พี่น้องที่รัก
ตามที่พี่น้องทราบแล้วว่า วันพุธที่ 5 มีนาคม
ที่จะถึงนี้เป็นวันพุธรับเถ้า ซึ่งถือเป็นวันเริ่มต้นของช่วงเวลาในเทศกาลมหาพรต
ซึ่งมีระยะเวลาประมาณ 40 วัน
ก่อนการเฉลิมฉลองการเสด็จกลับคืนชีพของพระเยซูเจ้า หรือ การสมโภชปัสกา
สิ่งซึ่งเป็นข้อกำหนดให้เราคริสตชนได้ปฏิบัติเป็นพิเศษในวันพุธรับเถ้าคือ
การถือศีลอดอาหาร ซึ่งในทางปฏิบัติหมายถึง คริสตชนที่มีอายุครบ 14 ปีบริบูรณ์ต้องงดรับประทานเนื้อสัตว์ในวันดังกล่าว และ
คริสตชนที่มีอายุครบ 18 ปีบริบูรณ์ ไปจนถึงอายุครบ 60
ปีบริบูรณ์ต้องถือศีลอดอาหาร ซึ่งในทางปฏิบัติหมายความว่า
เราสมัครใจที่จะละเว้นจากการรับประทานอาหารตามปกติ เพื่อให้จิตใจที่เข้มแข็งสามารถควบคุมความปรารถนาฝ่ายร่างกายได้
ทั้งนี้ เราสามารถรับประทานอิ่มได้ 1 มื้อ
ส่วนมื้อที่เหลือให้ทานได้นิดหน่อย หรือ ถ้าเป็นไปได้ ก็ละเว้นจากการรับประทานเลย
การถือศีลอดอาหารนั้น ถือเป็นการทำกิจใช้โทษบาปอย่างหนึ่ง
ซึ่งเป็นจิตตารมณ์สำคัญของเทศกาลมหาพรต
มีความหมายว่าเราสมัครใจที่จะละเว้นจากการรับประทานอาหารซึ่งตามปกติแล้วเราจะรับประทานเป็นประจำ
อาทิ เรายินดีที่จะงดรับประทานขนม
ของว่างที่เรามักกินเล่นในระหว่างวันอยู่เป็นกิจวัตร หรือ
ในกรณีที่เราต้องการเข้าร่วมในการถือศีลอดอย่างจริงจัง ด้วยการงดรับประทานอาหารทั้งหมดในวันที่กำหนดไว้
แม้พระศาสนจักรมีข้อกำหนดให้คริสตชนถือศีลอดอาหาร และ อดเนื้อในวันพุธรับเถ้า และ
วันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ อยู่แล้วก็ตาม แต่ในเทศกาลมหาพรต
เราสามารถที่จะนำจิตตารมณ์การถือศีลอดมาปฏิบัติได้ตลอดเทศกาล เช่นเราตั้งใจว่า
ในทุกวันศุกร์ตลอดเทศกาลนี้ เราจะงดรับประทานเนื้อสัตว์ หรือ
ตลอดเทศกาลนี้เราจะงดรับประทานไอศครีม ขนม หรือ งดดื่มน้ำอัดลม เป็นต้น
สิ่งซึ่งพระศาสนจักรแนะให้เราได้ฝึกฝนปฏิบัติในช่วงเทศกาลมหาพรตนี้เป็นพิเศษได้แก่
การสวดภาวนา การถือศีลอดอาหาร การทำบุญบริจาคให้ทาน ทั้งนี้เพื่อเป็นโอกาสให้เราได้ฝึกการควบคุมกิเลสและความปรารถนาฝ่ายร่างกาย
โดยอาศัยการใช้โทษมลทินบาปในดวงวิญญาณด้วยการสวดภาวนา และ
การละเว้นจากการรับประทาน หรือ เสพความอยากต่างๆ
โดยสะสมรวบรวมเงินที่เก็บได้จากการละเว้นจากการบริโภคตามความอยากของเราไว้
เพื่อมอบให้กับผู้ที่ขัดสนกว่าเรา
