วันศุกร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 1 ธันวาคม 2013

พี่น้องที่รัก
            เราก้าวเข้ามาสู่เดือนธันวาคม ซึ่งเป็นเดือนสุดท้ายของปี พ.ศ. 2556 แล้ว ถ้าจะพูดให้มองเรื่องของเวลา เราเหลือเวลาอีกเพียงเดือนเดียวปี พ.ศ. 2556 ก็จะผ่านพ้นไปแล้ว เดือนนี้จึงเป็นเดือนสำคัญของการปิดโฉมหน้ากิจกรรมต่างๆที่ได้จัดทำตามเป้าหมายของแต่ละหน่วยงาน องค์กร บริษัท ห้างร้าน ฯลฯ ที่ได้วางแผนงานเอาไว้ และ หลังจากนี้คงเป็นเรื่องของการประเมินผลงานและกิจกรรมต่างๆว่าบรรลุผลตามเป้าหมายมากน้อยอย่างไร
            ในส่วนของปีพิธีกรรม วันวันนี้เป็นวันเริ่มต้นเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า นั่นหมายความว่า วันคริสต์มาสอยู่ไม่ห่างจากเราเท่าไหร่แล้ว กิจกรรมต่างๆในค่ำคืนวันคริสต์มาส ซึ่งตรงกับวันที่ 24 ธันวาคม ของทุกปี ก็คงมีเช่นปีที่ผ่านๆมา ในปีนี้ทางวัดจะพยายามจัดเตรียมเรื่องการตกแต่งสถานที่ และ การจัดไฟความสว่างให้เพียงพอ เพื่อเสริมสร้างบรรยากาศในค่ำคืนวันคริสต์มาสให้ดูสวยงามยิ่งขึ้น ในปีนี้เรามีต้นคริสต์มาสขนาดใหญ่ที่ได้รับบริจาคมาจากผู้มีน้ำใจดี มาติดตั้งบริเวณหน้าวัด และ จะมีการจัดเตรียมเวทีขนาดย่อมๆสำหรับการจัดการประกวดถ้ำพระกุมาร  เพื่อให้ดูงดงามเหมาะสมกับวันฉลองสำคัญนี้ซึ่งปีหนึ่งมีเพียงครั้งเดียว นอกนั้น เรื่องของการสอยดาว การเล่นบิงโก การเล่นเกมส์ และ บ้านลม ก็ยังมีไว้สำหรับความสนุกสนานเพลิดเพลินให้กับทุกๆคนที่มาร่วมงาน ทั้งนี้เพื่อเสริมสร้างให้ทุกคนสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแห่งความชื่นชมยินดี ความรัก และ การแบ่งปัน อันเป็นความหมายสำคัญของวันคริสต์มาสนั่นเอง
            พ่อขอถือโอกาสนี้ขอบคุณพี่น้องที่ได้ร่วมกันคนละไม้คนละมือในการบริจาคของรางวัล และ ปัจจัยสำหรับการจัดงานคริสต์มาสในปีนี้ ขอขอบคุณเช่นกันสำหรับพี่น้องอีกหลายๆท่านที่มีส่วนร่วมในการช่วยกันจัดงานนี้ขึ้น โดยมีส่วนร่วมในการเตรียมการต่างๆในทุกๆด้าน พ่อเชื่อมั่นว่าพลังของความร่วมมือกันของเราทุกคน จะยังผลให้เกิดสิ่งที่ดีงามและมีคุณค่าสำหรับทุกคนครับ


คุณพ่อ สุพจน์
......................................................................................................
เราเชื่ออะไร
พระเยซู เป็นทั้งพระเจ้าแท้ และมนุษย์แท้ หมายความว่าอะไร

