วันศุกร์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 29 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            วันคริสต์มาสก็ผ่านไปหลายวันแล้ว แต่ความรู้สึกแห่งความชื่นชมยินดียังมิจางหาย เพราะเทศกาลนี้คือเทศกาลแห่งความสุข บรรยากาศ แสงไฟประดับ กล่องของขวัญ เสียงเพลงไพเราะ คำอวยพร ช่างผสมกลมกลืนเข้ากันอย่างลงตัว นำพาให้หัวใจพองโต เพิ่มพลังให้กับชีวิตพร้อมจะก้าวไปข้างหน้าอีกปีหนึ่ง ระหว่างช่วงคริสต์มาส พ่อกับคุณพ่อปลัดทั้งสอง ซิสเตอร์ มาเซอร์และ บรรดานักขับร้อง พลมารี ได้มีโอกาส นำพระกุมารออกไปอวยพรและ ร้องเพลงคริสต์มาสแครอล ตามบ้านสัตบุรุษที่อยู่ไม่ไกลจากวัด พ่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เปี่ยมไปด้วยความเชื่อ ผสมผสานกับความชื่นชมยินดีของเจ้าบ้านที่มีโอกาสได้รับพรจากพระกุมาร เป็นประดุจของขวัญที่มีค่าที่สุด ยากจะหาสิ่งใดมาเทียบเคียงได้ เพราะ พระเยซูกุมาร เจ้าชายแห่งสันติ นำสันติสุข ความยินดี ความรัก และแสงสว่างจากพระเจ้ามาประทานให้ เทศกาลนี้ เราแต่ละคนคงได้รับของขวัญ จากเพื่อนฝูง ญาติสนิท มิตรสหายบ้าง ตามสมควร แต่พ่อมั่นใจว่า ของขวัญที่ประเสริฐสุดที่พระเจ้าประทานให้กับเรามนุษย์ คือ องค์พระกุมารเยซูที่มาบังเกิดท่ามกลางชาวเรา เพราะพระองค์ไม่ได้ให้สิ่งของที่จะเสื่อมสลายไปได้ แต่พระองค์ประทานชีวิตที่ไม่รู้จักตายให้กับเรา เป็นชีวิตที่จีรังยั่งยืน เป็นนิรันดร สำหรับเราทุกคน นี่แหละคือของขวัญล้ำค่าที่สุดของเรา
            อีกไม่กี่วันก็จะถึงปีหน้าฟ้าใหม่แล้ว แต่ละปีก็ผ่านไปรวดเร็ว ถ้าเราหันมาทบทวนดูช่วงเวลาตลอด 1 ปีที่ผ่านมาอย่างพินิจพิเคราะห์ เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่า พระเจ้าประทานพระพรให้กับเรา และ ครอบครัวของเรามากมาย เราจึงมีเหตุผลเพียงพอที่จะต้องขอบพระคุณพระเจ้าเสมอมิได้ขาด รวมทั้งวอนขอพระพรสำหรับวันเวลาที่จะมาถึงในช่วงปีใหม่อีกด้วยครับ พ่อขอถือโอกาสนี้ ส่งความสุข ความปรารถนาดีในปีใหม่นี้มายังพี่น้องทุกท่านด้วย ขอให้พี่น้อง ได้รับพรที่พี่น้องปรารถนา มีอายุมั่นขวัญยืน สุขภาพแข็งแรง ไม่มีโรคภัยเบียดเบียน คิดหวังสิ่งใดให้สมปรารถนาทุกประการเทอญ
            สวัสดีปีใหม่ พ.. 2557 ครับ


คุณพ่อ สุพจน์
..........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมเรียกพระนางมารีย์ว่า “มารดาพระเจ้า”

