วันศุกร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 29 มิถุนายน 2014

พี่น้องที่รัก
                อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์สมโภชนักบุญเปโตร และ เปาโลอัครสาวก ผู้เป็นผู้นำของพระศาสนจักรในยุคแรกและประดุจเสาหลักของพระศาสนจักร ท่านนักบุญทั้งสองได้มีบทบาทสำคัญยิ่งในการวางรากฐานและเผยแผ่พระศาสนจักรในยุคแรก วันนี้พระศาสนจักรทั่วโลกจึงรำลึกถึงพระสันตะปาปาสืบทอดอำนาจหน้าที่ของนักบุญเปโตร ในการปกครอง ดูแล สั่งสอน และคอยนำพระศาสนจักรไปสู่หนทางแห่งความรอดพ้นสำหรับมวลมนุษย์  ในวันนี้พระศาสนจักรทั่วโลกจึงร่วมใจกันรวบรวมเงินบริจาคที่เรียกว่า St.Peter's Pence เพื่อพระสันตะปาปาจะนำไปทำประโยชน์สำหรับส่วนรวมตามพระประสงค์ของพระองค์

คุณพ่อสุพจน์
ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
นักบุญหลุยส์ และ พิธีบูชาขอบพระคุณ
                กษัตริย์หลุยส์แห่งประเทศฝรั่งเศส อาจถือได้ว่าท่านเป็นกษัตริย์ที่น่ายกย่องที่สุดที่ปกครองประเทศฝรั่งเศส ท่านเต็มเปี่ยมด้วยความเชื่อศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง หลายครั้งท่านอุทิศเวลาในการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณถึงวันละสองหรือสามครั้งทุกวัน
                ชาวเมืองบางคนถึงกับถามว่า ท่านเรียกเก็บภาษีตัวท่านเองด้วยการไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณมากเกินไปหรือเปล่า กษัตริย์หลุยส์ให้คำตอบว่า "ถ้าฉันใช้เวลาหมดไปกับการมุ่งแสวงหาความสนุกสนานเพลิดเพลิน เจริญใจ ด้วยการชักชวนเพื่อนมางานจัดเลี้ยงหรูหรา ราคาแพง หรือ ใช้เวลาวันละหลายๆชั่วโมงในท้องพระโรงเพื่อชมการแสดงละครทุกวัน หรือไปร่วมแต่งานสังสรรค์ เพื่อความสนุกสนาน พวกท่านก็คงไม่มีใครเอ่ยปาก ว่าฉันใช้เวลาสิ้นเปลืองไปกับการแสวงหาความสนุกสนานใส่ตัวเอง แต่ท่านคงลืมไปว่า ด้วยการไปร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณนั้น นอกเหนือไปจากพระพรมากมายที่เราจะได้รับอันจะทำให้ชีวิตวิญญาณของเราปลอดภัยแล้ว ฉันยังสามารถที่จะวอนขอพระเจ้าเพื่อสิ่งที่จำเป็นและดีที่สุดสำหรับอาณาจักรของฉันได้อีก ซึ่งดีกว่าจะไปทำโดยวิธีอื่น"
                คำตอบของนักบุญหลุยส์ข้างต้น น่าจะสื่อความไปถึงผู้คนอีกหลายพัน หลายหมื่นคน ที่ใจเย็นเฉย ละเลย ไม่สนใจที่จะไปร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณประจำวัน ทั้งที่เขาสามารถทำได้แต่ก็เฉยเมยเสีย
                การไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณประจำวัน มีคุณค่าอย่างสูงส่งสำหรับทุกคน เพราะเขาจะได้รับพระพร และ ผลดีมากมายต่อชีวิตของเขา เพราะไม่ใช่เรื่องของการเสียเวลา แต่พระเจ้าจะตอบแทนเขา ให้เขามั่งคั่ง และ ให้เขาบรรลุถึงขีดขั้นแห่งความสุขสันติ ที่เขาเองคาดไม่ถึงว่าจะได้รับ (ต่อคราวหน้า)
................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
