สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
นี่ก็เพิ่งผ่านวันพ่อไปหมาดๆ
อดไม่ได้ที่จะกล่าวถึงภาพที่น่าประทับใจที่พสกนิกรชาวไทยกว่าสองแสนคนพร้อมใจกันใส่เสื้อเหลืองไปเฝ้ารับเสด็จในหลวง
ในการเสด็จออกมหาสมาคม ณ สีหบัญชร พระที่นั่งอนันตสมาคม
ในโอกาสพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา เมื่อวันที่ 5
ธันวาคม ที่ผ่านมา แม้ว่าพ่อจะชมภาพอันน่าประทับใจนี้ผ่านจอโทรทัศน์
โดยไม่ได้มีโอกาสที่จะไปอยู่ร่วมกับผู้คนจำนวนมากที่ลานพระบรมรูปทรงม้าก็ตาม
ก็มีความรู้สึกปลาบปลื้มปิติเป็นอย่างมากเพราะสัมผัสได้ถึงหัวใจของคนไทยจำนวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความรักที่มีต่อในหลวงของเรา
พระพักตร์ของในหลวงก็เต็มเปี่ยมไปด้วยความผ่องใส
แสดงถึงพระพลานามัยที่ยังสมบูรณ์ตามอัตภาพ
ยิ่งได้เห็นใบหน้าของผู้คนจำนวนมากที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความยินดีเป็นล้นพ้นในยามที่ได้ชื่นชมพระบารมีในโอกาสนี้ยิ่งทำให้รู้ว่า
ในหลวงของเราคือศูนย์รวมดวงใจของประชาชนชาวไทยอย่างแท้จริง
โอกาสวันพ่อ
พ่อก็คิดถึงบิดาของพ่อเองเหมือนกัน เลยถือโอกาสขับรถไปเยี่ยมเยียนท่านที่บ้าน
ครอบครัวของเรามีพี่น้องชายหญิงรวมกัน 5 คน
แต่ปีนี้สมาชิกพี่น้องของเราหายไปหนึ่งเสียแล้ว
เพราะน้องสาวคนหนึ่งของพ่อซึ่งเป็นสมาชิกภคิณีคณะพระหฤทัยพระเยซูเจ้าแห่งกรุงเทพฯ
ต้องมาด่วนจากทุกคนไปด้วยอายุขัยเพียง 45 ปีเท่านั้น
ด้วยโรคมะเร็ง "ซิสเตอร์ปุ๊ก" ซึ่งเป็นชื่อที่เราเรียกกันในหมู่พี่น้องมักจะเป็นคนคอยโทรตามนัดพี่น้องทุกคนให้กลับไปบ้านในโอกาสวันพ่อเสมอๆ
แต่ปีนี้ไม่มีใครทำหน้าที่นี้อย่างเคย
โอกาสวันพ่อปีนี้พ่อเลยสอบถามน้องๆที่เหลืออีก 3คน
ว่ามีใครสามารถกลับไปเยี่ยมบิดาที่บ้านในวันพ่อได้บ้าง
แต่ปรากฏว่าปีนี้ทุกคนติดภารกิจการงานหน้าที่ที่รับผิดชอบกันซะหมด
พ่อเลยเป็นตัวแทนน้องๆทุกคนกลับไปเยี่ยมบิดาที่บ้าน ในวัย 83 ปีของท่าน ท่านก็ยังแข็งแรงตามวัย
เดี๋ยวนี้ต้องใช้ไม้เท้าช่วยในยามเดินเหินไปไหนมาไหน อยู่อาศัยกับคุณแม่เพียงสองคนที่บ้านเจ้าเจ็ด
ส่วนน้องๆต่างก็ไปทำงานกันตามหน้าที่ความรับผิดชอบของตัวเอง
ตั้งแต่มาปฏิบัติหน้าที่ที่วัดเซนต์หลุยส์แห่งนี้
พ่อไม่ค่อยได้มีโอกาสเดินทางกลับไปเยี่ยมบ้านได้บ่อยเหมือนอย่างที่เคยปฏิบัติในช่วงเวลาที่ผ่านมา
แต่วันพ่อวันนี้ที่บ้านของเรายังคงอบอุ่น
เพราะแม้ว่าลูกๆจะไม่ได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตากัน
แต่ใจของเรายังคงเป็นหนึ่งเดียวกันในความรัก ความกตัญญูรู้คุณต่อท่านเสมอ
พ่อสุพจน์
............................................................................................................