แม้ว่าจะมีการค้นพบเอกสารอันเก่าแก่ในช่วงต้นศตวรรษที่ 3 ซึ่งในนั้นบันทึกบทภาวนา “โอ้พระชนนีของพระเจ้า” เอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าคำสอนเรื่องความเป็นพระเจ้าแท้ของพระเยซูเจ้านั้นเป็นที่ถกเถียงกันในพระศาสนจักรยุคแรกอย่างมาก โดยเฉพาะในศตวรรษที่ 3-4 ที่มีปัญหา และมีการต่อสู้กันอย่างหนักเพื่อจะรักษาความเชื่อเกี่ยวกับรหัสธรรมแห่งพระบุคคลของพระเยซู คริสตเจ้าไว้ว่าพระองค์มีความเป็นพระเจ้าแท้จริง เหมือนและเท่าเสมอกับพระบิดาของพระองค์ และทรงเป็นมนุษย์แท้ในเวลาเดียวกันด้วย
หนึ่งในบุคคลที่ถือว่ามีบทบาทสำคัญคนหนึ่งที่ออกมาปกป้องคำสอนเรื่องนี้ก็คือ นักบุญ ซีริล แห่งเมืองอเล็กซานเดรีย ท่านไม่พอใจที่มีผู้มาสอนว่า พระนางมารีย์สามารถเป็นมารดาของพระเยซูในฐานะที่เป็นมนุษย์เท่านั้น แต่ไม่อาจเป็นมารดาของพระองค์ในฐานะเป็นพระเจ้าได้ ที่สุดในปี 431 เพื่อยุติข้อโต้แย้ง และคำสอนที่ผิดหลงนี้ นำมาซึ่งสังคายนาแห่งเมืองเอเฟซัส เพื่อยืนยันว่า พระนางมารีย์ทรงถือเป็นดังพระมารดาของพระเจ้า (Theotokos) พระนางมิได้เพียงแค่ให้กำเนิดชายผู้หนึ่ง ซึ่งภายหลังการเกิดได้กลายเป็นพระเจ้า แต่ พระเยซูนั้นทรงเป็นพระบุตรแท้ของพระเจ้าตั้งแต่อยู่ในครรภ์ของพระนางแล้ว
แน่นอนว่าพระนางมารีย์ทรงเป็นมนุษย์ และเป็นดังลูกหลานของอาดัม เอวา พระนางจึงเป็นหนึ่งในบรรดาผู้ที่ต้องการความรอดของการไถ่กู้จากองค์พระคริสตเจ้าด้วย พระนางจึงถือเป็นสมาชิกคนหนึ่ง และเป็นแบบอย่างที่ดีที่สุดของพระศาสนจักร จึงสมควรที่พระศาสนจักรจะได้ให้เกียรติ์แด่พระนางในฐานะทรงเป็นมารดาที่น่ารักยิ่งของสมาชิกทุกคน และได้กำหนดให้ทุกวันที่ 1 มกราคมของทุกปี เป็นวันฉลองพระนางมารีย์ พระชนนีพระเจ้า เพื่อยืนยันความเป็นพระเจ้าแท้ มนุษย์แท้ของพระเยซูเจ้า
“ผู้ใดก็ตามที่เรียกพระนางมารีย์ว่าเป็นมารดาพระเจ้า เขาก็ยืนยันว่าพระบุตรของพระนางเป็นพระเจ้าด้วย”
                                           นักบุญซีริล แห่งอเล็กซานเดรีย (370-444

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            มีเรื่องน่ายินดีที่จะเล่าสู่กันฟัง คือเมื่อประมาณสองสัปดาห์ที่ผ่านมา นิตยสารไทม์แมกกาซีน ซึ่งเป็นนิตยสารที่มีชื่อเสียงและมีอิทธิพลต่อสังคมอย่างสูงฉบับหนึ่งของประเทศสหรัฐอเมริกา ได้ประกาศว่า สมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส ได้รับเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปี ประจำปี ค.. 2013 ของนิตยสารฉบับดังกล่าว เหตุผลที่นิตยสารฉบับดังกล่าวให้ไว้คือ "พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่ติดดิน พระองค์นำองค์กรพระศาสนจักรที่ใหญ่ที่สุดนี้ให้อุทิศตนด้วยการเผชิญกับปมปัญหาต่างๆบนพื้นฐานของความเมตตาเพื่อรักษาดุลยภาพในการอยู่ร่วมกันไว้บรรณาธิการบริหารของนิตยสารฉบับนี้ ให้ความเห็นเพิ่มเติมอีกว่า "พระองค์เลือกนามของนักบุญฟรังซิส ซึ่งเป็นนักบุญที่สุภาพถ่อมตนมาเป็นพระนามของพระองค์ และ ประกาศว่าพระศาสนจักรมีหน้าที่ในการเยียวยารักษาบาดแผลเรื้อรังต่างๆ"