ขอร่วมแสดงความยินดีกับคุณพ่อเปโตรสุพจน์ เจ้าอาวาส บรรดาคุณพ่อทั้งหลาย ที่มีศาสนนามนักบุญเปโตร และเปาโลทุกๆท่าน ท่านทั้งสองได้พลีชีพเป็นมรณสักขีที่กรุงโรมตามคำสั่งของจักรพรรดิเนโร (ค.ศ. 54-68) เปโตรถูกตรึงกางเขนเอาหัวลงในปี ค.ศ. 64 บนเนินวาติกันอันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปโตรในปัจจุบัน ส่วนเปาโล ในฐานะพลเมืองโรมัน ถูกตัดศีรษะด้วยดาบประมาณปี ค.ศ. 67 บนเนินน้ำพุนอกกรุงโรม ที่กลายเป็นที่ตั้งของมหาวิหารนักบุญเปาโลนอกกำแพงเมืองในปัจจุบัน นักบุญเอากุสตินกล่าวไว้ในบทเทศน์ของท่านว่า “อัครสาวกทั้งสองมีวันฉลองวันเดียวกัน เพราะว่าท่านทั้งสองเป็นหนึ่งเดียวกัน แม้ว่าจะพลีชีพเป็นมรณสักขีคนละวันก็ตาม”  ดังนั้นพระศาสนจักรจึงเฉลิมฉลองอัครสาวกทั้งสองในวันเดียวกัน ในฐานะที่เป็น “ศิลารากฐาน” ของพระศาสนจักร ซึ่งท่านทั้งสองมีบทบาทสำคัญในการยืนยันความเชื่อถึงพระคริสตเจ้าสืบต่อมา อีกทั้งยังสอนหลักความจริงของพระคริสตเจ้า และสละชีวิตของตนเป็นพยานยืนยันความจริงนั้นด้วย ซีโมนแม้จะเปลี่ยนชื่อ เปลี่ยนอาชีพ แต่ก็ยังอ่อนแอ พลาดพลั้ง ท้อถอย ปฏิเสธพระเยซูเจ้าถึง 3 ครั้ง เคยหนีจากกรุงโรม จนได้พบกับพระเยซูเจ้า พระองค์จึงถามว่า “Quo vadis? “ ท่านกำลังจะไปไหน เปโตรสำนึกได้ แล้วกลับไปกรุงโรม ด้วยความกล้าหาญเด็ดเดี่ยว ร้อนรนที่จะเป็นพยานถึงองค์พระเยซูด้วยการพลีชีพอย่างพระองค์
ท่านเซาโล เกิดที่เมืองทาร์ซัส ในแคว้นซิเลียเซีย อยู่ในตระกูลเบนยามิน เป็นฟาริสีชั้นแนวหน้าในการตามล่าศิษย์ของพระเยซู ท่านคิดว่าจะต้องกำจัดพวกมิจฉาทิฐิให้หมดสิ้นไป แต่เมื่อพระองค์ได้สำแดงองค์แก่ท่าน ท่านได้เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่า บรรดาคริสตชนล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอวัยวะในพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า ได้กลับใจรับศีลล้างจากอานาเนีย และกลายเป็นอัครสาวกที่ยิ่งใหญ่ ท่านเดินทางออกไปประกาศข่าวดีกับบาร์นาบัส ข่าวดีแพร่สะพัดตลอดการเดินทางแพร่ธรรมทั้งสามครั้ง ได้ประกาศพระนามของพระเยซูแก่ทั้งยิวและต่างศาสนา ได้ตั้งกลุ่มคริสตชนในเมืองต่างๆทำให้ท่านเป็น “อัครสาวกของคนต่างศาสนา” เป็นเครื่องมือนำพระนามของพระเยซูไปประกาศทั่วทุกแห่งหน แก่คนต่างศาสนา (กจ.9:15)  ขอขอบคุณท่านทั้งสองที่เป็นเมล็ดพันธุ์แห่งความเชื่อที่ได้หว่านลงในใจของพวกเรา ในวันรับศีลล้างบาป และโปรดบำรุงรักษาความเชื่อนี้ให้มั่นคงต่อๆไป

คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 22 มิถุนายน 2014

พี่น้องที่รัก
                บราเดอร์มีศักดิ์ อธิการโรงเรียนอัสสัมชัญพาณิชยการ กรุณามอบหนังสือ "The Wonders of Holy Mass” เขียนโดย Fr.Paul O'Sullivan, O.P.(E.D.M.)มาให้พ่อได้อ่าน พ่ออ่านแล้วก็รู้สึกว่าเป็นประโยชน์มาก และ คิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ต่อพี่น้องมากเช่นกัน เลยเกิดความคิดจะนำเอาเนื้อความมาถ่ายทอดให้พี่น้องได้อ่านกันอีกต่อหนึ่ง ดังนั้นพ่อจะถอดความหนังสือเล่มนี้มาให้พี่น้องได้อ่านกันเป็นตอนๆไปนะครับ
พ่อสุพจน์
บทที่ 1
                ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ

                บรรดานักบุญทั้งหลาย แม้จะเป็นคนพูดไม่ค่อยเก่งนัก แต่เมื่อเขาพูดถึงพิธีบูชาขอบพระคุณ นักบุญจะกล่าวออกมาได้อย่างคล่องแคล่ว ลื่นไหล นักบุญโบนาเวนตูรากล่าวว่า ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณนั้นมีมากมายราวกับดวงดาวในท้องฟ้า และ เม็ดทรายริมชายหาดทะเลเลยทีเดียว
                ใครก็ตามที่ได้มาร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณอันศักดิ์สิทธิ์นี้ จะได้รับพระพรมากมายเหลือคณานับและเป็นที่โปรดปรานของพระเจ้า
                พิธีบูชาขอบพระคุณนั้น นับได้ว่าเป็นความมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกเรา ไม่มีสิ่งของใดๆในโลกจะมีคุณค่าเท่าเทียม หรือแม้แต่ในสวรรค์เองก็ตามไม่มีอะไรที่ยิ่งใหญ่ไปกว่าพิธีบูชาขอบพระคุณอีกแล้ว
                สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือ ยังคงมีคาทอลิกเป็นจำนวนมาก เมินเฉย ไม่เห็นความสำคัญของพิธีบูชาขอบพระคุณ ทำไมจึงมีคาทอลิกเป็นจำนวนมากละเลยการไปร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณ ทั้งๆที่ การถวายบูชาที่ยิ่งใหญ่แห่งภูเขากัลวารีโอนี้ ได้รับการถวายอยู่ใกล้กับบ้านของเขามาก เรียกได้ว่าอยู่ใกล้ๆประตูบ้านของเขาเลย แต่พวกเขากลับละเลยที่จะไปร่วมในพิธีดังกล่าว
                พิธีบูชาขอบพระคุณ เป็นการถวายบูชาขององค์พระเยซูที่เขากัลวารีโอหรือ? ใช่แล้วพิธีบูชาขอบพระคุณคือการรื้อฟื้นการที่พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่แท้จริง มีคุณค่าแท้จริง
                แล้วทำไม มารดา ผู้เรียนคำสอน หรือ ครูทั้งหลาย ไม่ปลูกฝังเรื่องมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณลงไปยังหัวใจของบรรดาลูกๆ และ ลูกศิษย์ของเขาเล่า พระสงฆ์ก็มีหน้าที่ดังนั้นเช่นกัน
                พี่น้องโปรแตสแตนท์มักมีคำถามเช่นกันว่า ทำไมคาทอลิกถึงไม่ใส่ใจในการไปร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณประจำวันเล่า ถ้าคาทอลิกเชื่อจริงว่า องค์พระเจ้าทรงสิ้นพระชนม์บนพระแท่นเหมือนอย่างที่พระองค์ทรงสิ้นพระชนม์บนไม้กางเขนที่เขากัลวารีโอ ถ้าคาทอลิกเชื่อเช่นนี้ทำไมพวกเขาถึงละเลยการไปร่วมในพิธีเล่า?
                นักบุญออกัสตินเล่าว่า มีพี่น้องต่างความเชื่อ ในยุคของท่านไปถามพวกคาทอลิกที่มีใจเย็นเฉยด้วยคำถามที่ฟังแล้วขมขื่นใจว่า ถ้าพวกท่านเชื่อว่าพระเจ้าองค์แห่งความเมตตามหาศาล และเป็นองค์ความดีสมบูรณ์ เสด็จลงมายังพระแท่นในพิธีบูชาขอบพระคุณจริงๆแล้ว พวกท่านที่เคยต่อว่าพวกเราว่า พวกเรานับถือเทพเจ้ามากมาย แต่อย่างน้อยพวกเราก็เชื่อว่านั่นคือเทพเจ้าและถวายเกียรติแด่เทพเจ้าเหล่านั้น แต่พวกท่านกลับไม่สนใจใยดีในพระเจ้าจริงแท้ของท่านเลย
                แน่ละ คริสตชนคาทอลิกที่อยู่ในความสว่างของพระเจ้า และ เข้าใจความหมายของพิธีบูชาขอบพระคุณอย่างถ่องแท้ เขาจะไม่พลาดโอกาสที่จะไปร่วมในพิธีบูชาขอบพระคุณเลย .......(ยังมีต่อ คราวหน้า)
................................................................................................................................................ 