ขอสันติสุขของพระกุมารเจ้าสถิตอยู่กับพี่น้องทั้งหลาย
ก่อนอื่นต้องขอกล่าวคำสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณของพ่อหลวงของปวงชนชาวไทย
คริสตชนไทยเราได้เจริญขึ้นมาได้ทุกวันนี้
ก็ด้วยอยู่ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภารของพระมหากษัตริย์ผู้ประกอบด้วยทศพิศราชธรรมผู้นี้
ด้วยเหตุนี้ ทั่วทุกหัวระแหงในเมืองไทยจึงพร้อมใจกันสดุดีพระองค์
จุดเทียนชัยถวายพระพร ริเริ่มกิจการดีอันเป็นกุศลถวายแด่พระองค์ เท่าที่พอจะนึกได้
คาทอลิกไทยเราก็ได้มีการจัดคอนเสิร์ต การเดิน-วิ่งเฉลิมพระเกียรติ
การฉลองวัดพระมารดานิจจานุเคราะห์ในวันพ่อที่ผ่านมาก็มีพิธีอาศิรวาทฯ
พวกเราต่างแสดงออกในกิจกรรมที่ตนเองถนัด
พ่อเองก็เชื่อว่าพี่น้องคริสตชนไทยเราจงรักภักดี และอยากจะทำดีเพื่อในหลวงของเราเช่นกัน
เข้าสู่สัปดาห์ที่ 2 ในเทศกาลเตรียมรับเสด็จพระคริสตเจ้า (ADVENT) แล้ว ทำให้พ่อนึกถึงความหมายของเทศกาลนี้ที่เราได้รอคอย เตรียมตัว
และเฝ้ารับเสด็จพระคริสตเจ้า เรารอคอยโดยรู้ว่าพระองค์จะมาแน่นอน
แต่ยังไม่รู้ว่าเมื่อไร สีม่วงในเทศกาลนี้ ตามที่อาจารย์พิธีกรรมได้ให้ความรู้ไว้
เป็นสีม่วงอ่อน เพราะเตือนให้เป็นทุกข์ถึงบาปกลับใจ
แต่น้ำหนักน้อยกว่าในเทศกาลมหาพรต ที่เป็นพรตใหญ่กว่า อย่างไรก็แล้วแต่
พระวาจาวันนี้กล่าวถึงนักบุญยอห์นบัปติสตา ผู้เป็นเสียงร้องในถิ่นทุรกันดารว่า “จงเตรียมทางขององค์พระผู้เป็นเจ้า
จงทำทางเดินของพระองค์ให้ตรงเถิด หุบเขาทุกแห่งจะถูกถมให้เต็ม
ภูเขาและเนินทุกแห่งจะถูกปรับให้ต่ำลง ทางคดเคี้ยวจะกลายเป็นทางตรง
ทางขรุขระจะถูกทำให้ราบเรียบ แล้วมนุษย์ทุกคนจะเห็นความรอดพ้นจากพระเจ้า”
แค่คำว่าเสียงร้องในถิ่นทุรกันดารก็มีความหมายมากแล้ว “ถิ่นทุรกันดาร”
ทำให้เรานึกถึงที่สงบเงียบ ที่เราสามารถฟังเสียงต่างๆ ได้อย่างชัดเจน
เหตุนี้ยอห์นถึงต้องไปร้องประกาศในถิ่นทุรกันดาร แต่ว่าก็น่าแปลก
เพราะหากเป็นพวกเราคงไม่ไปร้องที่นั่นแน่ เพราะคงไม่มีใครอยู่ ไม่รู้จะร้องให้ใครฟัง แต่สิ่งสำคัญไม่ได้อยู่ที่คน
แต่อยู่ที่การฟังต่างหาก และนี่คือจุดประสงค์ของพระวาจาในวันนี้ เปิดหูของเราฟังพระวาจาของพระเจ้า
เปิดใจของเราเพื่อทบทวนความบาปผิดบกพร่องของเรา เปิดตาของเรามองไปที่คนยากจนขัดสนและทุกข์ยากกว่าเราเพื่อช่วยเหลือเขา
เมื่อนั้นเราจะร่วมกันเปิดโลกใบนี้ด้วยกันให้เห็นถึงข่าวดีที่พระกุมารมาบังเกิดเพื่อเราทุกคนจริงๆ
พี่น้องครับ หากช่วงปลายปีนี้ยังวุ่นวายกับเรื่องต่างๆ
มากเกินไป ลองหยุดบ้าง ไม่ต้องถึงกับเข้าป่า ออกทะเล หรือไปกลางทะเลทรายจริงๆ
แต่ขอให้หยุดนิ่ง เพื่อสวดภาวนา ฟังพระวาจาพระเจ้า เพื่อทบทวนดูความเชื่อของเราว่าเป็นอย่างไร
ความเชื่อควรมาจากการฟัง สังเกตดูตอนล่ามภาษามือออกมาแปลคำว่าความเชื่อ
หรือข้าพเจ้าเชื่อสิครับ เขาจะชี้มือไปที่หู
เพราะถ้าไม่ฟังก็ไม่มีทางมีความเชื่อแน่นอน
ขอพระเจ้าอวยพรทุกท่าน
คุณพ่อปลัดองค์เล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น