            วาติกัน ดูเหมือนจะไม่ตื่นเต้นนักกับข่าวใหญ่นี้ คุณพ่อ เฟเดริโก ลอมบาร์ดี โฆษกของสำนักวาติกันกล่าวว่า "พระสันตะปาปาไม่ได้ปรารถนาจะได้รับการยกย่องให้เกียรติเป็นพิเศษแต่อย่างใด เพราะพระองค์ไม่ได้ต้องการเป็นผู้มีชื่อเสียงด้วยการยกย่องให้เกียรติเหล่านี้ แต่ถ้าการได้รับการเลือกให้เป็นบุคคลแห่งปีจะเป็นหนทางช่วยให้การประกาศข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเผยแผ่ไปยังทุกๆคนในโลกได้ พระสันตะปาปาก็คงจะทรงพอพระทัยเกี่ยวกับเรื่องนี้"
            ด้วยเวลาเพียง 9 เดือนเท่านั้น ที่พระสันตะปาปาฟรังซิส ขึ้นทำหน้าที่เป็นผู้นำพระศาสนจักรคาทอลิก  พระองค์ทำอะไรเล่าถึงได้รับการยอมรับจากผู้คนพ่อเชื่อว่า เหตุผลต่างๆต่อไปนี้คงจะพอช่วยให้เราเข้าใจว่าอะไรคือเหตุผลที่ทำให้พระองค์ได้รับเลือกเป็นบุคคลแห่งปี
            1. พระองค์อาจเป็นพระสันตะปาปาที่ทันสมัยที่สุดในประวัติศาสตร์ ที่ใช้ทวิตเตอร์ในการแสดงสถานะของพระองค์เอง ด้วยการโพสต์ภาพถ่ายของพระองค์ และมีผู้ติดตามมากมาย นอกจากนี้พระองค์ยังไม่ทิ้งวิธีการสื่อสารแบบเดิมๆด้วยการโทรศัพท์ไปหาบุคคลบางคนด้วยพระองค์เอง
            2. พระองค์สื่อสารถึงมุสลิมทั่วโลก เมื่อจบเทศกาลถือศีลอดของชาวอิสลาม พระองค์ทรงมีสาส์นถึงชาวมุสลิมเพื่อร้องขอให้ชาวมุสลิมและชาวคริสต์ร่วมมือกันช่วยกันสร้างความเข้าใจที่ดีต่อกันโดยผ่านทางการศึกษาอบรม
            3. พระองค์ ให้เกียรติและทรงฟังความเห็นของบุคคลที่แม้แต่จะต่อต้านเรื่องความเชื่อในพระเจ้า
            4. พระองค์แสดงจุดยืนของพระศาสนจักรในเรื่องกลุ่มคนรักร่วมเพศว่า ถ้ามีใครสักคนที่เป็นเกย์ แต่เขายังเชื่อในพระเจ้าและเป็นคนดี ข้าพเจ้าเป็นใครที่จะไปตัดสินคนเหล่านี้เล่า
            5. พระสันตะปาปาเป็นผู้สมถะ ดำรงชีวิตเรียบง่าย ไม่ถือพระองค์ ปฏิเสธที่จะพำนักในพระราชวังวาติกัน พระองค์พำนักอยู่ในห้องที่แสนจะธรรมดา ที่บ้านพักรวมของพระสงฆ์ที่ชื่อว่า ซานตามาร์เธ ในระหว่างที่ดำรงตำแหน่งพระคาร์ดินัล ก็ไม่ได้เดินทางไปไหนมาไหนด้วยรถยนต์ใหญ่โต แต่ ใช้รถเมล์ รถใต้ดิน และ รถยนต์เรโนลต์เก่าๆที่มีพระสงฆ์องค์หนึ่งยกให้