พี่น้องที่รัก
วันนี้เราสมโภชพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า สมโภชศีลมหาสนิท หรือการบูชาโมทนาคุณที่เป็นแหล่งกำเนิดสูงสุดของชีวิตคริสตชน คำว่าแหล่งกำเนิดสูงสุด เป็นคำที่น่าเคารพยำเกรง เพราะในพิธีบูชาขอบพระคุณบรรจุไว้ซึ่งความสมบูรณ์ในแบบของพระศาสนจักร นั่นคือองค์พระคริสตเจ้าเอง ผู้ทรงเป็นลูกแกะปัสกา นักบุญอิเรเนอุสสอนไว้ว่า “การคิดของเราได้ปรับเปลี่ยนให้เข้ากับบูชาโมทนาคุณ (ศีลมหาสนิท) และการโมทนาคุณ (ศีลมหาสนิท) ก็จะเปลี่ยนความคิดของเรา”  คำว่า การบูชาโมทนาคุณศีลมหาสนิท Eucharist มีรากศัพท์มาจากภาษากรีก ซึ่งสะท้อนคำศัพท์ของชาวยิวที่หมายถึง พระพรโดยเฉพาะในการรับประทานอาหาร เป็นผลงานของพระเจ้าต่อสิ่งสร้างของพระองค์ เป็นการกอบกู้ เป็นการทำให้ศักดิ์สิทธิ์ ในหัวใจของการบูชาโมทนาคุณ ก็คือการขอบพระคุณพระเจ้า เป็นการเฉลิมฉลองแห่งการสรรเสริญ และขอบพระคุณที่พระคริสตเจ้าทรงสถิตอยู่อย่างแท้จริงและเป็นปัจจุบัน และนี่คือสาเหตุที่เมื่อเราเข้าในวัด มีศีลมหาสนิทประทับอยู่ในตู้ศีล เราก็ระลึกถึงการประทับอยู่ของพระองค์ และตระหนักถึงความจริงว่า พระคริสตเจ้าที่เรารับพระองค์เข้าไป พระองค์ทรงประทับอยู่ในชีวิตของเรา และทรงทำงานอยู่ในตัวเราเสมอ
     ความเข้าใจที่ว่า พระคริสตเจ้าพระองค์ทรงประทับอยู่ในศีลมหาสนิทนั้น ไม่สามารถเข้าใจได้ด้วยเหตุผล แต่ต้องอาศัยความเชื่อ และความเชื่อของเราก็ต้องขึ้นอยู่กับอำนาจของพระเจ้าเท่านั้น เพราะพระคริสตเจ้าทรงตรัสว่า “ นี่คือกายของเราที่จะถูกมอบเพื่อท่าน” นักบุญซีริล ปราชญ์ของพระศาสนจักรได้กล่าวไว้ว่า “อย่าสงสัยว่า นี่จะเป็นจริงหรือไม่ แต่ควรจะรับพระวาจาของพระผู้ไถ่ด้วยความเชื่อ เพราะพระองค์ทรงเป็นความจริง พระองค์ไม่ทรงพูดเท็จ ศีลมหาสนิทเป็นพระพรที่มีค่ามหาศาล ที่ควรจะรักษาไว้อย่างมีค่าที่สุดในชีวิตคริสตชน ไม่มีอะไรจะเปรียบได้ เพราะศีลมหาสนิทคือองค์พระคริสตเจ้าเอง เป็นพระเจ้าที่ทรงซ่อนพระองค์อยู่ภายใต้รูปปรากฏของปังและเหล้าองุ่น ที่ได้ทรงหลั่งเลือดและเนื้อเพื่อมนุษย์ทุกคนจะได้รอด” ดังนั้นในการดำเนินชีวิตของเรา จึงควรทำให้ชีวิตของเรามีส่วนร่วมในชีวิตกับพระองค์ ฟื้นฟูชีวิตใหม่ตามวิถีแห่งความรัก ความเมตตาและความศักดิ์สิทธิ์ เราสามารถเปลี่ยนแปลงได้ สิ่งแรกที่จะมีผลมากที่สุดก็คือ การดำเนินชีวิตของเราที่มีพระเจ้าทรงประทับอยู่  ยังผลให้ชีวิตเป็นประจักษ์พยานให้คนคนอื่นได้ดำเนินชีวิตอย่างดี


คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 15 มิถุนายน 2014

พี่น้องที่รัก