                พระศาสนจักรต่อสู้มาเป็นเวลานานกับปัญหาการอธิบายถึงความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นพระเจ้า และความเป็นมนุษย์ในพระเยซูคริสตเจ้า ว่าพระองค์ไม่ใช่พระเจ้าเพียงบางส่วน และเป็นมนุษย์บางส่วนอย่างที่มีหลายคนหลายกลุ่มเข้าใจ ในปี ค.ศ.325 สภาสังคายนาที่เมืองนิเซีย ได้ประกาศข้อความเชื่อของพระศาสนจักรว่า “พระเจ้ามีแต่พระองค์เดียว ส่วนพระคริสตเจ้าทรงเป็นพระบุตรแต่พระองค์เดียวของพระเจ้า ซึ่งมีพระธรรมชาติเช่นเดียวกับพระบิดา” (นั่นหมายความว่า ทรงมีพระธรรมชาติเป็นพระเจ้าเหมือนกับพระบิดา  และเท่ากับพระบิดาทุกประการ กล่าวคือ ทรงเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์เช่นเดียวกับพระบิดาด้วย) พระบุตรมิได้ทรงถูกสร้าง  แต่กลับเป็นผู้ทรงสร้างทุกสิ่ง ทั้งในสวรรค์และบนแผ่นดิน (คำสอนนี้ลบล้างความคิดของอารีอุสที่สอนว่า พระบุตรทรงถูกสร้างจากความว่างเปล่า และเพื่อยืนยันว่า พระบุตรทรงเป็นพระเจ้าแท้จากพระเจ้าแท้)
            มาในปี ค.ศ.451 สภาสังคายนาที่คาลเซดอน ได้ยืนยันอีกว่า “พระคริสตเจ้าทรงเป็นพระเจ้าทั้งครบและมนุษย์ทั้งครบ ทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ประกอบด้วยร่างกายและวิญญาณ พระองค์ทรงร่วมสาระเดียวกับพระบิดาในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้า และร่วมธรรมชาติเดียวกับเราในฐานะเป็นมนุษย์  จึงทรงเป็นเหมือนเรามนุษย์ทุกอย่าง ยกเว้นบาป ในฐานะที่พระองค์เป็นพระเจ้า จึงทรงบังเกิดจากพระบิดาก่อนกาลเวลา  และในฐานะที่พระองค์เป็นมนุษย์ ทรงบังเกิดจากพระนางมารีย์ พระองค์จึงมี 2 ธรรมชาติ ที่ไม่มีการผสมผสานหรือเปลี่ยนแปลง ทั้งสองธรรมชาตินี้ ไม่ได้สูญไป คุณลักษณะของแต่ละธรรมชาติยังคงอยู่ และรวมเป็นหนึ่งในพระบุคคลเดียว
            ด้วยเหตุนี้จึงมี 2 น้ำพระทัย และ 2 การทำงานอยู่ในพระคริสตเจ้า โดยปราศจาก การแบ่งแยก เปลี่ยนแปลง หรือผสมปนเปกัน ยิ่งกว่านั้น ทั้งสองน้ำพระทัยนี้ไม่มีความขัดแย้งกัน กล่าวคือ น้ำใจแบบมนุษย์ จะนอบน้อมและไม่ต่อต้านน้ำพระทัยแบบพระเจ้า ส่วนความเป็นพระเจ้าของพระคริสตเจ้า ก็ไม่ได้จำกัดน้ำใจมนุษย์ของพระองค์ แต่ยังคงรักษา และส่งเสริมความเป็นมนุษย์แท้ของพระองค์ให้สมบูรณ์ขึ้น 
“ไม่มีแห่งใดในโลกที่มีอัศจรรย์ยิ่งใหญ่สุดเท่าที่คอกสัตว์ในเมืองเบธเลเฮม   เพราะที่แห่งนั้น พระเจ้าและมนุษย์ได้กลายเป็นหนึ่งเดียวกัน”
Thomas Kempis (1380-1471)