            คงมีเหตุผลอีกมากมายที่สามารถจะยกมากล่าวถึงความเหมาะสมว่าทำไม นิตยสารไทม์แมกกาซีนถึงได้เลือกที่จะยกตำแหน่งบุคคลแห่งปีให้กับพระสันตะปาปา เพราะสิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือ พระสันตะปาปาพระองค์นี้มีบุคคลิกภาพที่น่ารัก เข้าถึงง่าย และเป็นมิตรกับผู้คนทุกเพศทุกวัย และ มีปฏิภาณไหวพริบต่อปัญหาท้าทายพระศาสนจักรที่เกิดขึ้นอย่างฉับพลันรวดเร็ว ขอบพระคุณพระเจ้าที่โปรดทรงประทานพระสันตะปาปาที่น่ารักเช่นนี้ให้มาเป็นผู้นำพระศาสนจักรของพระองค์


คุณพ่อ สุพจน์
................................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระนางมารีย์มีบุตรคนอื่นๆ นอกจากพระเยซูเจ้าหรือไม่

แม้พระศาสนจักรตั้งแต่สมัยแรกถูกเย้ยหยันในเรื่องความเชื่อที่ว่า พระนางมารีย์เป็นพรหมจารี แต่พระศาสนจักรยังคงเชื่ออยู่เสมอว่า ความเป็นพรหมจารีของพระนางเป็นความจริง มิใช่เป็นเพียงตำนานเทพ หรือนิยายชวนศรัทธา แต่เป็นเรื่องสำคัญสำหรับชีวิตของพระเยซูเจ้า พระองค์ทรงบังเกิดจากสตรีผู้หนึ่งที่เป็นมนุษย์ แต่ต้องไม่ใช่จากบิดาที่เป็นมนุษย์ นักบุญมัทธิวเริ่มต้นพระวรสารของตนด้วยการลำดับเชื้อพระวงศ์ของพระเยซูเจ้า เพียงเพราะต้องการเรียงเรื่องกำเนิดของพระเยซูเจ้าไว้ให้ถูกที่ เพราะผ่านทางนักบุญยอแซฟ บิดาทางนิตินัยนี้ พระเยซูเจ้าจึงทรงเป็นสมาชิกของราชวงศ์กษัตริย์ดาวิด แต่พระองค์ทรงมาจากเบื้องบน จากการปฏิสนธิเดชะพระจิตเจ้า จึงมิได้ทรงบังเกิดจากบุรุษคนใดคนหนึ่ง
ความเป็นพรหมจรรย์ตลอดกาลของพระนางมารีย์นี้ ได้รับการยอมรับกันมาตั้งแต่สมัยพระศาสนจักรยุคแรกแล้ว ซึ่งเป็นการตัดเรื่องความเป็นไปได้ที่ว่า พระเยซูทรงมีพี่น้องชายหญิงที่เกิดจากมารดาเดียวกันออกไป ภาษาอาราเมอิคซึ่งถือเป็นภาษาแม่ของพระเยซูเจ้าในขณะนั้น คำว่า “พี่น้อง” และคำว่า “ลูกพี่ลูกน้อง” ใช้คำเดียวกัน ดังนั้น เมื่อพระวรสารของนักบุญมาร์โก กล่าวถึงพี่น้องชายหญิงของพระเยซูเจ้า พวกเขาได้หมายถึงญาติใกล้ชิดของพระองค์
นักบุญมัทธิวเล่าว่า ชาวนาซาเร็ธในศาลาธรรมได้กล่าวถึงพระเยซูเจ้าว่า “เป็นลูกช่างไม้มิใช่หรือ แม่ของเขาชื่อมารีย์ พี่น้องของเขามิใช่ยากอบ โยเซฟ ซีโมน และยูดาหรือ” (มธ 13: 55) แต่ในพระวรสารอีกตอนหนึ่ง นักบุญมัทธิวก็เล่าด้วยว่า ในบรรดาสตรีที่อยู่เชิงไม้กางเขนเมื่อพระเยซูสิ้นพระชนม์นั้น “มีมารีย์ชาวมักดาลา และมารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟ และมารดาของบุตรเศเบดี” (มธ 27: 56) ถ้ามารีย์มารดาของยากอบและของโยเซฟในที่นี้เป็นคนคนเดียวกันกับพระมารดามารีย์ คงเป็นเรื่องแปลกที่ผู้เขียนกลับไม่ได้เรียกสตรีคนนี้อย่างชัดเจนว่า “พระมารดาของพระเยซูเจ้า” นี่แสดงชัดเจนว่ามารีย์ในที่นี้ย่อมเป็นคนละคนกัน