                เทศกาลปัสกาเพิ่งจะผ่านพ้นไปพร้อมกับวันสมโภชพระจิตเจ้า สัญลักษณ์สำคัญอย่างหนึ่งของเทศกาลปัสกาก็คือ เทียนปัสกาซึ่งเราได้จุดเทียนปัสกานี้เรื่อยมาตั้งแต่ค่ำคืนวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ ในพิธีตื่นเฝ้ารอคอยการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้าที่ทรงพิชิตความตายมีชีวิตใหม่ เราใช้เทียนปัสกาเป็นสัญลักษณ์ของความสว่างและชีวิตใหม่ที่พระเยซูเจ้าทรงนำมาให้กับเราตลอดช่วงเวลาแห่งการสมโภชปัสกาเป็นเวลา 50 วันจนถึงวันสมโภชพระจิตเจ้า เมื่อจบสิ้นเทศกาลปัสกาแล้ว เทียนปัสกาจะได้รับการเก็บรักษาไว้ในสถานที่เหมาะสม และจะนำเทียนปัสกานี้ออกมาจุดในพิธีสำคัญๆเช่น พิธีโปรดศีลล้างบาป เพื่อนำสัญลักษณ์ของชีวิตใหม่นี้มาเป็นเครื่องเตือนใจคริสตชนว่า เด็กหรือผู้ใหญ่ที่เข้าสู่พิธีศีลล้างบาปนั้นจะได้รับชีวิตใหม่โดยทางองค์พระเยซูคริสตเจ้านั่นเอง อีกพิธีหนึ่งที่เราจะนำเทียนปัสกามาจุดด้วยก็คือ พิธีบูชาขอบพระคุณปลงศพผู้ล่วงลับ ทั้งนี้เพื่อให้เทียนปัสกาเป็นสัญลักษณ์ถึงการผ่านข้ามจากชีวิตในโลกไปสู่ชีวิตนิรันดรอันสว่างสุกใสรุ่งเรืองที่พระเจ้าทรงจัดเตรียมเอาไว้ให้กับผู้ที่มีความเชื่อศรัทธาในพระองค์และได้พยายามดำเนินชีวิตยึดมั่นในพระธรรมคำสอนของพระองค์อย่างสุดกำลังความสามารถในโลกนี้นั่นเอง
            พ่อขอถือโอกาสชี้แจงเรื่องการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณของคริสตชนโดยเฉพาะการมาร่วมพิธีในวันอาทิตย์สักหน่อย ตามที่เราทราบว่าการมาร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณในวันอาทิตย์ของพี่น้องคริสตชนคาทอลิกนั้นเป็นหน้าที่ของคาทอลิกทุกคน ที่วัดของเราก็มีสัตบุรุษมาร่วมพิธีเป็นจำนวนมากซึ่งก็ถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เห็นภาพกลุ่มคริสตชนร่วมใจกันมาสวดภาวนา ร้องเพลงสรรเสริญพระเจ้า ฟังพระวาจาของพระองค์ และ นมัสการถวายเกียรติแด่พระเจ้าอย่างสมเกียรติ สิ่งหนึ่งที่พ่ออยากให้ข้อสังเกตก็คือ การมาร่วมพิธีอย่างสมบูรณ์ครบถ้วนนั้นเป็นสิ่งที่เราทุกคนพึงกระทำด้วยความความตั้งใจ พ่อหมายถึงการมาร่วมพิธีให้ทันเวลา และ ร่วมจิตร่วมใจในพิธีจนพิธีจบสิ้น ครบสมบูรณ์ หลายครั้งความเร่งรีบจนเกินไปก็เป็นสาเหตุให้เวลาที่เราจัดให้กับพระเจ้านั้นขาดความเต็มเม็ดเต็มหน่วยไปเหมือนกัน พระเจ้าประทานเวลาให้กับเราวันละ 24 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 7 วัน เราจะอุทิศเวลาอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยให้กับพระองค์ในการร่วมพิธีบูชาขอบพระคุณจนจบสมบูรณ์ซึ่งใช้เวลาประมาณเพียง 1 ชั่วโมงเศษๆเท่านั้น คงไม่ใช่เรื่องยากเกินไปใช่ไหมครับ
คุณพ่อสุพจน์
............................................................................................