และถ้าเราปฏิบัติในข้อแนะนำของพระศาสนจักรทั้งสามประการแล้ว ก็จะทำให้ช่วงเวลาของเทศกาลมหาพรตผ่านไปอย่างมีคุณค่ายิ่งสำหรับชีวิตวิญญาณของเรา
คุณพ่อ สุพจน์
...............................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลเจิมผู้ป่วยมีผลอย่างไร
ผู้ป่วยจำนวนมากมีความกลัวศีลเจิมผู้ป่วย
หรือที่สมัยก่อนเรียกศีลนี้ว่า “ศีลทาสุดท้าย” โดยมักจะผัดผ่อนไปจนนาทีสุดท้าย
กว่าจะตัดสินใจเชิญพระสงฆ์มา
เพราะพวกเขาอาจคิดว่าเป็นเหมือนคำตัดสินให้ถึงแก่ความตาย
ใครที่ได้รับศีลนี้แล้วก็ต้องตายกันทุกคน แต่ความจริงตรงกันข้าม
ศีลเจิมผู้ป่วยเป็นเหมือนการประกันชีวิต ไม่ว่าจะต้องจากโลกนี้ไป
หรือมีชีวิตอยู่ต่อก็จะได้รับพระหรรษทานจากพระองค์ นี่เองจึงไม่มีสิ่งใดสำคัญกับผู้ป่วยในขณะนี้มากไปกว่าการจะได้รับพระเยซูเจ้าโดยทันที
และปราศจากเงื่อนไขใดๆ อีกแล้ว เพราะพระองค์คือผู้ที่เคยชนะความตายมาแล้ว
และสามารถทำให้ทุกคนมีชีวิตอันนิรันดรได้
บางครั้งการที่เราต้องเจ็บป่วย
ก็เพื่อตระหนักอย่างแท้จริงว่า ไม่ว่าเราจะมีสุขภาพดีหรือเจ็บป่วย
สิ่งที่เราต้องการมากกว่าสิ่งใดก็คือพระเจ้า เรามีชีวิตได้ก็ในพระองค์เท่านั้น
ด้วยเหตุนี้ ทั้งคนเจ็บและคนบาป ต่างมั่นใจว่ามีแต่พระเยซูเจ้าเท่านั้น
ที่มีพระเมตตา และสามารถรักษาพวกเขาทั้งร่างกายและวิญญาณได้
พิธีกรรมที่จำเป็นของการโปรดศีลนี้ ประกอบด้วยการเจิมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์บนหน้าผาก
และที่มือทั้งสองข้าง พร้อมกับการสวดภาวนาของพระสงฆ์ ผู้ป่วยจะได้รับพระหรรษทาน
และมีพละกำลังในการต่อสู้ ทั้งด้านร่างกายและจิตใจ
และหากนี่คือระยะสุดท้ายของชีวิต ในทุกกรณี
ศีลเจิมผู้ป่วยนี้ก็มีผลในการให้อภัยบาปด้วย
บุคคลหนึ่งสามารถรับศีลเจิมผู้ป่วยได้หลายครั้งในชีวิต
บางครั้งอาจเป็นคนหนุ่มสาวที่ขอรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการนี้
ซึ่งมีเหตุผลสมควรเช่นต้องเข้ารับการผ่าตัดใหญ่ ในสถานการณ์เช่นนี้
คริสตชนทุกคนที่คิดว่าตนอยู่ในสถานะวิกฤต
และปรารถนาไปพบพระเจ้าด้วยมโนธรรมที่บริสุทธิ์
สามารถสารภาพบาปพร้อมกับรับศีลเจิมผู้ป่วยได้ หากกรณีการผ่าตัดเกิดล้มเหลว
“การเอาใจใส่ดูแลผู้ป่วย ต้องมีความสำคัญเหนือสิ่งอื่นใด พวกเขาควร
ได้รับการปรนนิบัติประหนึ่งว่าเป็นองค์พระคริสตเจ้าอย่างแท้จริง”
St.
Benedict of Nursia (480-547)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น