“เมื่อความเชื่อในพระมารดาของพระเจ้าลดน้อยลง ความเชื่อในพระบุตรของพระเจ้าก็จะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน”
  Ludwig Feuerbach (1804-1872)

วันศุกร์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เดือนธันวาคมนี้มีวันสำคัญหลายวันที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้รำลึกถึงครับ นอกเหนือจากการตระเตรียมฉลองคริสต์มาสกันแล้ว วันวันนี้พ่ออยากนำเสนอให้พี่น้องได้รำลึกถึง บรรดาผู้ทำหน้าที่สอนคำสอนอีกด้วย เพราะนอกเหนือจากพระสงฆ์ และ นักบวชชายหญิง จะเป็นผู้สอนคำสอนของพระเจ้าโดยตรงแล้ว ยังมีบรรดาครูสอนคำสอนที่เป็นคริสตชนฆราวาส ซึ่งมีส่วนร่วมอย่างสำคัญในการสอนคำสอนในท้องที่ต่างๆอีกด้วย พ่ออยากย้อนเหตุการณ์ไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม พ.. 2532 หรือ ปี ค.. 1989 สมเด็จพระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงประกาศแต่งตั้ง บุญราศีทั้ง 7 แห่งประเทศไทย และ ในจำนวนนั้น มีบุญราศีท่านหนึ่งมีนามว่า ฟีลิป สีฟอง อ่อนพิทักษ์ ซึ่งเป็นครูสอนคำสอน ได้ถวายชีวิตของท่านถึงแก่ความตาย เป็นพยานยืนยันถึงองค์พระคริสตเจ้า พระศาสนจักรไทย จึงกำหนดให้วันที่ 16 ธันวาคมเป็นวันครูคำสอนไทยอีกด้วย
            อย่างที่พ่อเคยกล่าวไปแล้วว่า เราคริสตชนทุกคนได้รับการเรียกให้ประกาศพระนามของพระเจ้า ทั้งโดยทางตรง และ โดยทางอ้อม การสอนคำสอนให้กับผู้อื่นจึงถือได้ว่าเป็นการตอบสนองต่อการเรียกของพระเจ้าได้อย่างดีที่สุด แต่ในความเป็นจริงเราพบว่ามีน้อยคนนักที่จะสามารถทำเช่นนี้ได้ เพราะแม้แต่ตัวเราเอง ถ้ามีคนที่ไม่มีความรู้ทางศาสนาคริสต์มาถามเราให้ช่วยอธิบาย หลักธรรม ข้อคำสอน และ วิถีปฏิบัติ ของชาวคริสต์ให้กับเขาได้ฟัง เพื่อช่วยเขาให้สามารถมองเห็นถึงแก่นแท้ของศาสนาคริสต์ที่เขาปรารถนาอยากจะเรียนรู้ และ ถ้าเป็นไปได้เขาเองก็อยากทราบเช่นกันว่า ศาสนาคริสต์เมื่อมีคนสมัครใจเข้ามานับถือแล้วเขาจะพบกับสันติสุขได้อย่างไร เราคงเหนียมอายไม่กล้าตอบ หรือ ถ้าจะตอบก็ไม่แน่ใจว่าสิ่งที่เราจะพูดออกไปนั้นมันถูกต้องเป็นจริงแค่ไหน เพราะเราคริสตชนแม้จะได้เรียนคำสอนมาตั้งแต่เด็ก แต่เราก็ไม่ได้รับการศึกษาอบรม ฝึกฝนมาโดยตรงเพื่อจะสอนคำสอนแบบจริงจังในบทบาทและฐานะเยี่ยงครูคำสอน ตรงนี้เองที่พ่ออยากให้พี่น้องได้มองเห็นถึงความสำคัญประการหนึ่งว่า ครูคำสอนเป็นบุคคลากรที่ทรงคุณค่าของพระศาสนจักร เพราะครูคำสอนคือผู้ประกาศสอนถึงความเชื่อในพระเจ้าโดยตรงให้กับบุคคลที่สนใจจะเรียนรู้และเข้าถึงหลักธรรมของศาสนาคาทอลิกของเรา
