พี่น้องที่รัก
เทศกาลปัสกาเพิ่งจะผ่านพ้นไปพร้อมกับวันสมโภชพระจิตเจ้า
สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของเทศกาลปัสกาก็คือ
เทียนปัสกาซึ่งเราได้จุดเทียนปัสกานี้เรื่อยมาตั้งแต่ค่ำคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์
ในพิธีตื่นเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าที่ทรงพิชิตความตายมีชีวิตใหม่
เราใช้เทียนปัสกาเป็นสัญลักษณ์ของความสว่างและชีวิตใหม่ที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาให้กับเราตลอดช่วงเวลาแห่งการสมโภชปัสกาเป็นเวลา
50 วันจนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า เมื่อจบสิ้นเทศกาลปัสกาแล้ว
เทียนปัสกาจะได้รับการเก็บรักษาไว้ในสถานที่เหมาะสม และจะนำเทียนปัสกานี้ออกมาจุดในพิธีสำคัญๆเช่น
พิธีโปรดศีลล้างบาป
เพื่อนำสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่นี้มาเป็นเครื่องเตือนใจคริสตชนว่า
เด็กหรือผู้ใหญ่ที่เข้าสู่พิธีศีลล้างบาปนั้นจะได้รับชีวิตใหม่โดยทางองค์พระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง
อีกพิธีหนึ่งที่เราจะนำเทียนปัสกามาจุดด้วยก็คือ พิธีบูชาขอบพระคุณปลงศพผู้ล่วงลับ
ทั้งนี้เพื่อให้เทียนปัสกาเป็นสัญลักษณ์ถึงการผ่านข้ามจากชีวิตในโลกไปสู่ชีวิตนิรันดรอันสว่างสุกใสรุ่งเรืองที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์และได้พยายามดำเนินชีวิตยึดมั่นในพระธรรมคำสอนของพระองค์อย่างสุดกำลังความสามารถในโลกนี้นั่นเอง
พ่อขอถือโอกาสชี้แจงเรื่องการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณของคริสตชนโดยเฉพาะการมาร่วมพิธีในวันอาทิตย์สักหน่อย
ตามที่เราทราบว่าการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์ของพี่น้องคริสตชนคาทอลิกนั้นเป็นหน้าที่ของคาทอลิกทุกคน
ที่วัดของเราก็มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมากซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นภาพกลุ่มคริสตชนร่วมใจกันมาสวดภาวนา
ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ฟังพระวาจาของพระองค์ และ
นมัสการถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างสมเกียรติ สิ่งหนึ่งที่พ่ออยากให้ข้อสังเกตก็คือ
การมาร่วมพิธีอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนพึงกระทำด้วยความความตั้งใจ
พ่อหมายถึงการมาร่วมพิธีให้ทันเวลา และ ร่วมจิตร่วมใจในพิธีจนพิธีจบสิ้น
ครบสมบูรณ์
หลายครั้งความเร่งรีบจนเกินไปก็เป็นสาเหตุให้เวลาที่เราจัดให้กับพระเจ้านั้นขาดความเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเหมือนกัน
พระเจ้าประทานเวลาให้กับเราวันละ 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน
เราจะอุทิศเวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้กับพระองค์ในการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณจนจบสมบูรณ์ซึ่งใช้เวลาประมาณเพียง
1 ชั่วโมงเศษๆเท่านั้น คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปใช่ไหมครับ
คุณพ่อสุพจน์
............................................................................................
