พี่น้องที่รัก
"เด็กในวันนี้ คือผู้ใหญ่ในวันหน้า" พ่อไม่แน่ใจว่าประโยคดังกล่าว
เคยถูกใช้เป็นคำขวัญวันเด็กในปีไหน แต่เมื่อฟังดูแล้วก็คุ้นๆหูอยู่พอสมควร
โอกาสวันเด็กปีนี้ซึ่งตรงกับวันเสาร์ที่ 12 มกราคม
พ่อเลยอยากกล่าวถึงเรื่องเด็กๆสักหน่อย วัยเด็กเป็นวัยที่สดใส ร่าเริง สนุกสนาน
ช่วงเวลาในวัยเด็กเป็นช่วงเวลาของการอบรม บ่มนิสัย ปลูกฝัง ทั้งทางด้าน ความรู้
การฝึกปฏิบัติ เพื่อสร้างพื้นฐาน และ รากฐานที่สำคัญของชีวิตในภายภาคหน้า
ด้วยเหตุนี้การเอาใจใส่อบรม
ฝึกฝนเด็กในด้านต่างๆจึงเป็นสิ่งที่ทุกครอบครัวพึงให้ความใส่ใจเป็นพิเศษ
สิ่งที่พ่ออยากกล่าวเน้นเป็นพิเศษก็คือการให้แบบอย่างและฝึกฝนเด็กๆให้รู้วิธีและหลักปฏิบัติทางศาสนาอย่างถูกต้องตั้งแต่แรกเริ่ม
พ่อแม่จึงสวมบทบาทของการเป็นครูคำสอนคนแรกของเด็กๆ
สอนให้เขารู้จักการทำเครื่องหมายกางเขน สอนให้เขารู้จักสวดภาวนาแบบง่ายๆ
ใช้ถ้อยคำง่ายๆที่เด็กสามารถเข้าใจ และไม่ต้องใช้ถ้อยคำยืดยาว สอนให้เด็กรู้จักการสวดภาวนาก่อนเข้านอน
สอนให้เด็กรู้จักสวดภาวนาในเวลาตื่นนอน ฯลฯ
อีกเรื่องหนึ่งที่พ่อเห็นแล้วก็ไม่ค่อยสบายใจ
คือเรื่องการใช้โทรศัพท์ในระหว่างพิธีบูชาขอบพระคุณ
เดี๋ยวนี้โทรศัพท์แบบสมาร์ทโฟนกลายเป็นอุปสรรคสำคัญที่มาแย่งเอาสมาธิ และ
เวลาที่เราจะอุทิศเพื่อการสวดภาวนาและการฟังพระวาจาของพระเจ้าไปเสีย
เมื่อผู้ใหญ่กระทำโดยขาดความยั้งคิด
เด็กๆเมื่อเห็นแบบอย่างก็อาจคิดเอาตามประสาเด็กว่า
การปฏิบัติเช่นนั้นเป็นสิ่งที่เขากระทำได้ เพราะเห็นใครๆเขาก็ทำกัน
ดังนี้เองความเข้าใจของเด็กๆก็จะเบี่ยงเบนห่างออกไปจากการปฏิบัติที่ถูกต้องไปได้
การปลูกฝัง ถ่ายทอด มรดกทางความเชื่อ
จึงเป็นสิ่งที่ผู้ใหญ่ทุกคนพึงกระทำด้วยความเอาใจใส่ มีคำกล่าวว่า "การกระทำมีเสียงดังกว่าคำพูด" นั่นหมายความว่า
แบบอย่างที่ดี มีอิทธิพลต่อผู้อื่นมากกว่าที่จะ
อบรมว่ากล่าวด้วยคำพูดแต่เพียงอย่างเดียว วันนี้พ่อจึงขอสรุปเอาง่ายๆว่า ผู้ใหญ่ในวันนี้
พึงแสดงแบบอย่างที่ดีที่ถูกต้องให้กับเด็กในวันนี้ด้วย เพื่อว่า ผู้ใหญ่ในวันหน้า
ซึ่งจะเติบโตจากเด็กในวันนี้ จะได้เป็นผู้ใหญ่ที่มีคุณภาพคับแก้ว
และสามารถที่จะเป็นผู้ถ่ายทอดแบบอย่างที่ดีที่เหมาะสมให้กับคนรุ่นต่อๆไป
คุณพ่อ สุพจน์
.................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ศีลล้างบาปเป็นหนทางรอดทางเดียวไหม
สำหรับทุกคนที่ได้รับพระวรสาร และได้รู้ว่า
พระคริสตเจ้าทรงเป็น “หนทาง ความจริง และชีวิต” ศีลล้างบาปถือเป็นหนทางเดียวสู่พระเจ้า และการช่วยให้รอดพ้น
อันก่อให้เกิดการเริ่มต้นมีความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวกันกับพระเจ้าตลอดไป
ศีลล้างบาป
ถือเป็นประตูสำคัญเข้าสู่พระศาสนจักร และเป็นดังรากฐานของศีลศักดิ์สิทธิ์
ที่จำเป็นต้องได้รับก่อนจะรับศีลศักดิ์สิทธิ์ประการอื่น โดยปกติ
จะมีการเทน้ำสามครั้งบนศีรษะของผู้สมัคร ขณะที่กล่าวว่า “ข้าพเจ้าล้างท่านในพระนามของพระบิดา
พระบุตร และพระจิต” น้ำนั้นเป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้าง
และการมีชีวิตใหม่ ผู้รับศีลล้างบาป จึงเหมือนเป็นอิสระแล้วจากอำนาจของบาปกำเนิด
และบาปส่วนตัวทุกประการ และได้ถูกรวมเข้ากันกับพระเยซูเจ้า มีชีวิตใหม่ในพระองค์
และที่สุดจะได้เข้าสู่ชีวิตนิรันดรพร้อมกับพระองค์ด้วย
พระพรจากศีลล้างบาปจะทำให้ผู้ได้รับกลายเป็นคนใหม่
และเป็นดังสมาชิกที่มีชีวิตในพระกายของพระคริสตเจ้า
เป็นพี่น้องชายหญิงของพระผู้ไถ่บาป และจึงเป็นบุตรของพระเจ้าด้วย
สิ่งจำเป็นประการเดียวก่อนการรับศีลล้างบาป คือ
ความเชื่อซึ่งต้องประกาศยืนยันต่อที่ชุมชนในพิธีศีลล้างบาป
อย่างไรก็ตามเป็นความจริงที่ว่าพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์เพื่อมนุษย์ทุกคน
และพระองค์ก็มิได้ทรงขึ้นอยู่กับศีลศักดิ์สิทธิ์ ดังนั้น
ในสถานที่ที่พระศาสนจักรยังไม่ปรากฎ หรือยังเข้าไม่ถึง
ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้เรียนรู้เรื่องพระคริสตเจ้า แต่ดำเนินชีวิตตามมโนธรรม
แสวงหาพระด้วยความจริงใจ ก็จะได้รับการช่วยให้รอดพ้นเช่นกัน
เพราะพระเจ้าสามารถวางเส้นทางอื่นสำหรับนำประชากรไปสู่ความรอดพ้นได้
“บัดนี้ ชีวิตของเราเป็นของพระเจ้า และไม่เป็นของเราเองอีกต่อไป
ไม่มีสิ่งใดต้องกลัว เมื่อเรามีพระองค์อยู่เคียงข้าง ทุกหนแห่งที่เราต้องไป
พระองค์จะทรงเป็นชีวิตของเรา"
สมเด็จพระสันตะปาปา
เบเนดิกต์ที่ 16
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น