            การให้การศึกษาอบรม เพื่อจะสร้างครูคำสอนจึงเป็นสิ่งที่พระศาสนจักรคาทอลิกในประเทศไทยให้ความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะครูคำสอนเป็นผู้ช่วยพระสงฆ์อย่างดีที่สุดในการสอนคำสอน ให้กับเด็ก เยาวชน ผู้ใหญ่ โดยเฉพาะในเขตมิสซังที่มีพื้นที่ยากลำบากแก่การเข้าถึง และ ขาดแคลนพระสงฆ์ ครูคำสอนเป็นประดุจกองกำลังแนวหน้าที่ช่วยเปิดพื้นที่ให้ข่าวดีแห่งความรักของพระเจ้าเข้าถึงหัวใจของผู้คนที่ยังไม่รู้จักพระเจ้า
            วันนี้พ่อจึงเชิญชวนให้พี่น้องภาวนาเป็นพิเศษเพื่อครูคำสอนทุกๆคน และ เพื่อให้เป้าหมายของพระศาสนจักรในการสร้างครูคำสอนที่ทำงานเต็มเวลาในด้านการสอนคำสอนนี้ประสบความสำเร็จ เพราะพระศาสนจักรคงจะไม่สามารถทำให้พระอาณาจักรของพระเจ้ามาถึงได้โดยเร็วถ้าปราศจากครูคำสอน พ่อขอเชิญชวนพี่น้องโปรดร่วมใจกันบริจาคเพื่อส่งเสริมให้งานด้านการสร้างครูคำสอนที่กำลังดำเนินอยู่ สามารถสร้างผลิตผลที่ได้ครูคำสอนที่มีประสิทธิภาพที่พร้อมสมบูรณ์ทุกด้านในการออกมาเป็นผู้เปิดพื้นที่แห่งความรักของพระเจ้าในหัวใจของผู้คนอีกมากมายที่โหยหาความรักจากพระองค์


คุณพ่อ สุพจน์
.........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูเจ้าจึงทรงกระทำอัศจรรย์

อัศจรรย์ของพระเยซูเจ้าไม่ใช่การแสดงอำนาจของพระองค์ด้วยการแสดงมายากล หากแต่พระองค์ทรงเปี่ยมด้วยพระอานุภาพแห่งการเยียวยารักษา อาศัยความรักและพระเมตตาจากพระเจ้า  และโดยทางการอัศจรรย์นี้ พระองค์ก็ได้ทรงแสดงว่าพระองค์คือพระเมสสิยาห์ที่มนุษย์เฝ้ารอคอย  ซึ่งบัดนี้พระอาณาจักรของพระเจ้าก็ได้เริ่มขึ้นแล้วในพระองค์ พระอาณาจักรที่ผู้คนจะเป็นอิสระจากความหิวโหย จากความอยุติธรรม ความเจ็บป่วย ความตาย และด้วยอาศัยการขับไล่ปีศาจ พระองค์ได้ทรงแสดงชัยชนะที่จะมีเหนือซาตาน เจ้านายแห่งโลกนี้ด้วย
เนื่องจากชาวยิวที่ปาเลสไตน์ในสมัยของพระเยซูเจ้าคิดว่า โรคภัยไข้เจ็บทุกชนิดเป็นผลมาจากอำนาจของปีศาจ และเป็นผลของบาป ดังนั้น การที่พระเยซูเจ้าทรงขับไล่ปีศาจ และทรงรักษาผู้ป่วยให้หายจากโรคภัยไข้เจ็บได้ก็ย่อมแสดงว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงแล้ว เพราะเท่ากับอำนาจชั่วร้ายที่ครอบงำมนุษย์ได้ถูกทำลายลงแล้ว อันเป็นการยืนยันคำเทศน์สอนของพระองค์ที่ว่า “ถ้าเราขับไล่ปีศาจด้วยพระจิตของพระเจ้า ก็หมายความว่า พระอาณาจักรของพระเจ้าได้มาถึงท่านแล้ว” (มธ 12 : 28)
อย่างไรก็ตาม พระเยซูเจ้ามิได้ทรงนำเอาความทุกข์ และความชั่วร้ายทั้งหมดออกไปจากโลกนี้ หากสิ่งที่พระองค์มุ่งมั่นประการแรกคือ การช่วยให้มนุษย์พ้นจากการเป็นทาสของบาป รวมทั้งการมีความไว้วางใจในพระองค์ และนั่นก็คือ “ความเชื่อ” ซึ่งพระองค์ทรงเรียกร้องแทบทุกครั้งเมื่อพระองค์ทรงทำอัศจรรย์