พี่น้องที่รัก
วันนี้เรามาสมโภชพระตรีเอกภาพ
ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในองค์พระบิดา พระบุตร และพระจิต เป็นองค์ศักดิ์สิทธิ์ครบครัน
ปราศจากการเจือปนจากสิ่งภายนอก ทั้งไม่จำกัดอยู่ในผู้สร้างและสิ่งสร้าง
หากแต่ประกอบด้วยอานุภาพสมบูรณ์ ที่จะสร้างสรรค์ และใช้พลังพระธรรมชาติของพระองค์
มั่นคงอยู่ได้เอง ไม่แบ่งแยกพลัง และกิจกรรมของพระองค์ เพราะรวมเป็นหนึ่ง
เหตุว่าพระบิดาทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งโดยทางพระวจนาตถ์ในพระจิตเจ้า
ความเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นความจริงที่คงอยู่เสมอไป
ดังนั้นพระศาสนจักรจึงประกาศพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงเป็นอยู่
ฐานะที่ทรงเป็นพระบิดา องค์ปฐมเหตุหรือต้นกำเนิด “ทางสรรพสิ่ง” หมายความว่า
“ทางพระวจนาตถ์” และที่สุดในทุกสิ่ง “คือองค์พระจิตเจ้า”
สิ่งแรกที่บิดามารดาสอนลูกเกี่ยวกับศาสนาคือการทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน
และสิ่งสุดท้ายที่พระสงฆ์ทำบนหลุมฝังศพของเราคือ การทำสำคัญกางเขนเหนือร่างของเรา
ชีวิตของเราคริสตชนซึ่งถูกประทับตราไว้ “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต”
เราได้ยินบ่อยๆในพระคัมภีร์ว่า พระบิดาในฐานะผู้ให้กำเนิดทุกชีวิตที่ทรงสร้างโลก
การส่งพระบุตรองค์พระวจนาตถ์ที่เสด็จลงมาช่วยเราให้รอด ลงมารับสภาพบาป
ทรงรับทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนชีพ
การส่งพระจิตเจ้ามาประทับอยู่กับเราเสมอไป
เพื่อการเกิดใหม่ของเราจากน้ำและโดยพระจิตเจ้า
ทำให้ชีวิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์
สัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างบุคคลในความรู้ที่ไม่อาจจะใช้ภาษามนุษย์ใดๆมาบรรยายได้
เป็นความรู้สึก และการรู้จักพระเจ้าในแบบซึ่งที่สุดจะทำให้มนุษย์เต็มอิ่มใน
“ความมั่งคั่ง ปรีชาญาณและความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่ล้ำลึกสุดคณา
คำตัดสินของพระองค์ช่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้
และทางของพระองค์ก็เป็นทางที่ไม่อาจล่วงรู้ได้” (รม. 11:33)ดังคำกล่าววอลแตร์ที่ว่า
“ใครคนหนึ่งสามารถรับรู้ถึงความมีอยู่ของพระเจ้า หากเขาเปิดตาของเขา”
เราสามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าและรับรู้ถึงการประทับอยู่ของพระองค์ หากเราเปิดตา
เปิดหู เปิดใจของเราฟังเสียงของพระองค์ คนส่วนใหญ่มักได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคย หรืออาจจะเพิกเฉยต่อเสียงที่เขาไม่อาจเข้าใจ
จึงไม่พบพระองค์ เรามาสมโภชพระตรีเอกภาพ ธรรมล้ำลึกเรื่องพระบิดา พระบุตร
และพระจิต
ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานสำคัญของคริสตชนที่พระเยซูทรงเปิดเผยให้เราทราบว่า
พระเจ้ามิใช่ใครอื่นที่อยู่ห่างไกล แต่เป็นเหมือนพ่อ Abba ที่ใจดี
ซึ่งรักและให้อภัยเราเสมอ ดังคำอุปมาเรื่อง “บิดาผู้ใจดี”
แน่นอนสิ่งแรกที่บิดามารดาสอนลูกคือการทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน ทำตลอดชีวิต
ทำให้ความเชื่อของพวกเขาศักดิ์สิทธิ์ ทำด้วยความศรัทธา
เชื่อมั่นในพระเจ้าเที่ยงแท้ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระในชีวิต ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเปรียบกับพระเจ้าได้เลย
เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ และเป็นที่หนึ่งในชีวิต ชีวิตจึงมีแต่ความเชื่อ ความวางใจ
และความรัก ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่เรามีต่อกันและกัน
และเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง เครื่องหมายสุดท้ายที่พระสงฆ์ทำบนร่างของเรา
เพื่อยืนยันว่า ตลอดชีวิตเราถูกตราไว้ในพระนามของพระตรีเอกภาพ “พระบิดา พระบุตร
และพระจิต” จะได้ไปสู้อ้อมอกของพระบิดานิรันดร์
คพ.พงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น