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 พฤศจิกายน 2013

สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน
            สัปดาห์นี้เป็นสัปดาห์สุดท้ายของปีพิธีกรรม เราสมโภชพระคริสตเจ้ากษัตริย์แห่งสากลจักรวาล วันนี้เป็นวันที่เราจะภาวนาเป็นพิเศษเพื่อพระกระแสเรียก โดยเฉพาะกระแสเรียกในการเป็น พระสงฆ์ นักบวชชายหญิง เมื่อเร็วๆนี้มีข่าวเกี่ยวกับนโยบายใหม่ของประเทศจีนแผ่นดินใหญ่ ที่อนุญาตให้ครอบครัวชาวจีนสามารถมีลูกได้ ครอบครัวละ 2 คนแล้ว ตามที่เราพอทราบกันมาแต่นานแล้วว่า ประเทศจีนมีจำนวนประชากรเยอะที่สุดในโลกถึงประมาณ 1200 ล้านคน ผู้ปกครองประเทศจีนเมื่อสี่สิบกว่าปีก่อน กลัวว่าชาวจีนจะมีจำนวนประชากรมากเกินไป จึงพยายามหาทางควบคุมประชากรเอาไว้ด้วยการออกนโยบายให้ครอบครัวแต่ละครอบครัวมีลูกได้เพียงครอบครัวละ 1 คน นโยบายนี้มีข้อดีในแง่ที่ว่าสามารถควบคุมอัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรชาวจีนไว้ให้อยู่ภายในขีดจำกัดได้ แต่ตอนนี้ผู้ปกครองประเทศจีนเริ่มมองเห็นแล้วว่า ในอนาคตประเทศจีนซึ่งกำลังมีความเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจสูงที่สุดของโลกในขณะนี้ อาจจะตกอยู่ในสภาวะขาดแคลนแรงงานในอนาคตได้ จึงเปลี่ยนนโยบายเรื่องการมีบุตรเพื่อให้มีจำนวนประชากรเพิ่มขึ้นในอนาคต ที่พ่อนำเรื่องนี้มาพูดก็เพื่อจะนำมาบอกเล่ากับพี่น้อง เพื่อจูงเข้าสู่เรื่องของกระแสเรียกของการสมัครใจเข้ามาเป็นพระสงฆ์ นักบวชชาย หญิง เราทั้งหลายคงไม่ปฏิเสธว่า พระสงฆ์  มีบทบาทสำคัญอย่างยิ่งในพระศาสนจักร เพราะมีหน้าที่โดยตรงในการเทศน์สอน โปรดศีลศักดิ์สิทธิ์ ถวายบูชาขอบพระคุณ อีกทั้งมีบทบาทในการสืบสาน คำสอน ธรรมประเพณีศักดิ์สิทธิ์ของพระศาสนจักร ส่วนนักบวชชาย หญิง ก็มีส่วนร่วมอย่างใกล้ชิดกับพระศาสนจักร ในการเจริญชีวิตด้วยความรักในหมู่คณะอันเป็นคำสอนประการสำคัญของพระเยซูเจ้า และ เป็นผู้ประกอบภารกิจแห่งความรักที่แต่ละคณะมีจิตตารมณ์เฉพาะของตัวเอง ในการเผยแผ่ข่าวดีและเสริมสร้างอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลกอย่างเป็นรูปธรรม แนวโน้มที่น่าเป็นห่วงก็คือ จำนวนของผู้สมัครใจตอบรับกระแสเรียกเป็นพระสงฆ์นักบวชในปัจจุบันมีน้อยลงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคงมีปัจจัยมาจากหลายสาเหตุ แต่สิ่งที่พ่ออยากสื่อความกับพี่น้องในวันนี้ก็คือ ถ้าเราปล่อยให้แนวโน้มนี้เป็นอย่างนี้เรื่อยไปใครจะไปรู้ว่า อีกหน่อยพระศาสนจักรในประเทศไทยของเราคงต้องเผชิญกับภาวะขาดแคลนพระสงฆ์ นักบวช เข้าสักวันก็ได้ ดังนั้นให้เราพยายามอย่างยิ่งในการสนับสนุนด้วยวิธีการต่างๆเพื่อให้มีเยาวชนหญิงชายตัดสินใจตอบรับเสียงเรียกของพระเจ้าเพื่อดำเนินชีวิตใกล้ชิดกับพระองค์ ด้วยการอุทิศตนมาเป็นพระสงฆ์ นักบวช เพื่อพระศาสนจักรจะมีผู้สืบทอดภารกิจอันสำคัญยิ่งนี้ต่อไปในอนาคต  "ข้าวที่จะเกี่ยวมีมากแต่คนงานมีน้อยจงวอนขอเจ้าของนาให้ส่งคนงานมาเก็บเกี่ยวข้าวของพระองค์เถิด


คุณพ่อ สุพจน์
..................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมจึงเรียกพระวรสารว่า “ข่าวดี”

