พี่น้องที่รัก
เป็นที่น่ายินดีที่เรามีพระคัมภีร์คาทอลิก
ฉบับสมบูรณ์แล้ว ตามที่พี่น้องทราบจากการประชาสัมพันธ์ของพ่อในช่วงเวลาที่ผ่านมา
พ่อดีใจที่พี่น้องสนใจและจัดหาพระคัมภีร์เล่มนี้ไว้เป็นคู่มือในการดำเนินชีวิตคริสตชนกันอย่างเห็นได้ชัด
จนพระคัมภีร์ที่จัดหามานั้นไม่เพียงพอกับความต้องการของพี่น้อง
สัปดาห์นี้เราได้จัดหาพระคัมภีร์มาเพิ่มเติมแล้ว
หวังว่าคงจะเพียงพอต่อความต้องการของพี่น้องนะครับ
อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์พระคัมภีร์
สภาพระสังฆราชอยากให้เราร่วมใจกันบริจาค เพื่อจุดประสงค์ในการจัดการส่งเสริมการศึกษาพระคัมภีร์ในเชิงลึกสำหรับกลุ่มคริสตชนชาวไทย
ขอพี่น้องโปรดร่วมใจกันบริจาคเพื่อจุดประสงค์ดังกล่าวด้วยครับ
พ่อสุพจน์
ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
บทที่
5
คุณประโยชน์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
นักบุญ ยอห์นมารีย์
เวียนเนย์ ครั้งหนึ่งท่านป่วยหนักมาก แม้ว่าจะไปหาหมอรักษาแล้ว
แต่ดูเหมือนว่าอาการจะทรุดหนักอย่างรวดเร็ว
ทุกคนคิดว่าท่านคงไม่มีโอกาสหายป่วยกลับมามีชีวิตปกติดังเดิมได้อีก
ท่านนักบุญ
ขอให้มีการถวายพิธีบูชาขอบพระคุณบนพระแท่นของนักบุญฟีโลมีนา เพื่ออาการป่วยของท่าน
เมื่อพระสงฆ์ถวายพิธีบูชาขอบพระคุณเสร็จสิ้นตามคำร้องขอ อาการป่วยของท่านนักบุญ
ยอห์นมารีย์ เวียนเนห์ ก็หายเป็นปกติ
ในเมืองลิสบอน
มีสตรีผู้หนึ่งกำลังจะตายเพราะป่วยหนัก
หมอลงความเห็นว่าเธอคงไม่สามารถหายเป็นปกติได้อย่างแน่นอน
สตรีผู้นี้ป่วยเป็นมะเร็ง ในส่วนที่ไม่สามารถผ่าตัดรักษาได้
พระสงฆ์วิญญาณรักษ์แนะนำให้เธอขอมิสซาเพื่อการบำบัดรักษา
สตรีผู้ป่วยหนักผู้นี้ปฏิบัติตามคำแนะนำของพระสงฆ์วิญญาณรักษ์ของเธอ
พระคุณเอนกอนันต์ของพิธีบูชาขอบพระคุณนั้นส่งผลให้เธอมีอาการดีขึ้นตามลำดับ
และในที่สุดอาการเจ็บป่วยของเธอก็หายอย่างอัศจรรย์ นำความยินดีมาสู่เพื่อนๆ
ญาติพี่น้อง รวมถึงสร้างความประหลาดใจให้กับแพทย์ที่รักษาเธอเป็นอย่างมาก
บ่อยครั้งมีสมาชิกในครอบครัวคริสตชนที่เจ็บไข้ได้ป่วย
ต้องพาไปหาแพทย์ที่มีชื่อเสียงมีความชำนาญในการรักษา ต้องเสียค่ายารักษาโรคมากมาย
เพื่อช่วยให้ผู้เป็นที่รักของเราหายจากอาการเจ็บป่วย
เพื่อรักษาชีวิตอันมีค่าของเขาไว้ซึ่งก็เป็นสิ่งที่สมควรทำ แต่หลายครั้ง
เรากลับละเลยเช่นกันที่จะนึกถึง
พระคุณเอนกอนันต์แห่งการบำบัดรักษาที่เราสามารถได้รับจากพิธีบูชาขอบพระคุณ
คงจะมีผู้คนมากมายที่คงไม่ต้องลงไปนอนในหลุมฝังศพ
และยังดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างปกติสุข
ถ้าเขาเหล่านั้นได้รับพระคุณเอนกอนันต์จากการพึ่งพาพระพรที่ได้รับจากพิธีบูชาขอบพระคุณ
อย่างที่สตรีผู้นั้นที่กรุงลิสบอนได้รับ
เคราะห์หามยามร้าย
อุบัติภัย มากมายที่แคล้วคลาดได้
ถ้ามนุษย์เรามีความเชื่อและมั่นใจในพระพรอันไม่มีที่สิ้นสุดของพิธีบูชาขอบพระคุณ
ถ้าเราคาทอลิก
เข้าใจถึงพระคุณเอนกอนันต์ของพิธีบูชาขอบพระคุณเช่นนี้อย่างทั่วถึงแล้ว
เชื่อได้เลยว่า
วัดต่างๆคงไม่มีที่ว่างเพียงพอจะรองรับคริสตชนที่มาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณทุกวันเป็นแน่
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว หวังว่า ผู้เป็นแม่บ้าน พ่อบ้านของครอบครัวคริสตชน
จะปลูกฝังให้ลูกๆของตน ได้เห็นคุณค่าของการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณตั้งแต่เด็ก
เมื่อเติบใหญ่เขาจะได้ทำสิ่งนี้เป็นกิจวัตร (ยังมีต่อ)
.........................................................................................................................
เมื่อถูกพวกโรมันยึดครองดินแดนปาเลสไตน์
ชาวยิวต่างรอคอยผู้นำทางการเมืองและศาสนาที่เข้มแข็ง
เพื่อไถ่กู้และปลดปล่อยพวกเขาให้เป็นอิสระ
การมาของผู้นำที่เป็นทั้งผู้ไถ่กู้และผู้ปลดปล่อยเช่นว่านี้ ได้รับการกล่าวถึงล่วงหน้าจากบรรดาประกาศก
เมื่อยอห์นบัปติสต์เริ่มงานของท่านในถิ่นทุรกันดาร
จึงกลายเป็นที่นิยมในหมู่ประชาชนอย่างรวดเร็ว และถือเป็นเรื่องปกติที่ผู้คนจะส่งคนไปถามท่านว่า
“ท่านเป็นใคร”
ใช่พระผู้ไถ่หรือผู้ปลดปล่อยที่พวกเขากำลังรอคอยหรือเปล่า ท่านเป็นพยานแห่งแสงสว่าง
ในพระวรสารวันนี้ ยอห์นบัปติสต์ได้บอกประชาชนว่า ท่านไม่ใช่แสงสว่าง
แต่เป็นพยานถึงแสงสว่างที่แท้จริงซึ่งกำลังจะมาสู่โลก ยอห์นยืนยันว่าท่านไม่ใช่พระคริสตเจ้า
ไม่ใช่เอลียาห์และไม่ใช่ประกาศก แต่เป็นเสียงร้องในถิ่นทุรกันดาร
ที่ชี้บอกคนที่มาหาท่านให้เตรียมต้อนรับการเสด็จมาขององค์พระเจ้า
ท่านได้ประกอบพิธีล้างด้วยน้ำ
เพื่อเตือนให้ระลึกถึงการกลับใจและการให้อภัยบาปของพระเจ้า
ในเวลาเดียวกันยอห์นได้เป็นพยานด้วยความสุภาพถ่อมตน
สำนึกว่าตนเองไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายรัดรองเท้าของพระองค์ซึ่งถือเป็นงานของทาส
แม้ท่านจะเป็นผู้เตรียมทางขององค์พระเจ้า แต่ท่านไม่ได้คิดว่าตนเองยิ่งใหญ่อะไร
เป็นแต่เพียงเสียงร้องให้เตรียมทางของพระเจ้าให้ตรง ความปรารถนาเดียวของท่านคือ
