำเราว่าทำอย่างไรจึงหายเป็นปกติ
สมบูรณ์ หรือรักษาหาย
“จงกลับมาติดตามเรา” (ลูกา 18: 22)
เชื้อเชิญให้เราทิ้งชีวิตเก่าและความปรารถนาฝ่ายโลกไว้เบื้องหลังและมาเป็นคนใหม่ผู้ซึ่ง
“สิ่งสารพัดที่เก่าๆ ก็ล่วงไป และ
นี่แน่ะกลายเป็นสิ่งใหม่ทั้งนั้น” (2 โครินธ์ 5:17)
แม้ด้วยหัวใจดวงใหม่ที่ซื่อสัตย์ และเราจะหายเป็นปกติ
คพ.พงษ์เกษม