มนุษย์เราทำบาปซ้ำแล้วซ้ำเล่า อ่อนแอ และหลงผิดอย่างง่ายดาย แต่พระเจ้ามิได้พอพระทัยเฝ้าดูมนุษย์ค่อย ๆ ทำลายตนเอง และโลกรอบตัวเขา อันเนื่องมาจากปฏิกริยาลูกโซ่ของบาป พระองค์ได้ทรงส่งพระเยซูเจ้ามาช่วยเรามนุษย์ ช่วงชิงเราออกจากอำนาจของบาปและความตาย ดังนั้น แม้ว่าผลของบาปคือความตาย แต่ก็ทำให้มีผลอีกประการหนึ่งของบาป คือการที่พระเจ้าได้เสด็จลงมาร่วมทุกข์ร่วมสุขกับเรามนุษย์ด้วย บาปกำเนิดนี้จึงอาจเรียกได้ว่าเป็น Felix culpa (ความผิดที่โชคดี)
พระวรสาร หรือการบันทึกเรื่องราวเกี่ยวกับชีวิต การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพของพระเยซูเจ้า จึงถือเป็นข่าวดีที่สุดในโลก ถ้าไม่มีพระวรสาร เราก็จะไม่ทราบได้เลยว่าพระเจ้านั้นรักมนุษย์มาก ถึงขนาดทรงส่งพระบุตรเพียงพระองค์เดียวของพระองค์ลงมา เพื่อให้มนุษย์รู้ความจริงที่สมบูรณ์ และได้รับความรอดพ้น พระนาม “เยซู” นี้ในหนังสือกิจการอัครสาวกยังกล่าวไว้ด้วยว่า “ใต้ฟ้านี้ พระเจ้ามิได้ประทานนามอื่นแก่มนุษย์ นอกจากนามนี้ที่ช่วยเราให้รอดพ้นได้” (กจ 4: 12) นี่คือเรื่องสำคัญที่สุดของข่าวสารที่บรรดาธรรมทูตนำไปให้แก่ปวงชน นอกจากนี้ภาษากรีกคำว่า “Christos” และภาษาฮีบรู คำว่า “Messiah” ทั้งสองคำนี้มีความหมายว่า “ผู้ได้รับเจิม” ซึ่งในประเทศอิสราเอลผู้ที่จะได้รับการเจิมคือ กษัตริย์ พระสงฆ์ และประกาศก บรรดาอัครสาวกได้เรียนรู้ว่า พระเยซูเจ้าทรงได้รับการเจิมด้วยพระจิต พระองค์ทรงเป็นมากกว่ามนุษย์คนหนึ่ง และอยู่ในความสัมพันธ์หนึ่งเดียวกับพระเจ้าพระบิดาของพระองค์ เหตุนี้ บรรดาคริสตชนในสมัยแรกจึงเชื่อ และพูดถึงพระเยซูของพวกเขาว่าเป็น “องค์พระเจ้า” และพวกเขาจะไม่ยอมย่อเข่าลงต่ออำนาจอื่นใดอีกต่อไป
“เมื่อพระหัตถ์ของพระคริสตเจ้าถูกตะปูตรึงอยู่บนกางเขน พระองค์ก็ทรงตอกตรึงบาปของเราไว้บนกางเขนนั้นด้วย”
นักบุญ เบอร์นาร์ด แห่งแคลร์โวซ์ (1090-1153)


วันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 17 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            ตามที่เราได้ทราบแล้วเกี่ยวกับเรื่องพายุไต้ฝุ่น ไห่เยียนที่ถาโถมเข้าสู่ประเทศฟิลิปปินส์เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ก่อให้เกิดการสูญเสียใหญ่หลวง ประชาชนนับหมื่นคนต้องเสียชีวิต และ คนหลายแสนคนไร้ที่อยู่อาศัย เราคงนิ่งเฉยดูดายไม่ได้ ต่อหายนะที่เกิดขึ้นกับประชาชนในประเทศเพื่อนบ้านของเรา ให้เราร่วมใจกันส่งความช่วยเหลือไปยังผู้ตกทุกข์ได้ยากเหล่านี้โดยด่วน และ ภาวนาเพื่อผู้ที่ได้รับผลกระทบอันเนื่องมาจากมหาวาตภัยในครั้งนี้ด้วยครับ
            พ่อขอนำจดหมายของสังฆมณฑลที่ส่งมาตามวัด มาลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ

คุณพ่อ สุพจน์

......................................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมมนุษย์มีความทุกข์และความตาย

มนุษย์ทุกคนมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีต้นกำเนิดเดียวกัน คือถูกสร้างด้วยความรักของพระเจ้า พระองค์ไม่เคยทรงปรารถนาให้มนุษย์คนใดต้องทนทุกข์และตาย ความคิดแรกของพระเจ้าสำหรับมนุษย์คือ สวรรค์ และสันติสุขนิรันดรกับพระองค์
บ่อยครั้งที่เราอาจรู้สึกว่าชีวิตน่าจะเป็นเช่นนั้น และเราควรจะเป็นเช่นนี้ แต่ในความเป็นจริง เรากลับไม่พบว่าตัวเองมีสันติสุขอันแท้จริงเลย หลายต่อหลายครั้งในการดำเนินชีวิต ที่เราแสดงออกด้วยความหวาดกลัว ความกังวล และการควบคุมอารมณ์ตัวเองไม่ได้ เพราะมนุษย์ได้สูญเสียความสอดคล้องกลมกลืนแรกเริ่มที่มนุษย์เคยมีกับโลก และต่อพระเจ้าแบบที่เคยเป็น พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความขัดแย้งนี้ในเรื่องราวของการตกในบาปครั้งแรกของมนุษย์ มนุษย์ตัดสินใจที่จะเลือกทำในสิ่งที่รู้ดีว่าไม่ควรทำ จนเป็นเหตุให้พวกเขาไม่มีโอกาสได้อยู่กับพระเจ้าบนสวรรค์อีก ด้วยเหตุนี้ ความเหน็ดเหนื่อยจากการงาน ความทุกข์ทรมาน และการถูกประจญให้กระทำบาป จึงเป็นเครื่องหมายของการสูญเสียสวรรค์นั่นเอง บาปดังกล่าวนี้ นอกจากจะเป็นการปฏิเสธการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระเจ้าแล้ว ยังเท่ากับเป็นการแยกทางออกจากแหล่งกำเนิดของชีวิตอีกด้วย  ด้วยเหตุนี้ความตายจึงเป็นผลที่ตามมาอีกประการหนึ่งของบาป
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ที่ 16 เคยเปรียบเทียบว่า “เราทุกคนรับยาพิษหยดหนึ่งไว้ในตัวเรา นั่นคือ ยาพิษของวิธีการคิด (ที่แสดงเป็นภาพลักษณ์ในหนังสือปฐมกาล) ...มนุษย์ไม่ไว้วางใจพระเจ้า เมื่อถูกปีศาจล่อลวง เขาเกิดความสงสัยว่าพระเจ้าหวงอำนาจ และจำกัดเสรีภาพของเขา และเราจะเป็นมนุษย์ได้อย่างเต็มที่หากเราไล่พระองค์ออกไปจากที่เราอยู่ มนุษย์ไม่ต้องการรับการดำรงอยู่ของพระองค์อีกต่อไป ซึ่งในการกระทำเช่นนี้เอง เท่ากับว่ามนุษย์เลือกที่จะไม่ยอมรับความจริงของชีวิตอีกต่อไปด้วย และนั่นทำให้เขาต้องตกอยู่ในความตาย และความไม่มีอะไรอีกเลย”
“การหันหนีไปจากพระองค์ คือการหกล้ม
 การหันกลับมาหาพระองค์ คือการลุกขึ้น
 การดำรงอยู่ในพระองค์ คือความปลอดภัย”

นักบุญ ออกัสติน (354-430)

วันศุกร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 10 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            เดือนพฤศจิกายนปีนี้มีวันสำคัญอยู่หลายวัน นอกเหนือจากวันที่ 1 พฤศจิกายน ซึ่งเป็นวันสมโภชนักบุญทั้งหลายแล้ว วันที่ 2 พฤศจิกายน ถัดมา ก็เป็นวันระลึกถึงดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ โดยเฉพาะดวงวิญญาณในไฟชำระ ซึ่งการที่พระศาสนจักรเตือนใจเราให้จัดวันระลึกถึงนักบุญทั้งหลาย และ ดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับ ก็เพราะว่า เราทุกคนต่างก็รวมอยู่ในสหพันธ์นักบุญ หรือ ความสัมพันธ์เป็นหนึ่งเดียวของผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความสัมพันธ์ต่อกันอย่างใกล้ชิด เราจึงมีการวิงวอนขอพระเจ้าเพื่อกันและกัน นั่นคือ เราวิงวอนพระเจ้าเพื่อดวงวิญญาณของผู้ล่วงลับที่ยังอยู่ในไฟชำระ ดวงวิญญาณเหล่านี้ยังมีมลทินบาป และต้องรอการชำระให้สะอาดบริสุทธิ์เสียก่อนจึงจะเข้าสู่สวรรค์ได้ ส่วนบรรดานักบุญทั้งหลายนั้น ได้แก่ดวงวิญญาณต่างๆที่บรรลุถึงเมืองสวรรค์แล้ว และ นักบุญเหล่านี้สามารถวิงวอนพระเจ้าเพื่อเราทั้งหลาย ที่ยังอยู่ในโลก ซึ่งกำลังเผชิญกับอุปสรรค  ความยากลำบาก ต้องเผชิญกับการประจญล่อลวงของปีศาจ แต่เราก็หวังที่จะเข้าร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ในสวรรค์ด้วย นี่ก็เป็นคำสอนของพระศาสนจักรในเรื่องสหพันธ์นักบุญ ซึ่งเรามาเน้นที่จะย้ำเตือนกล่าวถึงกันในระหว่างเดือนพฤศจิกายนครับ
            พ่อขอถือโอกาสนี้ประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับงานปิดปีแห่งความเชื่อ ซึ่งสังฆมณฑลของเราจะจัดขึ้นที่วัดนักบุญยอแซฟอยุธยา วันที่ 23 พฤศจิกายน 2556 เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับพี่น้องที่สนใจอยากเดินทางไปร่วมงานฉลองดังกล่าว ทางวัดจะจัดรถบัส 1 คัน ความจุ 40 ที่นั่งให้กับพี่น้องที่สนใจอยากเดินทางไปร่วมงานฉลองดังกล่าว โดยขอเก็บค่าใช้จ่าย คนละ 100 บาท เพื่อสมทบทุนค่าน้ำมันและค่าตอบแทนพนักงานขับรถ พี่น้องท่านใดสนใจโปรดลงชื่อเพื่อสำรองที่นั่งนะครับ

คุณพ่อ สุพจน์
........................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเจ้าสร้างมนุษย์เป็นชายและหญิง

พระเจ้าผู้ทรงเป็นความรัก และเป็นแบบอย่างของความเป็นหนึ่งเดียวกัน พระองค์ทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นชายและหญิง เพื่อให้ทั้งสองเป็นภาพลักษณ์พระธรรมชาติแห่งพระตรีเอกภาพของพระองค์ การเป็นชายและหญิงของมนุษย์นี้ ทำให้พวกเขามีความปรารถนาที่จะเติมเต็มกันและกันให้สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ ในความรักของชายหญิงโดยเฉพาะในการแต่งงาน พวกเขาจะกลายเป็น “เนื้อเดียวกัน” (ปฐก 2: 24) พวกเขาได้รับอภิสิทธิ์ที่จะสัมผัสถึงความสุขของการเป็นหนึ่งเดียวกัน และพบความสมบูรณ์สูงสุดของเขาในพระองค์

พระศาสนจักรเชื่อว่า ในแบบแผนของการสร้างนั้น ชายและหญิงถูกสร้างขึ้นมาให้จำเป็นต้องพึ่งพาอาศัยซึ่งกันและกัน เพื่อความสมบูรณ์ และเพื่อให้กำเนิดบุตร ด้วยเหตุนี้ พระศาสนจักรจึงมิอาจยอมรับการประพฤติปฏิบัติของคนรักร่วมเพศ แต่อย่างไรก็ตาม คริสตชนต้องเคารพและรักทุกคน ไม่ว่าบุคคลนั้นจะมีรสนิยมทางเพศเป็นเช่นไร เพราะพระเจ้าทรงรักลูกๆ ของพระองค์ทุกคนเสมอ

พระเจ้ามิใช่ชายหรือหญิง ทรงแสดงพระองค์เป็นทั้งดังบิดา และมารดา ที่เต็มไปด้วยความรักอย่างซื่อสัตย์ที่มีต่อมนุษย์ทุกคน มนุษย์ทุกคนจึงมีความเท่าเทียมกัน เพราะทุกคนมีต้นกำเนิดเดียวกัน คือถูกสร้างด้วยความรักของพระเจ้า ดังนั้น มนุษย์ทุกคนจึงควรต่อต้านการเหยียดผิว เหยียดเพศ และการแบ่งชนชั้นฐานะ เพราะเราทุกคนต่างก็มีพระผู้ช่วยให้รอดองค์เดียวกันทั้งนั้น คือพระเยซูคริสต
“ที่ใดมีความรัก ที่นั่นมีพระตรีเอกภาพ คือ
ผู้ที่รัก ผู้ที่ถูกรัก และต้นธารแห่งความรัก”

นักบุญ ออกัสติน (354-430)

วันเสาร์ที่ 2 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 พฤศจิกายน 2013

พี่น้องที่รัก
            วันนี้เป็นวันฉลองนักบุญทั้งหลาย พ่ออยากถือโอกาสนี้กล่าวเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยครับ คำว่า “นักบุญ” มีความหมายอย่างไร?  ถ้าจะพูดกว้างๆแล้ว นักบุญ คือบุคคลที่เชื่อและกราบไหว้ในองค์พระเยซูคริสต์ และ ดำเนินชีวิตของเขาตามคำสอนของพระเยซู ในศาสนาคาทอลิกของเรา ใช้คำๆนี้เพื่อหมายถึง บุคคลพิเศษที่เป็นผู้ศักดิ์สิทธิ์ทั้งหญิงและชาย เขาเหล่านี้มีคุณธรรมสูงส่ง และ บัดนี้เขาอยู่ในสวรรค์กับพระเจ้าแล้ว
            คำว่า “นักบุญ” หมายถึง “ผู้เต็มเปี่ยมด้วยบุญ” หรือ “ผู้ศักดิ์สิทธิ์” ในพระคัมภีร์พระธรรมใหม่ “นักบุญ” ได้แก่ผู้ที่เชื่อในพระเยซูคริสต์ และ ถือตามคำสอนของพระองค์ นักบุญเปาโล มักจะใช้คำๆนี้ในคำทักทายเริ่มต้นจดหมายของท่านเสมอ เช่นใน อฟ. 1:1 กล่าวว่า “จากเปาโล อัครสาวกของพระคริสตเยซู ตามพระประสงค์ของพระเจ้า ถึงบรรดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งมีความเชื่อในพระนามพระคริสตเยซู”
            ต่อมา ความหมายของคำนี้เริ่มเปลี่ยนแปลงไป ในขณะที่กลุ่มคริสตชนเริ่มเติบโตขึ้น เป็นเรื่องชัดเจนว่า คริสตชนบางคนดำเนินชีวิตมีคุณธรรมสูงส่ง ในขณะที่คริสตชนบางคนได้พยายามอย่างยิ่งยวดในการถือตามคำสอนของพระคริสตเจ้า บุคคลเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการมีระดับศีลธรรมในขั้นสูง และ เขาสามารถถือปฏิบัติในคุณธรรมความเชื่อ ความหวัง และ การแบ่งปันได้อย่างง่ายดาย
            คำว่า “นักบุญ” จึงค่อยๆมีความหมายถึงบุคคลเหล่านี้  ที่ได้รับการยกย่อง กราบไหว้ ภายหลังจากสิ้นชีวิตลงแล้ว ในฐานะเป็น “นักบุญ” ซึ่งความเคารพยกย่อง และ ความศรัทธานี้เกิดขึ้นในกลุ่มคนที่อยู่ในพระศาสนจักรท้องถิ่นก่อน เพราะเป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงขจรขจายในคุณงามความดี ต่อมาภายหลัง พระศาสนจักรคาทอลิก จึงได้กำหนดขั้นตอน และ หลักเกณฑ์ ที่เรียกว่า “พิธีสถาปนานักบุญ” ขึ้น เพื่อที่จะประกาศให้ทุกคนได้รับรู้รับทราบ ว่าบุคคลที่น่าเคารพยกย่องเหล่านี้ เป็น “นักบุญ” เพื่อให้คริสตชนในทุกหนทุกแห่งได้ทราบ และ มีโอกาสจะได้แสดงความศรัทธาต่อท่านเหล่านั้นบ้าง
            ด้วยเหตุนี้ นักบุญส่วนใหญ่ที่เรารู้จัก ได้ผ่านกระบวนการพิจารณาเพื่อสถาปนาเป็นนักบุญมาแล้วทั้งนั้น เช่นนักบุญ เทเรซา นักบุญ อันตน แต่ก็มีบ้างที่เป็นนักบุญโดยการยอมรับนับถือของคนทั่วไปในโลก ที่ถือว่าท่านเหล่านี้บรรลุถึงความศักดิ์สิทธิ์ขั้นนักบุญแล้ว เช่น นักบุญเปโตร นักบุญเปาโล
            เราคาทอลิกเชื่อว่า นักบุญทั้งสองประเภท ต่างก็อยู่กับพระเจ้าในสวรรค์แล้ว ซึ่งเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมถึงต้องมีอัศจรรย์เกิดขึ้นอันเนื่องมาจากการสวดวอนขอผ่านทางท่านนักบุญองค์นั้นเป็นเรื่องราวประกอบ สำหรับการพิจารณาแต่งตั้งใครเป็นนักบุญสักองค์หนึ่ง
            การฉลองนักบุญทั้งหลาย เป็นการฉลองเพื่อให้เราคริสตชนที่ยังคลุกคลีอยู่กับชีวิตในโลกปัจจุบัน ได้เห็นแบบอย่างที่น่าสรรเสริญของเหล่านักบุญ และ ดำเนินชีวิตเลียนแบบอย่างของท่านนั่นเอง

คุณพ่อ สุพจน์
........................................................................................
เราเชื่ออะไร
มนุษย์ได้รับวิญญาณมาจากไหน

วิญญาณ คือสิ่งที่ทำให้บุคคลแต่ละคนมีความเป็นมนุษย์ คือเป็นชีวิตที่มีจิตวิญญาณ หรือชีวิตภายใน มนุษย์จึงเป็นสิ่งสร้างที่สามารถกล่าวถึงตัวเองว่า “ฉัน” ได้ ในฐานะเป็นบุคคลเพื่อจะไปยืนอยู่เฉพาะพระพักตร์พระเจ้า แม้ว่ามนุษย์เป็นสิ่งสร้างที่มีทั้งร่างกายและจิตวิญญาณ แต่จิตใจของมนุษย์นี้ก็มิได้เป็นเพียงกลไกหนึ่งของร่างกาย และไม่อาจอธิบายได้ว่าเป็นเพียงองค์ประกอบหนึ่งของร่างกายมนุษย์เท่านั้น สติปัญญาของเราบอกเราว่า เรามีส่วนของจิตใจที่เป็นหนึ่งเดียวกับร่างกาย โดยที่มิได้เหมือนร่างกาย ซึ่งเราเรียกส่วนนี้ว่า “วิญญาณ” แม้การมีอยู่ของวิญญาณนี้จะไม่สามารถพิสูจน์ได้ทางวิทยาศาสตร์ก็ตาม
วิญญาณนี้มิใช่เป็น “ผลผลิต” จากความสัมพันธ์ทางพันธุกรรมของพ่อแม่ผู้ให้กำเนิด หรือผลผลิตมาจากวิวัฒนาการทางธรรมชาติแต่อย่างใด หากแต่เป็นพระเจ้าที่ทรงสร้างวิญญาณนี้ของมนุษย์เราแต่ละคนโดยตรง พระศาสนจักรกล่าวถึงความเร้นลับนี้โดยอธิบายว่า พระเจ้าประทานวิญญาณที่ไม่รู้จักตายให้แก่มนุษย์แต่ละคน แม้บุคคลผู้นั้นจะสูญเสียสิ่งที่เป็นร่างกายไปเพราะความตาย แต่เขาก็จะพบวิญญาณนั้นอีกเมื่อกลับคืนชีพอีกครั้ง การกล่าวว่า “ฉันมีวิญญาณ” จึงหมายความว่า ฉันมิใช่เป็นเพียงสิ่งสร้างหนึ่งของพระเจ้าเท่านั้น หากแต่พระองค์สร้างให้ฉันเป็นบุคคลที่จะมีความสัมพันธ์ไปกับพระองค์ตลอดกาล
สักวันหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือของพระเจ้า ร่างกายและวิญญาณของเราจะไปอยู่กับพระองค์ในสวรรค์
“พระองค์ทรงเป็นในสิ่งที่เราเป็น เพื่อว่า พระองค์จะได้ทรงกระทำให้เราเป็น ในสิ่งที่พระองค์ทรงเป็น”
นักบุญ อาทานาซีอุส (295-373)