พี่น้องที่รัก
เราก้าวเข้ามาสู่สัปดาห์ที่สองของเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้าแล้ว
วันคริสต์มาสใกล้จะมาถึงแล้ว
พระเจ้าปรารถนาให้เราเตรียมจิตใจของเราให้สะอาดบริสุทธิ์ ด้วยการรับศีลอภัยบาป
เพื่อเราจะพร้อมที่จะต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระผู้ไถ่ด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์ผ่องแผ้ว
เพื่อให้พระพรที่พระองค์นำมาให้เรานั้น
บังเกิดผลในผืนดินที่อุดมในจิตใจของเราอย่างแท้จริง
วันเสาร์ที่ 20 ธันวาคม จะมีพิธีศีลอภัยบาปรวม เวลา 17.00
น. ขอเรียนเชิญพี่น้องทุกท่านรับศีลอภัยบาปเพื่อชำระจิตใจสำหรับเตรียมตัวฉลองคริสต์มาส
สำหรับอาทิตย์ที่ 7 ธันวาคมนี้
จะมีพิธีต้อนรับผู้เตรียมเป็นคริสตชน ในระหว่างพิธีมิสซารอบ 17.30 น.
พ่อสุพจน์
ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
บทที่
5
คุณประโยชน์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
นักบุญMechtilde ได้รับนิมิตพระเยซูประจักษ์มาหาเธอและกล่าวกับเธอว่า "ในพิธีบูชาขอบพระคุณ
เราเสด็จมาด้วยความถ่อมตนโดยไม่ถือว่ามนุษย์คนใดเป็นคนบาป
ไม่ว่าเขาจะได้ทำผิดมามากขนาดไหน
ก็ไม่เป็นสาเหตุขัดขวางที่เขาจะเข้ามาหาเราได้ถ้าเขาปรารถนาเช่นนั้น และ
แสดงความเสียใจในบาปที่เขาได้กระทำ เราเสด็จมาด้วยความใจกว้าง
ไม่มีใครที่มาพบเราแล้วจะกลับไปมือเปล่า โดยไม่ได้รับความรักจากเราอย่างเต็มเปี่ยม
เรามาเพื่อประทานอาหารจากสวรรค์ที่จะช่วยเสริมความเข้มแข็งให้กับผู้อ่อนแอ
ที่จะมอบความสว่างให้กับผู้ที่ตกอยู่ในความมืดมน
ที่จะให้พระพรมากมายอย่างสมบูรณ์เพื่อบรรเทาความโศกเศร้า
ที่จะเปลี่ยนแปลงจิตใจที่แข็งกระด้างยึดมั่นถือมั่นในทางที่ผิดหลง
และขจัดความหวาดเกรงต่างๆ ออกไปเสีย"
คงไม่มีถ้อยคำใดๆอีกแล้ว
ที่ทำให้เราอิ่มเอมเปรมใจเท่ากับ
สิ่งที่พระองค์ได้ตรัสสัญญากับเราเช่นนี้ด้วยพระองค์เอง ถ้อยคำนี้แหละที่ช่วยเราให้เข้มแข็งในความเชื่อ
และวางไว้ใจในพระธรรมล้ำลึกของพระองค์อย่างเต็มเปี่ยม
ในประวัตินักบุญ
เกรโกรี่ แห่ง นาซีอันเซน กล่าวเอาไว้ว่า บิดาของท่านป่วยหนักและกำลังจะสิ้นใจ
ท่านอ่อนกำลังลงอย่างมาก จนแทบไม่มีแรงขยับตัวเองเลย ลมหายใจของท่านค่อยๆแผ่วลง
และไม่สามารถรับประทานอาหารใดๆบำรุงร่างกายให้สดชื่นขึ้นได้
ในที่สุดท่านก็เข้าสู่ภาวะตรีทูต
ญาติๆของท่าน
ต่างตระหนักดีว่าคงไม่มีวิธีใดๆที่จะช่วยให้สถานการณ์ดีขึ้นอีกแล้ว
เขาได้แต่วางไว้ใจในความเชื่อในองค์พระเจ้า
จึงไปที่วัดเพื่อขอให้คุณพ่อถวายพิธีบูชาขอบพระคุณเพื่อผู้ป่วย
เมื่อพวกเขากลับไปบ้านก็พบว่าสถานการณ์เลวร้ายนั้นได้สิ้นสุดลงแล้ว
ผู้ป่วยมีอาการกระเตื้องขึ้นและค่อยฟื้นตัวสู่สุขภาพที่เป็นปกติในที่สุด
..................................................................................................
ในปีที่สิบห้าแห่งรัชกาลพระจักรพรรดิทิเบรีอัสปอนทิอัสปีลาต
เป็นผู้ว่าราชการแคว้นยูเดีย กษัตริย์เฮโรด ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นกาลิลี
ฟีลิปพระอนุชา ทรงเป็นเจ้าปกครองแคว้นอิทูเรียและตราโคนิติส ลีซาเนีย
เป็นเจ้าปกครองแคว้นอาบีเลน อันนาสและคายาฟาส เป็นหัวหน้าสมณะ พระวาจาของพระเจ้า
มาถึงยอห์น บุตรของเศคาริยาห์ในถิ่นทุรกันดาร
เขาจึงไปทั่วแม่น้ำจอร์แดน เทศน์สอนเรื่องพิธีล้างซึ่งแสดงการเป็นทุกข์กลับใจเพื่อจะได้รับการอภัยบาป
ตามที่มีเขียนไว้ในหนังสือบันทึกของประกาศกอิสยาห์ว่าคนคนหนึ่งร้องตะโกนในถิ่นทุรกันดารว่า
จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม ภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลง
ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง ทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ
แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้าดังนั้น
ยอห์นพูดกับประชาชนที่มารับพิธีล้างจากเขาว่าสัญชาติงูร้าย
ผู้ใดแนะนำท่านให้หนีการลงโทษที่กำลังจะมาถึง
จงประพฤติตนให้สมกับที่ได้กลับใจแล้วเถิด และอย่ามาอ้างว่า
เรามีอับราฮัมเป็นบิดา ข้าพเจ้าบอกท่านทั้งหลายว่า
พระเจ้าทรงบันดาลให้ก้อนหินเหล่านี้กลายเป็นลูกของอับราฮัมได้ บัดนี้ ขวานกำลังจ่ออยู่ที่รากของต้นไม้แล้ว
ต้นไม้ต้นใดที่ไม่ออกผลดีจะถูกโค่นและโยนใส่ไฟ(ลูกา 3:1-9) ชาวยิวไม่ได้ยินเสียงของประกาศก
เป็นเวลานานสี่ร้อยปีแล้ว แต่เมื่อยอห์นปรากฏตัวเทศน์สอน และทำพิธีล้าง
ประชาชนกลับเชื่อและยอมรับว่าท่านเป็น ประกาศก
คำเทศน์สอนของท่านมีลักษณะพิเศษท่านติเตียนคนผิดโดยไม่เกรงกลัวสิ่งใด
ไม่ว่าจะเป็นกษัตริย์เฮโรด ที่เอานางเฮโรเดียส ภรรยาของฟิลิปพระอนุชา มาเป็นภรรยา
ท่านก็ทูลว่า ไม่ถูกต้องที่พระองค์ทรงรับนางมาเป็นมเหสี (มธ14:4)หรือพวกฟาริสีและสะดูสี
ซึ่งเป็นถึงผู้นำทางศาสนาไม่วายถูกตำหนิว่าเป็น เจ้าสัญชาติงูร้าย (มธ3:7) เพราะปล่อยให้ประชาชนจมมืด อยู่ในกฎเกณฑ์และจารีตพิธีต่าง ๆ เมื่อประชาชนดำเนินชีวิต
ราวกับไม่รู้จักพระเจ้า ท่านก็ไม่ลังเลเลยที่จะเตือนพวกเขา
ให้หันกลับมาทำสิ่งที่ถูกต้อง บ่อยครั้งทีเดียว ที่เราระมัดระวังตัวเกินกว่า
จะกล้าตักเตือนผู้กระทำผิดเฉกเช่นที่ยอห์นได้กระทำท่านสั่งสอนประชาชนให้เป็นผู้ชอบธรรม นอกจากติเตียนความผิดที่พวกเขาได้กระทำแล้ว
ท่านยังเชิญชวนและท้าทายพวกเขา ให้กระทำทั้งสิ่งที่ ควรทำ (should) และสิ่งที่ ทำได้ (could) ด้วย
เสมือนเสียงที่กระตุ้นประชาชนให้ทำในสิ่งที่สูงส่งกว่าน่าเสียดายที่หลายครั้ง
เรามัวสาละวนอยู่กับ การห้ามประชาชนทำผิด แต่ใส่ใจเพียงนิดเดียว ที่จะทำให้พวกเขาดำเนินชีวิต
ตามจิตตารมณ์อันสูงส่งของพระเยซูเจ้าสำหรับพระเยซูเจ้า การไม่ทำความผิดอย่างเดียว
ยังไม่เพียงพอ แต่ต้องทำทุกสิ่ง ให้ดีที่สุดด้วย !
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น