พี่น้องที่รัก
วันนี้เรามาสมโภชพระตรีเอกภาพ ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในองค์พระบิดา พระบุตร และพระจิต เป็นองค์ศักดิ์สิทธิ์ครบครัน ปราศจากการเจือปนจากสิ่งภายนอก ทั้งไม่จำกัดอยู่ในผู้สร้างและสิ่งสร้าง หากแต่ประกอบด้วยอานุภาพสมบูรณ์ ที่จะสร้างสรรค์ และใช้พลังพระธรรมชาติของพระองค์ มั่นคงอยู่ได้เอง ไม่แบ่งแยกพลัง และกิจกรรมของพระองค์ เพราะรวมเป็นหนึ่ง เหตุว่าพระบิดาทรงสร้างสรรค์ทุกสิ่งโดยทางพระวจนาตถ์ในพระจิตเจ้า ความเป็นหนึ่งเดียวของพระตรีเอกภาพศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นความจริงที่คงอยู่เสมอไป ดังนั้นพระศาสนจักรจึงประกาศพระเจ้าหนึ่งเดียวผู้ทรงเป็นอยู่ ฐานะที่ทรงเป็นพระบิดา องค์ปฐมเหตุหรือต้นกำเนิด “ทางสรรพสิ่ง” หมายความว่า “ทางพระวจนาตถ์” และที่สุดในทุกสิ่ง “คือองค์พระจิตเจ้า”  สิ่งแรกที่บิดามารดาสอนลูกเกี่ยวกับศาสนาคือการทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน และสิ่งสุดท้ายที่พระสงฆ์ทำบนหลุมฝังศพของเราคือ การทำสำคัญกางเขนเหนือร่างของเรา ชีวิตของเราคริสตชนซึ่งถูกประทับตราไว้ “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต” เราได้ยินบ่อยๆในพระคัมภีร์ว่า พระบิดาในฐานะผู้ให้กำเนิดทุกชีวิตที่ทรงสร้างโลก การส่งพระบุตรองค์พระวจนาตถ์ที่เสด็จลงมาช่วยเราให้รอด ลงมารับสภาพบาป ทรงรับทุกข์ทรมาน สิ้นพระชนม์ และทรงกลับคืนชีพ การส่งพระจิตเจ้ามาประทับอยู่กับเราเสมอไป เพื่อการเกิดใหม่ของเราจากน้ำและโดยพระจิตเจ้า ทำให้ชีวิตของเราเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ สัมพันธภาพอันแน่นแฟ้นระหว่างบุคคลในความรู้ที่ไม่อาจจะใช้ภาษามนุษย์ใดๆมาบรรยายได้ เป็นความรู้สึก และการรู้จักพระเจ้าในแบบซึ่งที่สุดจะทำให้มนุษย์เต็มอิ่มใน “ความมั่งคั่ง ปรีชาญาณและความรู้เกี่ยวกับพระเจ้าที่ล้ำลึกสุดคณา คำตัดสินของพระองค์ช่างเป็นสิ่งที่ไม่อาจหยั่งรู้ได้ และทางของพระองค์ก็เป็นทางที่ไม่อาจล่วงรู้ได้” (รม. 11:33)ดังคำกล่าววอลแตร์ที่ว่า “ใครคนหนึ่งสามารถรับรู้ถึงความมีอยู่ของพระเจ้า หากเขาเปิดตาของเขา” เราสามารถได้ยินเสียงของพระเจ้าและรับรู้ถึงการประทับอยู่ของพระองค์ หากเราเปิดตา เปิดหู เปิดใจของเราฟังเสียงของพระองค์ คนส่วนใหญ่มักได้ยินเสียงที่เขาคุ้นเคย หรืออาจจะเพิกเฉยต่อเสียงที่เขาไม่อาจเข้าใจ จึงไม่พบพระองค์ เรามาสมโภชพระตรีเอกภาพ ธรรมล้ำลึกเรื่องพระบิดา พระบุตร และพระจิต ซึ่งเป็นความเชื่อพื้นฐานสำคัญของคริสตชนที่พระเยซูทรงเปิดเผยให้เราทราบว่า พระเจ้ามิใช่ใครอื่นที่อยู่ห่างไกล แต่เป็นเหมือนพ่อ Abba ที่ใจดี ซึ่งรักและให้อภัยเราเสมอ ดังคำอุปมาเรื่อง “บิดาผู้ใจดี” แน่นอนสิ่งแรกที่บิดามารดาสอนลูกคือการทำเครื่องหมายสำคัญมหากางเขน ทำตลอดชีวิต ทำให้ความเชื่อของพวกเขาศักดิ์สิทธิ์ ทำด้วยความศรัทธา เชื่อมั่นในพระเจ้าเที่ยงแท้ มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับพระในชีวิต ไม่มีสิ่งใดในโลกจะเปรียบกับพระเจ้าได้เลย เพราะพระเจ้าทรงยิ่งใหญ่ และเป็นที่หนึ่งในชีวิต ชีวิตจึงมีแต่ความเชื่อ ความวางใจ และความรัก ความเมตตา ความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ที่เรามีต่อกันและกัน และเมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตมาถึง เครื่องหมายสุดท้ายที่พระสงฆ์ทำบนร่างของเรา เพื่อยืนยันว่า ตลอดชีวิตเราถูกตราไว้ในพระนามของพระตรีเอกภาพ “พระบิดา พระบุตร และพระจิต” จะได้ไปสู้อ้อมอกของพระบิดานิรันดร์

คพ.พงษ์เกษม

วันเสาร์ที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 8 มิถุนายน 2014

พี่น้องที่รัก
            วันนี้เป็นวันสมโภชพระจิตเจ้าเสด็จลงมา ถือเป็นวันเริ่มต้นพระศาสนจักร เพราะบรรดาอัครสาวกหลังจากที่ได้รับพระจิตเจ้าแล้ว พวกเขาสลัดละทิ้งความหวาดกลัวจนหมดสิ้น ทุกคนเปี่ยมไปด้วยความกระตือรือร้น กล้าหาญ อยากออกไปประกาศข่าวดีของพระคริสตเจ้า พระจิตเจ้าทรงเป็นผู้ดลใจ ส่องสว่าง สอนแนะนำ สร้างแรงจูงใจที่เหมาะสมให้พวกอัครสาวกออกไปทำการเผยแผ่พระอาณาจักรของพระเจ้าจนทั่วแผ่นดิน
            บทบาทของพระจิตเจ้ามีมากมาย พระองค์คือผู้ชักจูงเราแต่ละคนให้ใช้พระพรของพระเจ้าเต็มศักยภาพของเรา เพื่อเผยแผ่พระอาณาจักรของพระเจ้า เพื่อสร้างสรรค์โลกของเราให้เจริญงอกงามเติบโต พระจิตเจ้าจึงเป็นพระผู้ช่วยให้การสร้างสรรค์โลกจักรวาลของพระบิดาเจ้าดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง พระเจ้าทรงสร้างโลกในปฐมกาล แต่การสร้างของพระองค์ยังคงดำเนินมาอย่างต่อเนื่องในสิ่งใหม่ๆ ในนวัตกรรมใหม่ๆที่เกิดขึ้น เพราะพระจิตเจ้าทรงช่วยให้มนุษย์ในแต่ละยุคแต่ละสมัยนำพระพรของพระเจ้ามาใช้อย่างเต็มศักยภาพ แปรเปลี่ยนโลกของเราให้เจริญวัฒนาเรื่อยมานั่นเอง
            ขอพระจิตเจ้าโปรดประทานความสว่างสำหรับเรา ขอพระองค์โปรดชักนำเราให้มุ่งสร้างสรรค์สิ่งดีงามในชีวิตของเรา ขอพระองค์โปรดอยู่เคียงข้างเรา สอนใจเรา นำพาเราให้หลุดพ้นจากบ่วงแร้วของบาปที่คอยดักจับเรา ให้ตกต่ำมัวหมอง ขอพระองค์ช่วยเราให้เข้มแข็ง ครองตนในคุณงามความดี บำเพ็ญตนให้เป็นคุณประโยชน์ต่อเพื่อนพี่น้องในทุกโอกาสที่อำนวย
คุณพ่อสุพจน์
.........................................................................................................................

