วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                เราเข้าสู่สัปดาห์ที่สองในเทศกาลมหาพรตแล้วนะครับ อีกไม่นานเทศกาลปัสกาก็จะมาถึงเราในไม่ช้า พ่อคิดว่าข้อคิดง่ายๆที่ช่วยให้เรานำไปสู่การปฏิบัติในเทศกาลมหาพรตก็คือ การดำรงชีวิตเรียบง่าย และค้นพบความสุขในสิ่งเล็กน้อยที่พระเจ้าทรงประทานให้กับเราในแต่ละวันนั่นเอง ดังที่เรื่องราวต่อไปนี้ที่พ่ออ่านพบมา
            ชายชราชาวจีน 3 คนนั่งคุยกันถึงความหลังสมัยเรียนมัธยม ที่ระเบียงบ้าน ควันบุหรี่อ้อยอิ่งลอยคละคลุ้งไปทั่วบริเวณ บรรยากาศยามเย็นช่างน่ารื่นรมย์ยิ่งนัก คนแรกเคยเป็นเจ้าหน้าที่ระดับสูงของรัฐบาล อีกคนหนึ่งเคยเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย ส่วนคนที่สามเป็นชาวบ้านธรรมดาๆประกอบอาชีพทำนาทำสวน หัวข้อสนทนาของพวกเขาล่วงเลยไปถึงความปรารถนาที่พวกเขาอยากจากบรรลุถึงในช่วงเวลาของชีวิตที่เหลือ คนแรกบอกกับเพื่อนๆว่า สิ่งที่เขาปรารถนานั้นมีเพียงสองสิ่ง นั่นคือได้นั่งจิบชารสอร่อยที่บรรจุในถ้วยชาที่ทำด้วยพอร์ซแลนราคาแพง กับ ม้าสีขาวสง่างามสักตัวที่พร้อมจะพาเขาท่องตระเวณไปในท้องทุ่งธรรมชาติที่งดงาม
            เพื่อนคนที่เป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย พูดถึงความฝันของตัวเองว่า สิ่งที่เขาต้องการก็คือ โกโก้ร้อนๆสักถ้วย และสายตาที่ดี กับหนังสือที่น่าอ่าน ที่เขาจะใช้เวลาทั้งวันชื่นชมกับเนื้อหาที่น่าติดตามอันจะทำให้ชีวิตของเขาเพลิดเพลินเจริญใจ
            ส่วนคนสุดท้ายซึ่งเป็นชาวนาบอกว่า เขาไม่ต้องการอะไรพิเศษสำหรับอนาคตแต่อย่างใด ขอแต่เพียงให้ทุกสิ่งดำเนินไปอย่างเช่นเคย ให้มีดวงตะวันส่องแสง มีสายน้ำสะอาดบริสุทธิ์ และนกนานาชนิดร้องส่งเสียงรอบๆรังมันที่อยู่บนต้นไม้ในสวนหลังบ้านของเขาก็พอใจแล้ว
            ปรากฏว่าคืนนั้นเอง เกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ในประเทศจีน เหตุการณ์ภัยพิบัติครั้งนี้ทำลายความฝันของผู้ชราที่เคยเป็นเจ้าหน้าที่ผู้นั้นลงเสียย่อยยับ ถ้วยชาล้ำค่าของเขาแตกละเอียด ม้าสีขาวของเขานั้นก็จบชีวิตลงเพราะกำแพงโรงนาพังลงมาทับมัน ในขณะที่ชายชราคนที่สองที่เคยเป็นอาจารย์ก็เช่นกัน  แผ่นดินไหวครั้งนี้ทำให้เขาต้องกลายเป็นผู้พิการ ถ้วยโถโอชามในตู้โชว์ของเขาก็แตกเสียหายหมด ซ้ำร้ายไปกว่านั้น หนังสือที่เขาสะสมมาเป็นเวลานานก็ถูกไฟไหม้เสียหายจนหมดสิ้น  ส่วนความปรารถนาของชายชราคนสุดท้ายนั้น แผ่นดินไหวครั้งนี้ไม่มีผลต่อความฝันของเขาแต่อย่างใด เพราะดวงอาทิตย์ก็ยังคงขึ้นเป็นปกติ บ่อน้ำของเขาก็เต็มไปด้วยสายน้ำใสบริสุทธิ์ และ เหล่านกในอากาศก็ยังคงร้องส่งเสียงไพเราะอยู่ในสวนหลังบ้านของเขาเช่นเดิม
            เรื่องเล่านี้สอนเราด้วยภาษิตของชาวจีนโบราณที่ว่า "ผู้มีความสุขคือผู้ที่ไม่หลงใหลไปกับความฝันที่จะได้มาในสิ่งใหญ่โต แต่สุขใจไปกับของขวัญเล็กน้อยที่พระเจ้าประทานให้ในแต่ละวัน"
พ่อสุพจน์
.....................................................................................................................
