วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 12 มกราคม 2014

พี่น้องที่รัก
            "เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า" พ่อไม่แน่ใจว่าประโยคดังกล่าว เคยถูกใช้เป็นคำขวัญวันเด็กในปีไหน แต่เมื่อฟังดูแล้วก็คุ้นๆหูอยู่พอสมควร โอกาสวันเด็กปีนี้ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 12 มกราคม พ่อเลยอยากกล่าวถึงเรื่องเด็กๆสักหน่อย วัยเด็กเป็นวัยที่สดใส ร่าเริง สนุกสนาน ช่วงเวลาในวัยเด็กเป็นช่วงเวลาของการอบรม บ่มนิสัย ปลูกฝัง ทั้งทางด้าน ความรู้ การฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นฐาน และ รากฐานที่สำคัญของชีวิตในภายภาคหน้า ด้วยเหตุนี้การเอาใจใส่อบรม ฝึกฝนเด็กในด้านต่างๆจึงเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวพึงให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ สิ่งที่พ่ออยากกล่าวเน้นเป็นพิเศษก็คือการให้แบบอย่างและฝึกฝนเด็กๆให้รู้วิธีและหลักปฏิบัติทางศาสนาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม  พ่อแม่จึงสวมบทบาทของการเป็นครูคำสอนคนแรกของเด็กๆ สอนให้เขารู้จักการทำเครื่องหมายกางเขน สอนให้เขารู้จักสวดภาวนาแบบง่ายๆ ใช้ถ้อยคำง่ายๆที่เด็กสามารถเข้าใจ และไม่ต้องใช้ถ้อยคำยืดยาว สอนให้เด็กรู้จักการสวดภาวนาก่อนเข้านอน สอนให้เด็กรู้จักสวดภาวนาในเวลาตื่นนอน ฯลฯ
            อีกเรื่องหนึ่งที่พ่อเห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ คือเรื่องการใช้โทรศัพท์ในระหว่างพิธีบูชาขอบพระคุณ เดี๋ยวนี้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่มาแย่งเอาสมาธิ และ เวลาที่เราจะอุทิศเพื่อการสวดภาวนาและการฟังพระวาจาของพระเจ้าไปเสีย เมื่อผู้ใหญ่กระทำโดยขาดความยั้งคิด เด็กๆเมื่อเห็นแบบอย่างก็อาจคิดเอาตามประสาเด็กว่า การปฏิบัติเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เขากระทำได้ เพราะเห็นใครๆเขาก็ทำกัน ดังนี้เองความเข้าใจของเด็กๆก็จะเบี่ยงเบนห่างออกไปจากการปฏิบัติที่ถูกต้องไปได้
            การปลูกฝัง ถ่ายทอด มรดกทางความเชื่อ จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนพึงกระทำด้วยความเอาใจใส่ มีคำกล่าวว่า "การกระทำมีเสียงดังกว่าคำพูด" นั่นหมายความว่า แบบอย่างที่ดี มีอิทธิพลต่อผู้อื่นมากกว่าที่จะ อบรมว่ากล่าวด้วยคำพูดแต่เพียงอย่างเดียว วันนี้พ่อจึงขอสรุปเอาง่ายๆว่า ผู้ใหญ่ในวันนี้ พึงแสดงแบบอย่างที่ดีที่ถูกต้องให้กับเด็กในวันนี้ด้วย เพื่อว่า ผู้ใหญ่ในวันหน้า ซึ่งจะเติบโตจากเด็กในวันนี้ จะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพคับแก้ว และสามารถที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดแบบอย่างที่ดีที่เหมาะสมให้กับคนรุ่นต่อๆไป
คุณพ่อ สุพจน์
................................................................................................. 
เราเชื่ออะไร
ศีลล้างบาปเป็นหนทางรอดทางเดียวไหม

สำหรับทุกคนที่ได้รับพระวรสาร และได้รู้ว่า พระคริสตเจ้าทรงเป็น “หนทาง ความจริง และชีวิต” ศีลล้างบาปถือเป็นหนทางเดียวสู่พระเจ้า และการช่วยให้รอดพ้น อันก่อให้เกิดการเริ่มต้นมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตลอดไป
ศีลล้างบาป ถือเป็นประตูสำคัญเข้าสู่พระศาสนจักร และเป็นดังรากฐานของศีลศักดิ์สิทธิ์ ที่จำเป็นต้องได้รับก่อนจะรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการอื่น โดยปกติ จะมีการเทน้ำสามครั้งบนศีรษะของผู้สมัคร ขณะที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าล้างท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระจิต” น้ำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้าง และการมีชีวิตใหม่ ผู้รับศีลล้างบาป จึงเหมือนเป็นอิสระแล้วจากอำนาจของบาปกำเนิด และบาปส่วนตัวทุกประการ และได้ถูกรวมเข้ากันกับพระเยซูเจ้า  มีชีวิตใหม่ในพระองค์ และที่สุดจะได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดรพร้อมกับพระองค์ด้วย
พระพรจากศีลล้างบาปจะทำให้ผู้ได้รับกลายเป็นคนใหม่ และเป็นดังสมาชิกที่มีชีวิตในพระกายของพระคริสตเจ้า เป็นพี่น้องชายหญิงของพระผู้ไถ่บาป และจึงเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย สิ่งจำเป็นประการเดียวก่อนการรับศีลล้างบาป คือ ความเชื่อซึ่งต้องประกาศยืนยันต่อที่ชุมชนในพิธีศีลล้างบาป

อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่ว่าพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคน และพระองค์ก็มิได้ทรงขึ้นอยู่กับศีลศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น ในสถานที่ที่พระศาสนจักรยังไม่ปรากฎ หรือยังเข้าไม่ถึง ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องพระคริสตเจ้า แต่ดำเนินชีวิตตามมโนธรรม แสวงหาพระด้วยความจริงใจ ก็จะได้รับการช่วยให้รอดพ้นเช่นกัน เพราะพระเจ้าสามารถวางเส้นทางอื่นสำหรับนำประชากรไปสู่ความรอดพ้นได้
“บัดนี้ ชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า และไม่เป็นของเราเองอีกต่อไป ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เมื่อเรามีพระองค์อยู่เคียงข้าง ทุกหนแห่งที่เราต้องไป พระองค์จะทรงเป็นชีวิตของเรา"
                           สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น