“อัศจรรย์มิได้เกิดขึ้นขัดกับธรรมชาติ แต่ขัดกับความรู้ของเราเกี่ยวกับธรรมชาติ”
 นักบุญออกัสติน (354-430)

วันศุกร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 8 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            วันอาทิตย์สัปดาห์ที่สองในเดือนธันวาคมของทุกปี ซึ่งปีนี้ตรงกับวันที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2556 เป็นวันพระคัมภีร์ การที่พระศาสนจักรกำหนดวันวันนี้ให้เป็นวันพระคัมภีร์ ก็เพื่อรณรงค์ให้คริสตชนทุกคนให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ วันนี้พ่อจึงอยากจะถือโอกาสนี้เรียนกับพี่น้อง เกี่ยวกับเรื่องของพระคัมภีร์สักหน่อยครับ ในพระศาสนจักรคาทอลิกของเรานั้น พระคัมภีร์ถือว่าเป็นส่วนสำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของชีวิตคริสตชน เพราะ พระคัมภีร์คือหนังสือที่บันทึกพระวาจาของพระเจ้า ที่ทรงเผยแสดงพระธรรมล้ำลึกของพระองค์ให้กับมวลมนุษย์ ดังนั้นหนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในการที่เรามนุษย์จะสามารถเรียนรู้ถึง ความรัก ความเมตตา ความปรารถนาดีที่พระเจ้าทรงมีต่อเรามนุษย์ หนังสือพระคัมภีร์จึงเป็นเสมือนหัวใจของพระศาสนจักร เพราะระเบียบ ข้อปฏิบัติ และ แนวทางในการดำเนินชีวิตของเราคริสตชน ก็มีที่มาจากหนังสือพระคัมภีร์ทั้งสิ้น ปราศจากเสียซึ่งหนังสือพระคัมภีร์เสียแล้ว เราคริสตชนก็คงไม่มีแก่นสารใดๆที่จะทำให้เราเรียนรู้จักองค์พระผู้เป็นเจ้าได้เลย วันวันนี้จึงเป็นวันที่พระศาสนจักรทั่วโลกรณรงค์ให้เราคริสตชนทุกคน หันมาให้ความสำคัญกับหนังสือพระคัมภีร์ ซึ่งพ่อคิดว่าในทางปฏิบัติแล้ว เราทุกคนควรที่จะสนใจในการอ่านหนังสือพระคัมภีร์ทุกๆวัน เพราะนี่คือหนังสือศักดิ์สิทธิ์ ที่เป็นประดุจลายแทงขุมทรัพย์ที่ช่วยเราแต่ละคนให้พบกับ ทรัพย์สมบัติที่มีคุณค่ามหาศาล ที่ไม่รู้จักเสื่อมสลาย ใครก็ตามที่ได้ครอบครองทรัพย์สมบัตินี้ เขาจะเป็นผู้มั่งคั่งมั่งมี ด้วยทรัพย์ศฤงคารที่ช่วยให้เราค้นพบกับความสุขที่อิ่มเอมเปรมใจชนิดที่ว่า เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม
            ด้วยเหตุนี้พ่อจึงขอเชิญชวนให้เราคริสตชนคาทอลิกทุกคนได้เปิดหนังสือพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านทุกวัน พี่น้องอาจจะเริ่มต้นจากการอ่านไบเบิ้ลไดอารี่ก็ได้ เพราะเป็นการเริ่มต้นที่ง่ายที่สุด แต่กระนั้น เราก็ควรที่จะอ่านพระคัมภีร์ให้จบ อย่างน้อย 1 จบ ทั้งภาคพันธสัญญาเดิม และ ภาคพันธสัญญาใหม่ เพราะนี่คือสาระที่มีคุณค่ากับชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราอย่างแท้จริง ถ้าเราละเลย ปล่อยเวลาให้ผ่านไปโดยไม่สนใจใยดี แล้วเราจะตอบพระเจ้าได้อย่างไรว่า เรารู้จักพระองค์ รักพระองค์ ในเวลาสุดท้ายที่พระองค์จะถามเรา เพราะในระหว่างที่เราดำรงชีวิตอยู่ เราไม่เคยให้เวลา อ่านถึงพระประสงค์ของพระองค์ที่ได้สื่อความถึงเรามนุษย์โดยผ่านทางพระคัมภีร์เลย วันนี้พ่ออยากเชิญชวนให้พี่น้องร่วมกันบริจาคเพื่อการทำงานด้านการแปล การจัดพิมพ์หนังสือพระคัมภีร์ และการรณรงค์เพื่อให้เราคริสตชนค้นหาแก่นแท้ของการดำเนินชีวิตโดยยึดพระคัมภีร์เป็นหลักในการดำเนินชีวิตของเราครับ


คุณพ่อ สุพจน์
..........................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเยซูต้องมารับพิธีล้างบาปจากยอห์น

บรรดาคนบาป หญิงโสเภณี คนเก็บภาษีออกไปหาประกาศกยอห์นเพื่อรับพิธีล้าง เพราะพวกเขาใฝ่หาเครื่องหมายของการเป็นทุกข์กลับใจ เพื่อจะได้รับการอภัยบาป การรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าจึงดูจะเป็นปัญหาสำหรับคริสตชนสมัยแรก เพราะพิธีนี้เรียกร้องการสารภาพบาปของตน รวมทั้งความพยายามละทิ้งชีวิตเก่าที่ไม่ดีเพื่อมาดำเนินชีวิตในหนทางใหม่กับพระเจ้า คริสตชนจึงตั้งคำถามว่าพระเยซูเจ้าจะทรงเคยทำบาป และนำมาสารภาพในพิธีล้างได้อย่างไร กล่าวได้อีกอย่างคือ พระเยซูไม่จำเป็นต้องรับพิธีล้างนี้เลย เพราะพระองค์ย่อมไม่มีบาป
ความจริงคือพระเยซูเจ้าทรงยอมรับพิธีล้างนี้ เพื่อแสดงให้เราเห็นสองอย่างคือ พระองค์ยินดีรับบาปของเรามนุษย์ทั้งหมดไว้ในพระองค์ ทรงเริ่มภารกิจแรกของพระองค์ด้วยการยืนยันที่จะรับบาปของมนุษย์ไว้บนบ่าของพระองค์ นอกจากนี้ พระองค์ทรงเข้าใจดีว่าการรับพิธีล้างของพระองค์ เป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงพระทรมาน การยอมรับความตายเพราะเห็นแก่บาปของมนุษยชาติ และที่สุดคือการกระทำล่วงหน้าของการกลับคืนพระชนมชีพของพระองค์ด้วย ผ่านทางศีลล้าง อันหมายถึงการทรงถูกจุ่มลงรับความตายในน้ำ และกลับขึ้นมาจากความตาย ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นจากน้ำ
ภาพของท้องฟ้าที่เปิดออกเหนือพระเยซูเจ้า และเสียงจากสวรรค์ จึงเป็นสัญลักษณ์ของสวรรค์ที่มีความสนิทสัมพันธ์กับพระเยซูเจ้า ผู้ทรงปฏิบัติตามพระประสงค์ของพระบิดาอย่างสมบูรณ์ เสียงนั้นไม่ได้เปิดเผยว่าพระเยซูเจ้าทรงได้ทำอะไร แต่ประกาศยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นผู้ใด “บุตรที่รัก และที่โปรดปรานของเรา” (ลก 3: 22)
“ในองค์พระเยซูคริสต์ พระเจ้าทรงรับโฉมหน้าของมนุษย์ เพื่อกลายมาเป็นเพื่อน และพี่น้องของเรา”
    โจเซฟ รัตซิงเกอร์