 
พี่น้องที่รักทุกท่าน
                อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ 2 เทศกาลมหาพรตแล้ว ผ่านมาหนึ่งอาทิตย์แล้วไม่รู้ว่าความตั้งใจของการเข้าร่วมจิตตารมย์มหาพรตนั้นได้เริ่มต้นแล้วหรือยัง หรือทำได้มากน้อยเพียงใด วันเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วเหลือเกิน
            เทศกาลมหาพรตเปรียบเสมือนกับการเดินทางของชีวิต มีบ้างบางครั้งที่ชีวิตของเราเหมือนกับการอยู่กับพระเจ้าในถิ่นทุรกันดาร พระองค์ทรงนำเราขึ้นไปบนภูเขาแห่งการภาวนา และเข้าสู่ประสบการณ์แห่งแสงสว่าง เมื่อพระเจ้าทรงประทานช่วงเวลาแห่งความเข้าใจอันลึกซึ้งให้กับเราเพื่อเป็นกำลังใจสำหรับการต่อสู้ในอนาคต เหมือนกับอัครสาวกทั้งสามคนที่พระเยซูเจ้าทรงนำพาพวกเขาขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐานภาวนา และได้มีประสบการณ์ในการเปลี่ยนพระวรกายของพระองค์ ศิษย์ทั้งสามคนนี้จำเป็นเหลือเกินที่จะต้องได้รับประสบการณ์เช่นนี้กับพระเยซูเจ้า เพราะในอนาคตพวกเขาทั้งสามคนจะต้องเป็นพยานยืนยันถึงพระองค์ เปโตรต้องเป็นดังเสาหลักของพระศาสนจักร ยากอบเป็นอัครสาวกคนแรกที่เป็นมรณสักขี ส่วนยอห์นจะมีชีวิตยืนยาวกว่าศิษย์คนอื่นๆ และบันทึกพระวรสารฉบับที่สี่ เพื่อเป็นแรงบันดาลใจในการรำพึงไตร่ตรองถึงการบังเกิดมาเป็นมนุษย์ของพระเยซูเจ้า การอยู่กับพระเจ้าในถิ่นทุรกันดารไม่ใช่เพียงมิติของความยากลำบากของชีวิต แต่เป็นมิติของการได้อยู่เงียบๆ กับพระเจ้า ได้ฟังเสียงของพระเจ้า โดยอาศัยการภาวนา การรำพึง การไตร่ตรอง การคิดทบทวนถึงประสบการณ์ชีวิตต่างๆ ในแง่มุมของความเชื่อ ซึ่งจะทำให้เราได้เข้าใจเรื่องราวต่างๆ ได้ดียิ่งขึ้น ถือว่าเป็นช่วงเวลาที่ทรงคุณค่าอย่างยิ่งสำหรับเราคริสตชน
            ดังนั้นมหาพรตสำหรับเราจึงไม่ควรเป็นความทุกข์ หรือความเศร้า แต่ควรจะเป็นความชื่นชมยินดีที่เราจะได้มีโอกาสใกล้ชิดกับพระเจ้ามากยิ่งขึ้น จงหมั่นสวดภาวนา ทำพลีกรรม ใช้โทษบาป และอดออมเพื่อนำไปช่วยเหลือผู้อื่น ปฏิบัติกิจเมตตาปราณี เพื่อเพิ่มพูนพลังชีวิตทางด้านความเชื่อของเราให้เข้มแข็งอยู่เสมอ จะได้ไม่พ่ายแพ้ต่อการผจญต่างๆ
                                                                                                                     คุณพ่อศวง

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2013


..........................................................................................................................................