พี่น้องที่รัก
ชีวิตคนเราบางคนโชคไม่ดีคือ ขาดคนเตือน บางคนเหมือนโชคร้ายคือ มีคนเตือนแล้วไม่ฟัง แต่คนอับโชคคือ มีคนเตือนแล้ว แต่ไม่ยอมฟัง ไม่ยอมเข้าใจ แต่กลับดื้อรั้น จะไปโทษโชคก็ไม่ควร เพราะพระเจ้าทรงรักมนุษย์ทุกคนไม่เว้น วันนี้พระองค์ทรงส่งพระจิตเจ้าให้ทุกคน “จงรับพระจิตเจ้าเถิด” และทรงส่งความปรารถนาดีมายังเราทุกคน “สันติสุขจงสถิตกับท่านทั้งหลายเถิด” เป็นคำอวยพรให้เราแคล้วคลาดจากภยันตรายใดๆ ทรงประทานสิ่งที่ดีที่สุดให้กับมนุษย์ ในการกล้าเผชิญความจริง ไม่หนีปัญหา หรือหวาดกลัว ท้อแท้สิ้นหวัง เพื่อให้เราชนะและบรรลุถึงสิ่งที่ดีที่สุดที่พระเจ้าทรงเตรียมไว้ให้กับเราในองค์พระจิตเจ้า ซึ่งเป็นเครื่องหมายถึงการให้ชีวิตใหม่ เลิกหลบซ่อน เลิกกลัว ทุกคนที่แตกแยกกลับมามีชีวิตใหม่ “จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว”(มธ.4:17) แต่ชีวิตมนุษย์หลายครั้งเป็นที่น่าเศร้าและเสียดายที่พอมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้น เรามักจะไปโทษความไม่ดี ความมืด แต่กลับไม่เคยโทษตัวเอง ที่ไม่เปิดตา ไม่เปิดใจให้สว่าง แต่กลับไปเกลียดชังพระเจ้าหรือเกลียดชังคนที่นำความจริงมาให้ ความรักต่อพระเจ้าเรียกร้องการนบนอบด้วยสิ้นสุดชีวิตสุดจิตสุดใจ เพราะข่าวดีของพระเจ้ามิใช่ข่าวดีของตนเอง จะรับข่าวดีจึงจำเป็นต้องกลับใจเสียก่อน เพราะแสงสว่างของพระเจ้ายืนอยู่ข้างความจริงและความดีงามเสมอ และหากผู้ใดไม่รับความสว่าง ไม่รับความจริง ไม่ซื่อสัตย์ต่อคำสัญญาของพระเจ้า ก็เปรียบเสมือนการฉีกสัญญาของพระเจ้า ชีวิตเราก็อยู่ในความมืด ถูกกระหน่ำจากบาป และกลายเป็นทาสของบาป จึงขอให้เราได้ตระหนักในพระคุณของพระจิตเจ้า ซึ่งยังผลทำให้เราทุกคนมีความรัก มีความชื่นชมยินดี มีความสงบ มีความอดทน มีความเมตตา มีความดี มีความใจดี มีความอ่อนโยน มีความซื่อสัตย์ มีความถ่อมตน รู้จักควบคุมตนเองและมีความบริสุทธิ์ ลายเซ็นของพระจิตเจ้าที่ประทับลงไปในชีวิตของเรา ที่ไม่มีใครปลอมแปลงได้ เป็นลายเซ็นถาวรในชีวิตเรา มีแต่สันติสุข มีแต่ความรัก มีอิสระจากความกลัวใดๆ ไม่อึดอัด หวาดระแวง หวาดผวา  แต่เต็มไปด้วยความปลอดภัย มีความเห็นใจ เข้าใจ มีความสุขมีสันติ มีเอกภาพ มีภาษาเดียวกันคือภาษาแห่งความรักในองค์พระเจ้า และในพระศาสนจักรของพระองค์

คพ.พงษ์เกษม