วันศุกร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 มิถุนายน 2014

พี่น้องที่รัก
                ตามที่เราทราบว่า เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้เสด็จเยือนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งนับได้ว่าเป็นพระกรณียกิจที่สำคัญยิ่ง เพราะพระสันตะปาปาถือว่า กิจการดังกล่าวเป็นประดุจพระพรอันยิ่งใหญ่สำหรับพระองค์เองและสำหรับพระศาสนจักรด้วย จุดประสงค์หลักของการไปเยือนในครั้งนี้ก็เพื่อร่วมรำลึกถึงโอกาสครบรอบ 50 ปี ของการพบปะกันระหว่าง พระสันตะปาปาปอลที่6 กับพระอัยกาอาเธนากอรัส ที่เป็นการเริ่มต้นทำคริสตสัมพันธ์ระหว่างคาทอลิกกับออร์โทดอกซ์ ซึ่งเป็นก้าวสำคัญก้าวแรกเพื่อมุ่งไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตศาสนา  ในการเยือนครั้งนี้พระสันตะปาปากับ พระอัยกาบาร์โทโลเมออสผู้แทนฝ่ายออร์โทดอกซ์ ได้มีโอกาสสวดภาวนาร่วมกันเยี่ยงพี่น้องที่หน้าคูหาฝังพระศพของพระเยซู เพื่อรื้อฟื้นความตั้งใจในการสืบสานภารกิจไปสู่ความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างสมบูรณ์ระหว่างนิกายทั้งสอง  จุดประสงค์อีกประการหนึ่งของการเสด็จเยือนในครั้งนี้ก็เพื่อไปให้กำลังใจกับความพยายามของผู้ที่ปฏิบัติหน้าที่เพื่อสันติภาพในดินแดนตะวันออกกลาง และ ให้กำลังใจกับคนที่ทำงานกับผู้ลี้ภัยและเด็กๆที่ต้องทนทุกข์กับผลกระทบอันเนื่องมาจากสงครามและการใช้ความรุนแรง พระสันตะปาปายังได้เชิญให้ประธานาธิบดีของประเทศอิสราเอลและตัวแทนของชาวปาเลสไตน์ภาวนาร่วมกันกับพระองค์เพื่อสันติภาพอีกด้วย  จุดประสงค์ประการสุดท้ายก็เพื่อทำนุบำรุงความเชื่อของคริสตชนในดินแดนศักดิ์สิทธิ์ให้เข้มแข็ง ด้วยการรับฟังปัญหาความยากลำบากที่เขาเผชิญอยู่และเพื่อสนับสนุนส่งเสริมให้เขาทำงานเมตตาจิตและงานด้านการศึกษาต่อไป
            พี่น้องครับ เดือนพฤษภาคมซึ่งเป็นเดือนที่เราอุทิศถวายแด่พระนางมารีย์ แม่พระของเราก็ผ่านไปแล้ว และเรามีพิธีถวายช่อดอกไม้ให้กับพระนางมารีย์เป็นสัญลักษณ์ถึงความสัมพันธ์ทางใจของเรากับแม่ของเราที่ผสานเป็นหนึ่งเดียวกันผ่านทางคำภาวนาโดยเฉพาะการสวดลูกประคำในวันเสาร์ที่ 31 หลังมิสซา ขอพระนางมารีย์โปรดวิงวอนพระเจ้าเพื่อเราทุกคนจะคงมั่นอยู่ในหนทางของพระเจ้าเสมอ
คุณพ่อสุพจน์
......................................................................................................