๑ ปี วิถีชุมชนวัด ซอยประจักษ์สิน
            สวัสดีพี่น้องที่รัก วิถีชุมชนวัด (BEC) ที่ได้เริ่มต้นขึ้นที่วัดของเรา (ที่ซอยประจักษ์สิน) ก็ได้บรรจบครบรอบ 1 ปีที่ร่วมเดินทางกันมาแล้ว ผลงานจากพระวาจาที่ได้เปลี่ยนแปลงสมาชิกก็เริ่มเห็นผลบ้างแล้ว มีกิจการร่วมกันของชุมชน เช่น การออกเยี่ยมผู้ป่วย การพูดคุยทักทาย แม้แต่เรื่องพื้นฐานคือการยิ้มให้กันก็มีมากขึ้น ยังมีการสร้างสรรค์บอร์ดประชาสัมพันธ์ข่าวสารของกลุ่มและคนในซอยให้ทราบกันอีกด้วย ที่เห็นชัดก็คือได้นำการสวดภาวนาด้วยกันของคนในซอยเข้ามาอีกครั้ง พี่น้องครับ พระวาจาของพระเจ้านี้จะคงดำรงอยู่ในชีวิตคริสตชนของพี่น้องทุกคนต่อไปเช่นนี้เสมอ แล้วเราจะร่วมกันสร้างวิถีชุมชนวัดไปด้วยกัน
            การฉลองวันพระเจ้าคือหัวข้อที่เราพูดคุยกันประจำเดือนนี้ โดยนำเรื่องของแบบอย่างมรณสักขีในอดีตที่ยอมตาย ดีกว่ายอมขาดการร่วมการฉลองพิธีมิสซา ประโยคเด็ดที่พวกมรณสักขีกล่าวก็คือ “พวกเราคริสตชนไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากการฉลองพิธีมิสซา” นั่นเอง
            แล้วพวกเราล่ะ???
            สิ่งนี้กลายมาเป็นข้อรำพึงแบ่งปัน และพูดคุยกันในที่ชุมนุม พ่อถามกับสมาชิกจากประโยคที่มาจากพระวรสารนักบุญยอห์น (ยน 20:19-23) ว่า “เมื่อเขาเหล่านั้นเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี” แล้วเมื่อเราไปร่วมฉลองวันพระเจ้า หรือมิสซาวันอาทิตย์นั้น เรามีความยินดีหรือไม่?
            คำตอบของพี่น้องนั้น พ่อเชื่อมั่นว่าคงไม่ต่างจากสมาชิกกลุ่มนี้มากนัก “มีความสุข”  “อยากไปวัด เพราะจะได้ขอบคุณพระเจ้า” “ไปมิสซาแล้วเหมือนได้เติมแบตเตอรี่” “ยินดีทุกครั้งที่ได้ไปมิสซา เพราะยิ่งมีความทุกข์ก็ลืมความทุกข์ไป” “แม้ในยามเจ็บป่วย เหมือนพระทอดทิ้ง แต่เมื่ออ่านพระคัมภีร์ ได้ฟังพระวาจาแล้วก็มีสันติสุข และสามารถอดทนได้”
            ยังมีคำตอบอีกมากมาย..... พ่อขอท้าทายให้พี่น้องทุกคนได้ค้นหาคำตอบสำหรับตัวเองนะครับ “เรามีความยินดี มีสันติสุขไหม เมื่อได้มาวัด ร่วมมิสซาทุกวันอาทิตย์?”
            จะสามารถบอกได้ไหมว่า “ชีวิตคริสตชนของเราขาดมิสซาวันอาทิตย์ไม่ได้” “คิดถึงพระ อยากมาหาพระองค์” เพราะนั่นจะทำให้เราหันมามองตัวเองมากขึ้น โดยเฉพาะในเทศกาลมหาพรตที่เริ่มต้นอาทิตย์แรกนี้ ว่าเราให้ความสำคัญกับวันพระเจ้ามากเพียงใด?  พี่น้องได้ต่อสู้เต็มกำลังความสามารถหรือยังเพื่อจะได้มาวัดวันอาทิตย์ เหมือนกรณีของมรณสักขีแห่งเมืองอาบิทาเนีย?