ต้องการให้ประชาชนได้ยินเสียงร้องของท่าน
และเปิดใจของตนต้อนรับผู้ที่มาภายหลังท่าน
ยอห์น
ได้ประกาศข่าวสำคัญแก่ชาวยิวซึ่งกำลังรอคอยผู้ไถ่กู้ด้วยความกระวนกระวายว่า “แต่มีผู้หนึ่งประทับอยู่ในหมู่พวกท่าน
เป็นผู้ที่ท่านไม่รู้จัก” (ยน1:26) เหตุผลที่ทำให้ผู้คนในสมัยพระเยซูเจ้าไม่รู้จักพระองค์
เพราะพวกเขาต่างคิดว่าพระคริสตเจ้าจะเสด็จจากสวรรค์ด้วยฤทธานุภาพของพระเจ้า
และสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ด้วยการทำลายศัตรูของชนชาติอิสราแอลให้พินาศ
เมื่อพระองค์เสด็จมาบังเกิดจากหญิงชาวยิวธรรมดาคนหนึ่งเหมือนคนอื่นทั้งหลาย พวกเขาจึงไม่รู้จักพระองค์
การเป็นพยานของยอห์นบัปติสต์
ช่วยปลุกเร้าจิตใจเราให้เตรียมฉลองการเสด็จมาของพระเยซูเจ้าในหนทางที่ถูกต้อง จงเป็นพยานแห่งแสงสว่าง
เมื่อถูกถามว่าท่านเป็นใคร ยอห์นสำนึกว่าท่านเป็นพยานแห่งแสงสว่าง
ผู้เตรียมทางสำหรับองค์พระเจ้า แล้วเราละเป็นใคร
เราจะต้องเป็นพยานแห่งแสงสว่างของพระเจ้าที่เราเชื่อและติดตามพระองค์เช่นเดียวกัน
เราจะต้องรักในกระแสเรียกในการเป็นผู้นำสารของพระคริสตเจ้าไปสู่ผู้อื่นในโลก
นี่คือ พันธกิจของพระศาสนจักรและหน้าที่ของเรา
โดยเฉพาะอย่างยิ่งในการดำเนินชีวิตเป็นประจักษ์พยาน ด้วยการเป็นตัวอย่างที่ดีแก่กัน
เป็นต้นในครอบครัว สังคมและหมู่คณะของเราและเสมอไป
จงชี้ไปที่พระคริสตเจ้า
ยอห์นไม่พูดถึงตัวท่านเองเลย แต่ชี้ไปที่พระคริสตเจ้าผู้ซึ่งเสด็จมาภายหลังท่าน
ท่านตระหนักในความต่ำต้อยของตน “พระองค์จะต้องทรงยิ่งใหญ่ขึ้น ส่วนข้าพเจ้าจะต้องด้วยลง”(ยน3:30) ท่านได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มที่โดยไม่หวังประโยชน์อะไร
นอกจากพระคริสตเจ้า
เราจะต้องไม่ชี้ไปที่ตัวเองหรือสำคัญผิดว่าเราคือความถูกต้องและสำคัญที่สุด
แต่จะต้องชี้ไปที่พระคริสตเจ้า เราเป็นแต่เพียงเครื่องมือของพระองค์เท่านั้น
ดังนั้นพระองค์จะต้องยิ่งใหญ่และสำคัญที่สุดในชีวิตของเรา จงแสวงหาพระคริสตเจ้า และยืนยันว่า
พระคริสตเจ้าเสด็จมาแล้ว ทรงประทับอยู่ท่ามกลางเราและเป็นผู้ที่เราไม่รู้จัก
พระองค์ทรงเป็นพระเจ้าที่ซ่อนเร้น บ่อยครั้งการประทับอยู่ของพระองค์
อยู่เหนือการรับรู้และความเข้าใจของเรา เราจะต้องจำพระองค์ให้ได้
เป็นต้นในผู้ที่ต่ำต้อยและผู้ที่ต้องการความช่วยเหลือ นั่นคือ
พระคริสตเจ้าที่ประทับอยู่ท่ามกลางเรา จึงจะทำให้ชีวิตของเราและหมู่คณะมีคุณค่าและความหมายที่แท้จริง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น