พี่น้องที่รัก
ความปรารถนาสุดท้ายของพระเยซูเจ้า คือต้องการให้บรรดาศิษย์ประกาศพระวรสารแก่ทุกคนในโลก พระองค์จึงทรงมอบอำนาจให้อัครสาวก ในการนำข่าวดีไปสู่ผู้อื่น สอนเขาให้เชื่อ และรับศีลล้างบาปในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต และปฏิบัติตามคำทุกข้อที่พระองค์ทรงสั่ง พระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์ เป็นความหวังสำหรับเราว่า สักวันหนึ่งเราจะได้อยู่ในสวรรค์เช่นเดียวกัน หากเราดำเนินชีวิตตามแบบอย่างของพระองค์ สวรรค์นั้นคือที่ประทับของพระเป็นเจ้า ดังนั้นถ้าเราอุทิศตัวเราเองเพื่อทำให้โลกกลายเป็นสวรรค์อันเป็นที่ประทับของพระเป็นเจ้า สวรรค์ได้บังเกิดขึ้นแล้วตั้งแต่ในโลกนี้  ในความรักต่อพี่น้อง การให้อภัยความผิดของกันและกัน การรับใช้ซึ่งกันและกัน ในการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่กัน การมีน้ำใจดี เป็นต้นในครอบครัวของเรา ในหมู่คณะ ในองค์กร สังคมและในวัดของเรา ถือเป็นหน้าที่ ที่จะต้องประกาศ สั่งสอนด้วยคำพูด และชีวิต ดังที่นักบุญเอากุสตินได้กล่าวไว้ว่า “เวลานี้พระเยซูเจ้าได้รับเกียรติรุ่งโรจน์ในสวรรค์ แต่ก็ยังคงทรมานในโลก ในความเจ็บปวด ความทุกข์ระทม ที่เราซึ่งเป็นพระกายทิพย์ของพระองค์ยังทรงได้รับ” แม้พระองค์จะทรงอยู่ในสวรรค์แล้ว แต่ก็ยังคงอยู่กับเราบนโลกและตลอดไป แต่ปัญหาอยู่ที่เราอยู่กับพระองค์หรือเปล่า ไม่ว่าจะกิน จะนอน จะเดิน จะเล่น จะทำงาน จะลำบาก จะสุข จะทุกข์ จะภาวนาคนเดียวหรือภาวนาร่วมกัน พระองค์ก็ยังคงเป็นแสงสว่างแห่งความดี ความรัก ซึ่งเราทุกคนต้องทำให้พระวาจาของพระองค์ปรากฏเป็นจริงในชีวิตของเรา จึงจะเป็นสวรรค์บนแผ่นดิน ที่ไม่ต้องมัวแหงนหน้ามองท้องอยู่ทำไม สวรรค์อยู่ในชีวิตของเรา พระองค์ทรงมอบอำนาจอาญาสิทธิ์ทั้งหมดในสวรรค์และบนแผ่นดินให้แก่เรา จงใช้ให้เกิดผลในชีวิตจริง เพราะเราต่างเป็นส่วนของพระกายทิพย์ ซึ่งมีพระองค์ทรงเป็นศีรษะที่จะทำให้ทุกสิ่งบริบูรณ์ในพระองค์ ขอพระอวยพรพี่น้องให้มีสวรรค์เป็นเป้าหมายในวิถีชีวิตในแต่ละวัน เพื่อจะพบความสมบูรณ์ในพระองค์เสมอไป

คพ.พงษ์เกษม

วันศุกร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 25 พฤษภาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            สำนักวาติกันประกาศว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส มีหมายกำหนดการเสด็จเยือนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ในระหว่างวันที่ 24-26 พฤษภาคมนี้ เพื่อจะไปร่วมรำลึกถึง เหตุการณ์สำคัญของพระศาสนจักรคาทอลิกกับพระศาสนจักรออร์โทดอกซ์ที่สมเด็จพระสันตะปาปาเปาโลที่ 6 เป็นผู้สานสัมพันธไมตรีระหว่างสองพระศาสนจักรที่เคยแตกแยกกันมาเนิ่นนานถึง 9 ศตวรรษ ด้วยการเสด็จไปพบปะกับพระอัยกา อเธนากอรัสที่ 1 ประมุขของพระศาสนจักรออร์โทดอกซ์ เมื่อปี ค.. 1964 การเดินทางไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์ครั้งนี้ เป็นการก้าวตามรอยเท้าของนักบุญ ยอห์นปอลที่สอง พระสันตะปาปา ที่เสด็จเยือนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ เมื่อปี ค.. 2000 และ สมเด็จพระสันตะปาปา กิตติคุณ เบเนดิกต์ที่ 16 ที่เสด็จเยือนแผ่นดินศักดิ์สิทธิ์ ในปีค.. 2009
            วันนี้พ่อเลยขอกล่าวถึงเรื่องของการแสวงบุญสักหน่อย ความหมายของการแสวงบุญตามคำอธิบายของเราคือ การเดินทางเพื่อมุ่งไปยังสถานที่ที่มีความหมายทางด้านจิตวิญญาณ เป็นบุญยาตราไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์นั่นเอง  ดังนั้น การแสวงบุญจึงมีเป้าหมายอยู่ที่ สักการะสถาน หรือ สถานที่สำคัญทางความเชื่อ เช่นสถานที่ที่เป็นที่เกิด หรือ ที่ตายของนักบุญ หรือสถานที่ที่เป็นจุดหักเหสำคัญเช่นการสอนสัจธรรม หรือ สถานที่ที่นักบุญ หรือ บุคคลบางคนได้พบกับการประจักษ์มาของแม่พระ หรือ พระเยซูเจ้าเป็นต้น ส่วนผู้เดินทางไปแสวงบุญก็เรียกกันง่ายๆว่าผู้แสวงบุญนั่นเอง
            ความหมายของการเดินทางแสวงบุญในใจความที่กว้างกว่าประเด็นข้างต้นก็คือ ชีวิตของเรามนุษย์ทุกคนที่ดำรงชีวิตอยู่ในโลกนี้ เป็นประดุจการแสวงบุญมุ่งหน้าไปยังเมืองสวรรค์ ดังนั้นการแสวงบุญไปยังสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ต่างๆบนโลกนี้ เป็นเพียงเป้าหมายชั่วคราวที่เราคริสตชนต่างซักซ้อมเอาไว้ ทั้งนี้เพื่อเตือนใจของเราให้คงมั่นในบุญยาตราอันศักดิ์สิทธิ์ที่เราทุกคนกำลังมุ่งหน้าไปสู่สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดนั่นคือสวรรค์นิรันดรนั่นเอง

คุณพ่อสุพจน์
......................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 6
เทศกาลปัสกา
“ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา”

เป็นที่น่าเสียดาย สำหรับเราหลายๆ คน ที่ปากบอกว่ารัก แต่กลับไม่เคยได้สัมผัสความรักจริงๆ หรือเราอาจจะพูดเสมอเลยว่า “เรารักพระเจ้า” แต่เรายังไม่ได้รักพระเจ้าจริงๆ เพราะอะไรหรือ?? 
เพราะหัวใจของเรายังไม่เปิดพอ เพราะหัวใจของเรายังมีความเกลียดชังคนรอบข้าง  เรายังไม่ชอบคนรอบข้างของเรา  เรายังไม่พร้อมที่จะยอมรับนิสัยหรือพฤติกรรมบางอย่างของคนรอบข้าง  ทำให้ยังมีความคิด อคติ ที่ไม่ดีต่อเขา จนนำไปสู่ความเกลียดชัง และยากที่จะให้อภัยได้

พี่น้องครับ  อาทิตย์สัปดาห์ที่ 6 ในเทศกาลปัสกาแล้ว  อาทิตย์หน้าก็จะฉลองใหญ่ สมโภชพระเยซูเจ้าเสด็จสู่สวรรค์  ปัสกากำลังจะผ่านไป แล้วชีวิตของเราได้เปลี่ยนแปลงให้ความสุข ความสงบสันติ เกิดขึ้นกับชีวิตเราอย่างแท้จริงเพียงใด.. เพราะวันนี้พระเยซูเจ้าบอกกับเราว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรักเรา ท่านจะปฏิบัติตามบทบัญญัติของเรา” ซึ่งคำสอนที่สำคัญขององค์พระเยซูเจ้าก็คือ “พระองค์สอนให้เรารักกันและกัน”
สำหรับพระเยซูเจ้าแล้ว สิ่งเดียวที่พิสูจน์ความรักแท้ได้ คือ การเชื่อฟัง แล้วเราเชื่อฟังพระองค์ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์มากน้อยแค่ไหน  เพราะความรักไม่ใช่เรื่องของอารมณ์ ความรู้สึกเพียงอย่างเดียว  แต่เป็นเรื่องของศีลธรรมที่แสดงออกมาด้วยความเชื่อฟังด้วย
หาไม่แล้ว เราจะพบเด็กจำนวนมากที่ปากบอกว่ารักพ่อรักแม่ แต่ในเวลาเดียวกันก็ทำให้พ่อแม่ต้องกระวนกระวายใจหรือเสียใจอยู่บ่อยๆ  หรือไม่..เราก็จะพบว่า สามีภรรยามากมายหลายคู่ที่ต่างก็บอกว่ารักกัน แต่ในเวลาเดียวกันกลับทำให้อีกฝ่ายหนึ่งเจ็บช้ำน้ำใจ ด้วยการฉุนเฉียวกันบ้าง โมโห โหดร้ายต่อกันบ้าง หรือไม่รู้จักเกรงอกเกรงใจกันบ้าง หรือนำไปสู่ความไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน  สิ่งเหล่านี้ เราเรียกมันว่าเป็น “ความรัก” หรือ  ดังนั้น ความรักที่เป็นความรักแท้จริง ให้เราดูแบบอย่างขององค์พระเยซูเจ้า พระองค์รักเราโดยปราศจากเงื่อนไข รักโดยไม่ต้องเรียกร้องสิ่งใด เพราะความรักที่แท้จริง คือ รักที่ปรารถนาให้เขามีความสุข 

ดังนั้น...คำสอนของพระวันนี้ท้าทายเรา มันอาจทำยาก แต่ไม่ยากเกินกว่าจะลงมือทำ ขอเพียงเราเริ่มต้นที่จะทำ และภาวนาขอพระได้ช่วยเหลือ เราก็จะทำได้โดยไม่ยากจนเกินไป

คพ.วิทยา

วันศุกร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 18 พฤษภาคม 2014

พี่น้องที่รัก
                พี่น้องหลายท่านคงได้เห็นรายงานข่าวจากพระราชสำนักทางโทรทัศน์เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ที่พระคาร์ดินัล ไมเกิ้ลมีชัย กิจบุญชู นำคณะสภาประมุขบาทหลวงคาทอลิกแห่งประเทศไทยเข้าเฝ้าละอองธุลีพระบาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพล อดุลยเดช ที่พระตำหนักเปี่ยมสุข วังไกลกังวล หัวหิน เพื่ออัญเชิญพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของนักบุญแห่งพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกที่ได้รับการสถาปนาใหม่คือ นักบุญ ยอห์นที่ 23 พระสันตะปาปา และ นักบุญ ยอห์นปอลที่สอง พระสันตะปาปา ซึ่งได้รับมอบจากสำนักวาติกันมาอธิษฐานวอนขอพระพรจากพระเจ้า ขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ มีพระพลานามัยสมบูรณ์แข็งแรง พระธาตุศักดิ์สิทธิ์ตามความเชื่อของคาทอลิก หมายถึงบางส่วนของร่างกาย ซึ่งได้แก่โลหิต ผิวหนัง กระดูก หรือ สิ่งของประจำกายเช่นไม้กางเขน สายประคำของนักบุญที่เป็นที่เคารพของชาวคาทอลิกที่เสียชีวิตไปแล้ว และ ได้รับการเก็บรักษาไว้ และที่เชิญมาในโอกาสนี้คือ ผิวหนังของพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 และ พระโลหิตของสมเด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่สอง ซึ่งทั้งสองพระองค์ได้รับสถาปนาเป็นนักบุญเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2557
            23 มาแล้ว เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม พ.. 2503 ในส่วนของสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นปอลที่สอง พระองค์ทรงเคยเสด็จเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 10-13 พฤษภาคม พ.. 2527 และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ และ พระบรมวงศานุวงศ์ ทรงต้อนรับเสด็จพระสันตะปาปายอห์นปอลที่สอง ที่พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ด้วยเหตุนี้แหละที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจึงได้ประทานโอกาสสำคัญยิ่งนี้ให้กับคณะพระสังฆราชคาทอลิกได้เข้าเฝ้าเพื่อนำพระธาตุศักดิ์สิทธิ์ของท่านนักบุญทั้งสองมาอธิษฐานวอนขอพระพรจากพระเจ้าเพื่อพระองค์
ภาพข่าวดังกล่าวนำความชื่นชมยินดีมาสู่คาทอลิกชาวไทยเป็นอย่างมาก ที่มีโอกาสได้เห็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานโอกาสให้คณะพระสังฆราชคาทอลิกเข้าเฝ้าอย่างใกล้ชิด เพื่ออำนวยพระพรแด่พระองค์ท่าน ส่วนตัวพ่อเองคิดว่า ในหลวงของเราเคยพบปะกับนักบุญที่ได้รับการสถาปนาใหม่ทั้งสองท่านอย่างใกล้ชิดมาแล้ว เพราะในระหว่างที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระบรมราชินานาถเสด็จประพาสในประเทศยุโรป พระองค์เคยเข้าเฝ้าสมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์นที่
            เรื่องดังกล่าวข้างต้นแสดงให้เห็นถึงความเป็นองค์ศาสนูปถัมภกของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอย่างชัดเจน สำหรับเราชาวคาทอลิกไทยจึงอดไม่ได้ที่จะต้องแสดงความซาบซึ้งในพระบารมีของพระท่านอย่างสูงส่ง ขอพระองค์ท่านทรงพระเจริญ ยิ่งยืนนาน

คุณพ่อสุพจน์
...............................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 5
เทศกาลปัสกา
ในวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม ที่ผ่านมา นับว่าเป็นอีกหนึ่งวันที่มีความหมายสำหรับเราคริสตชนชาวไทยทุกคน เพราะเป็นวันครบรอบ 30 ปี ที่สมเด็จพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 เสด็จมาเมืองไทย นับว่าเป็นพระพรสำหรับเราทุกคนที่ครั้งหนึ่งมีนักบุญเสด็จมาเยือนบ้านของเรา ดังนั้นพระศาสนจักรคาทอลิกและอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จึงได้จัดให้มีการแห่พระธาตุของสองนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ คือ พระสันตะปาปายอห์นที่ 23 และ พระสันตะปาปายอห์น ปอล ที่ 2 ที่บ้านเณรเล็กยอแซฟ สามพราน พร้อมทั้งมีพิธีมิสซาบวชพระสงฆ์ใหม่ของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ 4 องค์ด้วยกัน  จึงขอใช้โอกาสนี้แบ่งปันบรรยากาศให้พี่น้องทุกท่านครับ



คพ.วิทยา

วันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 11 พฤษภาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            มีเรื่องน่ายินดีที่จะนำมากล่าวถึงในวันนี้เป็นพิเศษหลายเรื่องครับ ประการแรกวันเสาร์ที่ 10 พฤษภาคม 2557 มีพิธีบวชพระสงฆ์ใหม่ของสังฆมณฑลกรุงเทพฯ จำนวน 3 องค์คือ สังฆานุกร ยอแซฟ ดิษพล รุ่งโรจน์วรวัฒนา สังฆานุกร ยอแซฟ ยุทธนา วิทยานุลักษณ์ และ สังฆานุกร เสตเฟน วีรยุทธ เกียรติสกุลชัย และ พระสงฆ์ใหม่ของคณะฟรังซิสกัน ภราดาน้อย กาปูชิน คือ สังฆานุกร อันตน สุปิติ รวมอร่าม เรื่องการมีผู้ตัดสินใจเข้าสู่สังฆภาพด้วยการเป็นพระสงฆ์บวช เป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับพระศาสนจักรเสมอ เพราะถือได้ว่าเป็นผลจากความเชื่อที่มั่นคงของสัตบุรุษประชากรของพระเจ้า พระศาสนจักรที่มีกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์ นักบวชชายหญิง ถือได้ว่าเป็นดอกไม้ที่งดงามของต้นไม้แห่งความเชื่อที่มีรากหยั่งลึกลงบนผืนดินอันเป็นท้องทุ่งนาที่กว้างใหญ่ไพศาลของพระเจ้าในโลกนี้ กว่าที่พระศาสนจักรจะได้พระสงฆ์ใหม่สักองค์ ผู้ตอบรับการเรียกของพระเจ้าต้องใช้เวลาศึกษาเล่าเรียน ฝึกฝนตัวเอง 13 - 15 ปีเลยทีเดียว ถ้าเริ่มเข้าบ้านเณรตั้งแต่จบชั้นประถมปีที่ 6  ดังนั้นเราจึงต้องโมทนาคุณพระเจ้าเป็นพิเศษในเรื่องนี้ ประการต่อไปที่อยากจะกล่าวถึงคือ เมื่อปีที่แล้ววัดของเรามีเด็กเยาวชนคนหนึ่งที่ตัดสินใจเข้ารับการฝึกฝนตัวเองในบ้านเณร 1 คน ปีนี้ก็มีเด็กเยาวชนของวัดของเราตัดสินใจสมัครเข้าบ้านเณรอีก 1 คน พ่อถือว่าเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะเดี๋ยวนี้ในสังคมเมืองใหญ่ หาผู้ตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าเข้ามาเป็นนักบวชยากเต็มที เหมือนงมเข็มในมหาสมุทรก็ว่าได้ อย่างน้อยพ่อเชื่อว่าตราบใดที่ยังมีใครสักคนที่พร้อมและกล้าตัดสินใจที่จะตอบรับการเรียกของพระเจ้า แม้ว่าในอนาคตพระเจ้าอาจจะไม่ได้เลือกก็ตาม ถือเป็นนิมิตหมายที่บ่งชี้ถึงความเชื่อความศรัทธาของสัตบุรุษนั้นยังอยู่ในเกณฑ์ที่มั่นคงเข้มแข็งครับ
            วันนี้เป็นวันฉลองนายชุมพาบาลผู้ใจดี หรือวัน Bonus Pastor เป็นวันที่คริสตชนทั่วโลกร่วมใจกันบริจาคเพื่อพระกระแสเรียกการเป็นพระสงฆ์นักบวช พ่อจึงเชิญชวนพี่น้องร่วมใจกันเป็นพิเศษในโอกาสนี้เพื่อทำนุบำรุงพระศาสนจักรที่เราทุกคนสังกัดอยู่นี้ให้มั่นคงและอุดมไปด้วยผู้เสียสละอุทิศตนสมัครใจตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้ามาทำงานในพระศาสนจักรในฐานะพระสงฆ์ นักบวช
            ประการสุดท้ายของสัปดาห์นี้ พ่อในฐานะเจ้าอาวาสวัดเซนต์หลุยส์ ขอถือโอกาสนี้ต้อนรับคุณพ่อพงษ์เกษม สังวาลย์เพ็ชร เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของทีมงานผู้อภิบาลของวัดเซนต์หลุยส์ของเราด้วยความยินดี คุณพ่อเป็นผู้มีประสบการณ์การทำงานอภิบาลมายาวนาน ในหลายวัด หลายพื้นที่ พ่อเชื่อมั่นว่าคุณพ่อจะมีส่วนช่วยให้ชุมชนคริสตชนวัดเซนต์หลุยส์ของเราเจริญก้าวหน้าอย่างมั่นคงต่อไปครับ

คุณพ่อสุพจน์
................................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 4
เทศกาลปัสกา
“วันภาวนาสากลเพื่อกระแสเรียก”
           

ในอาทิตย์นี้เป็นวันภาวนาสากลเพื่อพระกระแสเรียก กระแสเรียกเพื่อให้มี นายชุมพาบาลที่ดี (Bonus Pastor) นายชุมพาบาลที่ดี จึงน่าจะหมายถึง พระสันตะปาปาที่ดี พระสังฆราชที่ดี พระสงฆ์ที่ดี นักบวชที่ดี ความเป็นบุคคลที่ดี นั่นเอง  คนที่เปิดประตูคอกแกะดูแลฝูงแกะด้วยความรัก ห่วงใย และเอาใจใส่ เหมือนเฉกเช่นองค์พระเยซูเจ้าซึ่งเป็นต้นแบบของนายชุมพาบาลที่ดี ที่ดูแลเอาใจใส่แกะทุกตัว เพราะพระองค์เปรียบพระองค์เป็นดังประตูคอกแกะ “เราเป็นประตู ผู้ที่เข้ามาทางเรา ก็จะรอดพ้น”
ดังนั้น แบบอย่างของบุคคลที่เป็นนายชุมพาบาลที่ดี ที่ชัดเจน ที่เราสามารถเห็นได้ นั่นก็คือพระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ซึ่งพระองค์ท่านได้เป็นนักบุญไปแล้ว พระสันตะปาปาเบเนดิกซ์ที่16 และพระสันตะปาปาองค์ปัจจุบัน คือ พระสันตะปาปาฟรังซิส ก็น่าจะเป็นแบบอย่างที่เราควรติดตาม เพราะท่านทุ่มเทชีวิตเพื่อคนทุกคน เป็นแบบอย่างของความรัก ความใจดี ไม่ว่าบุคคลนั้นจะเป็นใคร เป็นอย่างไรก็ตาม ความรักที่ท่านมีต่อลูกแกะของท่าน ทุกคนต่างรับรู้ว่าท่านเป็นนายชุมพาบาลที่ดี
คนดี คนเก่ง คนศักดิ์สิทธิ์ คนศรัทธา คนเหล่านี้ไม่ต้องการการโฆษณา ไม่ต้องพยายามที่จะบอกหรือพยายามแสดงตนว่าตนเป็นคนศักดิ์สิทธิ์ แต่ชีวิตของท่าน เราสามารถมองเห็นและรับรู้ได้เอง เหมือนกับพระเยซูเจ้าต้นแบบของนายชุมพาบาลที่ดี ซึ่งเราทุกคนต้องแสวงหา และฝากชีวิตของเราไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์