            สิ่งสำคัญตามมาคือ เราจะทำอย่างไรให้การมาร่วมมิสซาในวันพระเจ้ามีคุณค่าและความหมายสำหรับชีวิตและชุมชนของเรา?
            ขอทุกท่านจงมีความสุขสันติ มีความยินดีที่ได้พบพระองค์ รู้จัก และรักพระองค์ เพราะนี่เป็นบ่อเกิดแห่งความรักในครอบครัว ในชุมชน และสังคมที่เราอาศัยอยู่ และมหาพรตนี้จะกลายเป็นเทศกาลแห่งความรักโดยแท้สำหรับเราคริสตชนทุกคน เพราะองค์พระผู้เป็นเจ้าได้สละชีวิตของพระองค์เพื่อกอบกู้เราไว้แล้ว
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 10 กุมภาพันธ์ 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันนี้เป็นวันตรุษจีน เป็นวันฉลองปีใหม่ของชาวจีน และ ผู้มีเชื้อสายจีนทุกท่าน วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็มีพี่น้องที่เป็นคริสตชนเชื้อสายจีนเป็นจำนวนมาก วันนี้จึงเป็นวันดี เป็นโอกาสสำคัญที่เราทุกคนถือว่าเป็นวันที่ต้องเฉลิมฉลองกัน ให้ความสำคัญกันเป็นพิเศษ
            พ่อถือโอกาสนี้นำเรื่องหนึ่งมาเล่าสู่กันให้พี่น้องฟัง เรื่องนี้เป็นเรื่องที่มีแหล่งกำเนิดมาจากประเทศจีน มีการเล่าสู่กันมาว่า ครั้งหนึ่งเกิดแผ่นดินไหวใหญ่ในประเทศจีน ในตอนที่เกิดเหตุการณ์แผ่นดินไหวครั้งนั้น มีชาวนาผู้หนึ่งยืนอยู่ในผืนนาของเขาบนยอดเนินเขา      ลูกหนึ่ง จากตรงนั้นเขามองเห็นคลื่นสูงใหญ่ราวกับสัตว์ร้ายที่พร้อมจะกระโจนตัวเข้าตะครุบเหยื่อก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรเบื้องล่าง ชาวนาผู้นั้นทราบโดยสัญชาตญาณว่า คลื่นใหญ่ลูกนี้จะต้องถาโถมเข้ามาทำลายทุกสิ่งที่อยู่เบื้องล่างราบเป็นหน้ากลองแน่ๆ เขาเห็นเพื่อนบ้านที่ทำนาอยู่บริเวณพื้นที่ราบลุ่มด้านล่างหลายคน กำลังง่วนอยู่กับการงาน คนเหล่านี้กำลังตกอยู่ในอันตรายใหญ่หลวง เขาคิดว่าเขาจะทำอย่างไรดีเพื่อจะช่วยคนเหล่านี้ให้ได้ เขาไม่มีเวลาไตร่ตรองมากนัก ที่สุดเขาตัดสินใจจุดไฟที่กองฟางใหญ่ที่เขาสะสมไว้สำหรับเลี้ยงสัตว์ใกล้ๆโรงนาของเขา ไม่นานนัก ไฟก็ลุกโหมอย่างน่ากลัว เขาวิ่งไปตีระฆังที่โบสถ์บนยอดเขา พลางร้องตะโกนให้ทุกคนมาช่วยเขา ชาวนาเพื่อนบ้านของเขามองเห็นควันไฟแต่ไกล และได้ยินเสียงระฆังก็คิดว่าไฟไหม้โรงนา พวกเขาต่างละทิ้งทุกอย่างวิ่งขึ้นไปบนเนินเขาเพื่อช่วยกันดับไฟ ขณะที่พวกเขาวิ่งเกือบจะถึงยอดเนินเขาแห่งนั้น ก็ได้ยินเสียงคลื่นใหญ่ด้านล่างเชิงเขาถาโถมเขากลืนกินทุกสิ่งทุกอย่าง ในบริเวณผืนนาที่ราบเบื้องล่างที่พวกเขาพึ่งวิ่งจากมานั้น
            แล้วพวกเขาก็เข้าใจทันที ว่าเพื่อนบ้านคนนี้ได้ช่วยชีวิตของพวกเขาเอาไว้ จากนั้นเป็นต้นมา ชาวนาที่รอดชีวิตเหล่านี้ก็เดินขึ้นไปยังโบสถ์บนเนินเขานั้นเพื่อสวดภาวนาอุทิศให้กับเพื่อนชาวนาผู้นั้นที่ได้ช่วยชีวิตเขา และ ขอบคุณพระเจ้าที่ยังเมตตาต่อชีวิตของพวกเขาเป็นประจำสม่ำเสมอ
    ซินเจียยู่อี่    ซินนี้เผ่งอัง

พ่อสุพจน์
......................................................................................................................
พี่น้องที่รักทุกท่าน
                อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่ 5 เทศกาลธรรมดา ซึ่งจะเป็นอาทิตย์สุดท้ายของเทศกาลธรรมดาในช่วงแรก เพราะเราจะเริ่มเข้าสู่เทศกาลมหาพรตกันแล้วในวันพุธที่จะถึงนี้คือวันที่ 13 กุมภาพันธ์ 2013 ที่วัดเซนต์หลุยส์ของเราก็จะมีพิธีมิสซาเสกและโรยเถ้าเพื่อเป็นเครื่องหมายถึงการเตรียมจิตใจและการใช้โทษบาปของเราตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ มิสซาเวลา 19.00 น. เชิญชวนพี่น้องได้มาร่วมในพิธีที่สำคัญนี้กันทุกคนนะครับ
            จากสารมหาพรตปี 2013 ของสมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ ที่ 16 ได้กล่าวถึงพระคริสตเจ้ากับจิตตารมณ์มหาพรต มีใจความดังนี้ ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงเริ่มดำเนินพระภารกิจการไถ่กู้มวลมนุษย์ พระองค์ทรงใช้เวลา 40 วัน ปฏิบัติดังนี้คือ
1.    ทรงเตรียมตัวที่จะอุทิศตนเพื่อความรอดของมวลมนุษย์ กล่าวคือ ให้ชีวิตของพระองค์เป็นทานไม่ใช่เพียงสิ่งของที่เป็นทานเท่านั้น
2.    ทรงภาวนาติดต่อกับพระบิดาเจ้า เพื่อไตร่ตรองพระประสงค์ของพระองค์เกี่ยวกับแผนการแห่งการไถ่กู้มนุษยชาติ
3.       ทรงอดอาหาร เพื่อยืนยันว่าสิ่งสร้างและปัจจัยสี่ทั้งหลายไม่สำคัญกว่าพระผู้สร้าง
ท่าทีที่พระองค์ได้ทรงปฏิบัติดังกล่าวข้างต้นเป็นรูปแบบและแนวทางที่คริสตชนจะต้องพิจารณาไตร่ตรอง พร้อมทั้งกลับใจเปลี่ยนแปลงชีวิตใน 3 ประเด็นต่อไปนี้ คือ
1.       การให้ทาน (ด้วยชีวิต) ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : มนุษย์
2.       การภาวนา ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : พระเป็นเจ้า
3.       การอดอาหาร ซึ่งเป็นท่าทีต่อ : สิ่งสร้าง
จากจิตตารมณ์มหาพรตของสมเด็จพระสันตะปาปาองค์นี้ทำให้เราเห็นถึงความหมายของการเข้าสู่เทศกาลมหาพรตอย่างเข้าใจและร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับพระคริสตเจ้าในการฉลองพระธรรมล้ำลึกปัสกาแห่งความรอดของมนุษยชาติ มหาพรตปีนี้ขอให้เราคริสตชนตั้งใจที่จะสวดภาวนามากขึ้น ตั้งใจอดอาหารอย่างจริงจัง และตั้งใจที่จะให้ทานของเราด้วยชีวิต และทำมหาพรตทุกๆ วัน ตลอดปี และตลอดไป
                                                                                                                     คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 กุมภาพันธ์ 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            วันนี้พ่อมีเรื่องมาเล่าให้พี่น้องฟังอีกแล้วนะครับ เรื่องนี้พ่ออ่านเจอในหนังสือเล่มหนึ่ง เลยเอามาเล่าสู่กันฟัง ลองฟังดูเพลินๆนะครับ ให้ข้อคิดที่ดีกับเราด้วย
            เด็กชายคนหนึ่งวิ่งกระหืดกระหอบมาหาแม่บอกกับแม่ว่า "แม่ครับ ในป่าข้างนอกนั่นมีเด็กคนหนึ่งล้อเลียนผมตลอดเวลา เวลาผมพูดอะไรออกไป เขาก็พูดซ้ำคำของผมทุกครั้ง ถ้าผมพูดว่า เฮลโหล เขาก็จะพูด เฮลโหล เหมือนกัน"
            ถ้าผมพูดว่า "แกเป็นใคร?” เขาก็จะพูดว่า "แกเป็นใคร?”