คพ.วิทยา

วันจันทร์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 4 พฤษภาคม 2014

พี่น้องที่รัก
            เมื่ออาทิตย์ที่แล้วพี่น้องหลายท่านคงได้ติดตามรับชมการถ่ายทอดสดพิธีประกาศสถาปนานักบุญ ยอห์นที่ 23 และ นักบุญยอห์นปอลที่ 2 พระสันตะปาปากันไปแล้ว คงจะได้เห็นภาพที่น่าประทับใจกับพิธีกรรมที่จัดขึ้นที่ลานหน้าพระวิหารนักบุญเปโตรไปแล้ว วันนี้พ่ออยากเก็บเอาประเด็นสำคัญๆที่เกิดขึ้นมาเล่าสู่กันฟังสักหน่อย ประการแรก จำนวนผู้แสวงบุญที่เดินทางเข้ามาร่วมพิธีมีจำนวนมากมายจริงๆ เพราะเอ่อล้นไปถึงบริเวณริมแม่น้ำไทเบอร์ หลายคนกะประมาณว่า น่าจะมีจำนวนผู้มาร่วมงานถึง 1 ล้านคนเลย ในจำนวนนี้มีบุคคลสำคัญที่เป็นตัวแทนจากประเทศต่างมากกว่า 100 ประเทศ ในระดับกษัตริย์ก็มีจาก ประเทศเสปน เบลเยี่ยม ลิกเตนไสตน์ ลักแซมเบิร์ก และผู้นำประเทศต่างๆอีกหลายท่าน รวมไปถึง ผู้ได้รับอัศจรรย์หายจากโรคสองท่าน โดยการวอนขอผ่านทางนักบุญยอห์นปอลที่สอง คือ ฟลอรีเบท โมราดีอาส และ ซิสเตอร์ อเดล ลาบีอังกา
            เรามีโอกาสได้เห็นภาพของพระสันตะปาปาสี่พระองค์ในงานพิธีสถาปนานักบุญครั้งนี้ นั่นคือ นักบุญพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 นักบุญพระสันตะปาปายอห์นปอลที่สอง พระสันตะปาปากิตติคุณ เบเนดิกต์ และ พระสันตะปาปาฟรังซิส นอกจากนี้ยังมีพระคาร์ดินัลอีกกว่า 150 ท่านที่มาร่วมในพิธี พระสังฆราชจำนวนมาก และ พระสงฆ์อีกหลายพันองค์ พิธีเริ่มด้วย พระคาร์ดินัล แองเจโล อมาโต ร้องขอให้พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้จารึกชื่อของบุญราศีพระสันตะปาปาทั้งสองท่านในสารบบนักบุญ หลังจากนั้นก็มีการนำพระธาตุของนักบุญทั้งสองท่านมาแสดงต่อพระสันตะปาปา พระธาตุของพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 เป็นชิ้นส่วนของผิวหนังซึ่งนำออกมาจากพระศพของพระองค์ในช่วงของการประกาศพระองค์เป็นบุญราศี ในส่วนของนักบุญพระสันตะปาปายอห์นปอลที่สองเป็นเลือดของพระองค์ที่ได้รับการเก็บรักษาไว้ในช่วงที่พระองค์เจ็บป่วยรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล
         หลังจากนั้นพิธีมิสซาก็ดำเนินไปอย่างสง่างาม พระสันตะปาปาฟรังซิส ได้ให้บทเทศน์ที่น่าประทับใจ และสรุปว่า ขอให้นักบุญใหม่ทั้งสอง ผู้เคยดำรงตำแหน่งเป็นผู้เลี้ยงดูฝูงแกะของพระเจ้า ได้เสนอวิงวอนเพื่อพระศาสนจักร เพื่อว่าพระศาสนจักรจะได้เปิดรับพระจิตเจ้าในงานอภิบาลด้านครอบครัว และ ขอท่านนักบุญโปรดสอนเราให้ครองตนอยู่ในคุณงามความดี และมีเมตตา รู้จักให้อภัย และ รักกันและกันเสมอ
  
            เมื่อพิธีบูชาขอบพระคุณจบลง พระสันตะปาปาฟรังซิส เสด็จโดยรถยนต์ที่เรียกกันว่า โป๊ปโมบาย ออกทักทายและอวยพรผู้แสวงบุญทั่วลานพระวิหาร และ ตรงออกไปตามถนนที่มุ่งไปยังแม่น้ำไทเบอร์ด้วย
            ภาพที่น่าประทับใจเหล่านี้คงตราตรึงอยู่ในใจของเราไปอีกนานแสนนาน แม้ว่าใจของผู้คนมากมายอยากจะไปอยู่ร่วมสัมผัสเหตุการณ์นี้ด้วยตัวเองก็ตาม แต่ครั้นเมื่อประเมินดูแล้ว นอนดูการถ่ายทอดสดทางโทรทัศน์อยู่ที่บ้านสบายกว่าเยอะครับ

พ่อสุพจน์
....................................................................................................................................
วันอาทิตย์สัปดาห์ที่ 3
เทศกาลปัสกา
วันนี้สานุศิษย์ของพระเยซูเจ้าสองคน คนหนึ่งชื่อ เคลโอปัส อีกคนหนึ่งไม่ทราบชื่อ เดินทางไปยังเมืองเอมมาอูส เมืองเล็กๆ ที่อยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของกรุงเยรูซาเล็มประมาณ 11 กิโลเมตร ศิษย์สองคนนี้กำลังหัวใจสลาย ผิดหวัง สิ้นหวัง เพราะพระเยซูเจ้าต้องตายอย่างทรมานและน่าอดสู แทนที่จะเป็นกษัตริย์อย่างที่พวกเขาคาดคิดไว้ เขาไม่อยากอยู่ในเมือง ที่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เพราะความกลัว เลยตัดสินใจเดินทางไปที่อื่น จนกระทั่งมีชายแปลกหน้ามาร่วมเดินทางด้วย ชายแปลกหน้าคนนี้ได้มาอธิบายพระคัมภีร์ให้พวกเขาเข้าใจ พร้อมทั้งได้ทานอาหารด้วยกัน และอาหารมื้อนั้นเอง ทำให้พวกเขาจำพระองค์ พระเยซูเจ้าได้
พระวาจาของพระเจ้าในวันนี้ เป็นข้อคิดให้กับเราอย่างดี ถึงเรื่องของพระเยซูเจ้า ที่พระองค์ทรงเดินเคียงข้างกับศิษย์สองคนไปยังหมู่บ้านเอมมาอูส ศิษย์อยู่ในความเศร้า หมดหวัง แต่พระเยซูเจ้าทรงเตือนสติพวกเขา ด้วยการอธิบายพระคัมภีร์ และการบิขนมปังของพระองค์ ทำให้ศิษย์จำพระองค์ได้ จิตใจของเขาจึงมีความเร่าร้อน มีกำลังใจ และเปี่ยมไปด้วยความหวัง

ดังนั้น สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตของเราก็คือ องค์พระเยซูเจ้า เราต้องมีพื้นที่หัวใจของเราในการรับพระองค์เข้ามาอยู่ในดวงใจเรา พระองค์ทรงเป็นความหวังสำหรับผู้ที่หมดหวัง และเป็นผู้ที่ทำให้เราชื่นชมยินดีและเบิกบานใจ หลายครั้งความยากลำบากในชีวิต ทำให้เราจำพระเยซูเจ้าไม่ได้ หรือเราเองอาจจะปิดหูปิดตา ไม่ยอมมองและฟังพระองค์ เราไม่ใส่ใจและไม่พร้อมเปิดหัวใจรับพระองค์หรือ.. ดังนั้น ขอให้เราได้เปิดตา เปิดดวงใจของเรา พร้อมที่จะให้พระองค์เข้ามาสู่ชีวิตของเราเสมอไป

“เพราะถ้าพระองค์อยู่เคียงข้างเราแล้ว เราไม่จำเป็นต้องกลัวสิ่งใดอีกต่อไป”
คพ.วิทยา