            ถ้าผมพูดว่า "แกชื่ออะไร?” เขาก็จะพูดว่า "แกชื่ออะไร?” เหมือนกัน
            “แล้วผมก็ชักโมโห ผมเลยกระโดดข้ามรั้วบ้านออกไป วิ่งเข้าไปในป่าข้างนอก เพื่อจะไปหามันให้เจอ แต่ผมก็ไม่เจอใครเลย"
            ผมเลยตะโกนออกไปว่า "ฉันจะต่อยหน้าแก" แล้วมันก็พูดกลับมาว่า "ฉันจะต่อยหน้าแก" เหมือนกันอีก ผมยิ่งโมโหใหญ่เลย
            แม่ของเด็กชายคนนั้นบอกกับเขาว่า "โอ้ นั่นมันเป็นเสียงสะท้อนนะลูก" ถ้าหนูพูดออกไปว่า "ผมรักคุณ" จะมีเสียงสะท้อนมาเหมือนกันว่า "ผมรักคุณ" แม่จะเล่าเรื่องนึงให้หนูฟังนะ มีสุนัขตัวหนึ่ง เดินเข้าไปในห้องห้องหนึ่งที่มีกระจกอยู่เต็มไปหมด มันเห็นสุนัขในกระจกทุกบานที่มันมองไป  ในที่สุดปรากฏว่ามันเหนื่อย และตายลงเพราะมันมัวแต่พยายามต่อสู้กับ "ศัตรู" ของมันที่อยู่ในกระจกเหล่านั้น แต่ถ้ามันแค่ สะบัดหางแสดงท่าทางมีมิตรไมตรี มันก็จะมีเพื่อนที่สะบัดหางแสดงมิตรไมตรีกับมันเยอะแยะเลย
            ชีวิตของเรามนุษย์ ก็เปรียบได้กับเสียงสะท้อน และ ภาพสะท้อนในกระจกนั่นเอง "อยากได้รับสิ่งใดจากผู้อื่น ก็จงปฏิบัติต่อเขาอย่างนั้นก่อนเถิด"
พ่อสุพจน์
.....................................................................................................................................

สวัสดีพี่น้องที่รัก
            เพื่อจะเติบโตได้อย่างมั่นคงเข้มแข็ง ต้องผ่านเวลาที่ยากลำบาก ได้ฝึกฝนให้มีความอดทน ยอมรับงานหนักได้ ไม่ว่าจะอยู่ในวงการไหน อาชีพไหนก็ตาม
            พ่อนึกถึงตนเองในสมัยอยู่ในบ้านเณรตั้งแต่ ม.1 ที่บ้านเณรทำให้พ่อได้เจอเรื่องยาก หนัก และไม่เคยทำหลายอย่าง แต่ก็เพื่อฝึกฝนความอดทน สัมผัสกับงานมือ ลงมือจับจอบจับเสียม ขุดดินปลูกพืชผัก แม้กระทั่งปลูกต้นไม้ขนาดใหญ่ก็ได้ทำมาแล้ว อีกทั้งยังต้องกรำงานตากแดดที่ร้อนแรงอีกด้วย  หากถามว่าเหนื่อยมั้ย ก็เหนื่อย แต่ก็เหนื่อยอย่างมีจุดมุ่งหมายเพื่อฝึกฝนตนเอง สิ่งเหล่านั้นที่ฝึกฝนมาส่งผลมาถึงวันนี้จริงๆ
            มาถึงสมัยนี้ที่สังคมเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว สื่อฯ สมัยใหม่มีบทบาทสำคัญอย่างมาก รวดเร็วและแพร่หลาย รวมทั้งเรื่องของสิทธิที่มีการเรียกร้องกันอย่างมากมายจนกฎหมายต้องมาตัดสินเพื่อวางกฎกติกา และประกาศออกมา ที่ดูจะเป็นที่ถกเถียงกันมากที่สุดเวลานี้ก็เห็นจะเป็นเรื่อง “สพฐ. สั่งให้ลดการบ้านเด็ก” และครูไม่มีอำนาจเหนือนักเรียน ทั้งนี้เพื่อไม่ให้เด็กเครียดจนเกินไปจากการบ้านที่ครูให้ ทำให้สังคมต่างตั้งคำถามว่า “แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับเด็กเหล่านี้?” การบ้านเป็นส่วนหนึ่งของการพัฒนาทักษะ ความรู้สู่ภาคปฏิบัติ แต่เมื่อกติกาบอกว่าหากเด็กเครียดเกินไป ก็ไม่ต้องทำการบ้านนั้นก็ได้ ไม่ผิดอีกแล้ว เด็กนักเรียนก็คงไม่ต้องฝึกอะไรอีก
            กฎกติกาหลายอย่างโดยเฉพาะด้านการศึกษาของไทยนั้น ออกมามีส่วนดี แต่ส่วนใหญ่ยังไม่มีความพร้อมและความเข้าใจที่ถูกต้อง นั่นรังแต่จะทำความเสียหายให้มากกว่า... เรื่องนี้ยังไม่จบแน่พี่น้อง พ่อเชื่อว่าต้องมีกระแสวิพากษ์วิจารณ์ออกมาอีกมากมาย เพราะหากเป็นเช่นนี้ต่อไป คุณครูหลายคนอาจจะไม่อยากสอนอีกแล้ว เพราะไม่สามารถให้การบ้านได้ ไม่สามารถลงโทษได้หากไม่ทำการบ้าน การฝึกฝนตนเองที่จะได้จากครูก็จะยิ่งน้อยลงไปอีก ส่วนเด็กนั้นเมื่ออยากทำการบ้านแค่ไหนก็แค่นั้น เวลาที่เหลือนั้นจะเอาไปทำอะไรแทบไม่อยากจะคิดต่อไปเลย
            เรื่องนี้สามารถโยงเกี่ยวกับเหตุการณ์สมัยพระเยซูเจ้าได้เหมือนกัน ชาวนาซาเร็ธบ้านของพระเยซูเจ้าไม่เชื่อในพระองค์ ไม่ต้อนรับพระองค์ เพราะพระเยซูเจ้าไม่เป็นอย่างที่เขาคิดไว้ 1.แสดงอัศจรรย์ที่หมู่บ้านของพวกเขาก่อน แต่กลับทำอัศจรรย์ครั้งแรกที่เมืองคานา 2.เป็นผู้นำทางการทหารกอบกู้ชาติยิว และเรื่องอื่นๆ ที่แตกต่างออกไปจากความคิดของพวกเขา ผลคือพระองค์ไม่อาจเทศน์สอนและทำอัศจรรย์ที่นี่ได้มากนัก เพราะเขาไม่มีความเชื่อ ชาวนาซาเร็ธปิดใจ ปิดตาไม่รับรู้จุดประสงค์แห่งการบังเกิดมาของพระองค์ จึงไม่เข้าใจและรับไม่ได้กับสิ่งที่พระองค์กระทำ
            เด็กนักเรียนสมัยนี้ก็เช่นกัน จึงอยากให้เข้าใจจุดมุ่งหมายที่แท้ของการทำงาน ทำการบ้านมากๆ ดีกว่ามาเรียกร้องว่าไม่ต้องให้การบ้าน ฝึกฝน อดทน เพื่อเป้าหมายในอนาคต แม้อนาคตไม่ได้อยู่ตรงหน้าเหมือน ipad ไม่อาจกดรีโมตได้ตามใจปรารถนา แต่คุณค่าของมันมีอยู่อย่างแน่นอน ไม่งั้นคงไม่มีคติพจน์ประจำตัวของพระคาร์ดินัลที่ว่า “ผ่านกางเขน สู่แสงสว่าง” “PER CRUCEM AD LUCEM”
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก