วันศุกร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 22 กรกฎาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้อง
ครั้งหนึ่งลีไอคอกก้าถามวิ้นซ์ลอมบาร์ดี โค้ชทีมอเมริกันฟุตบอลอาชีพชื่อดังว่า มีปัจจัยอะไรบ้างที่ทำให้ทีมฟุตบอลประสบความสำเร็จได้?” ในหนังสือที่มีชื่อว่า ไอคอกก้า บันทึกคำตอบเอาไว้ว่า มีโค้ชจำนวนมากที่ทำงานอยู่กับทีมฟุตบอลที่ดี เขาเหล่านั้นมีความรู้พื้นฐานในการฝึกฝนทีมฟุตบอลด้วยระเบียบวินัยที่เคร่งครัด แต่นั่นก็ยังไม่สามารถทำให้ทีมชนะได้ สิ่งที่สำคัญที่สุดถ้าอยากให้ทีมประสบความสำเร็จก็คือ จงเล่นด้วยกันเป็นทีม ผู้เล่นทุกคนต้องเอาใจใส่ซึ่งกันและกัน ทุกคนต้องรักกันและกัน ผู้เล่นทุกคนต้องคิดถึงคนที่จะรับลูกไปเล่นต่อไป และคิดว่าถ้าฉันไม่เข้าไปสกัดผู้เล่นฝ่ายตรงข้ามเอาไว้ตอนนี้ เพื่อนของฉันอาจถูกชนขาหักก็ได้เพราะฉะนั้นฉันจะต้องทำหน้าที่ของฉันอย่างดีที่สุดเพื่อให้ผู้เล่นคนอื่นสามารถเล่นในบทบาทของเขาได้เป็นผลสำเร็จ วินซ์ลอมบาร์ดีสรุปว่า ความแตกต่างระหว่างทีมฟุตบอลที่ดีกับทีมฟุตบอลที่ประสบความสำเร็จนั้นอยู่ที่ความสัมพันธ์ของผู้เล่นที่มีต่อกันและกันภายในทีม
วันอาทิตย์นี้สภาภิบาลวัดของเรามีวาระการประชุมเรื่องการเตรียมงานฉลองวัดเซนต์หลุยส์ของเรา ซึ่งจะมาถึงในวันที่ 26 สิงหาคมเดือนหน้านี้แล้ว ในปีนี้เราเชิญพระสงฆ์ในสังฆมณฑลกรุงเทพที่ฉลองบวชครบ 25 ปี ซึ่งปีนี้มีจำนวน 6 องค์มาเป็นประธานในพิธีฉลองวัด  พระสงฆ์สององค์ในจำนวนนี้เป็นลูกวัดของเราซึ่งได้แก่คุณพ่อประทีป กีรติพงศ์และคุณพ่อสุวนารถ กวยมงคล จึงถือโอกาสนี้ เชิญคุณพ่อทั้ง 6 องค์มาถวายมิสซาในโอกาสวันฉลองวัดเซนต์หลุยส์ของเรา เพื่อเราจะได้มีโอกาสร่วมโมทนาคุณพระเจ้าพร้อมกันกับท่าน ที่พระเจ้าได้ทรงโปรดให้ท่านได้ทำหน้าที่เป็นสงฆ์ของพระเจ้ามาเป็นเวลานานถึง 25 ปีแล้ว แน่นอนครับมีรายละเอียดที่ต้องพูดกันเยอะพอสมควร เพื่อให้การฉลองวัดของเรานั้นได้รับการตระเตรียมให้พร้อมในทุกด้านทั้งในด้านสถานที่ในการจัดงาน ในด้านพิธีกรรมที่สง่างามชวนศรัทธา ซึ่งเป็นเรื่องสำคัญที่สุด นอกจากนี้ก็คงเป็นเรื่องการจัดอาหารเที่ยงสำหรับผู้ที่มาร่วมงานฉลองวัดของเรา เรื่องการอำนวยความสะดวกเรื่องการจอดรถและเรื่องอื่นๆที่เกี่ยวข้อง ดังนั้นเราจึงต้องช่วยกันทำงานแบบเป็นทีมเวิร์ก เพื่อให้ทุกอย่างดำเนินไปอย่างราบรื่นเรียบร้อยเท่าที่จะเป็นไปได้ แต่ถ้าจะมีอะไรขาดตกบกพร่องไปบ้างก็ต้องน้อมรับและจดจำไว้สำหรับปรับปรุงแก้ไขในครั้งต่อๆไป ในวัดแต่ละวัด ถ้าคริสตชนแต่ละคนต่างก็เรียนรู้จักที่จะเอาใจใส่ซึ่งกันและกันและร่วมมือกันอย่างดี ก็เท่ากับว่าเราเรียนรู้ที่จะฝึกฝนตัวตนตามคำสอนของพระเยซูที่ว่าจงรักกันและกันอย่างจริงจังเมื่อเราทำเช่นนี้ได้ เราแต่ละคนต่างก็มีส่วนที่จะทำให้ทีมของเราประสบความสำเร็จได้ในที่สุด
                                                                                                                        พ่อสุพจน์
.......................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
             ปกติที่ผ่านมาพ่อมักจะเขียนสารวัดในแต่ละสัปดาห์ที่เกี่ยวข้องกับพระวาจาของพระเจ้าเพื่อให้เป็นข้อคิดสำหรับการดำเนินชีวิตคริสตชนที่ดี แต่ต่อจากนี้เป็นต้นไปพ่ออยากนำเสนอความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีมิสซาอย่างละเอียดในแต่ละพิธีหรือขั้นตอน ซึ่งน่าจะเป็นประโยชน์มิใช่น้อยเพราะโดยส่วนตัวแล้วหลายสิ่งหลายอย่างในพิธีมิสซาที่เราร่วมฉลองทุกๆ วันนั้น เราอาจจะไม่เข้าใจเพราะความไม่รู้เนื่องจากไม่มีใครสอน ไม่เข้าใจเพราะความเคยชินและไม่เห็นเป็นประเด็นอะไรเนื่องจากเราก็ได้ร่วมพิธีมิสซาแล้ว เราได้ทำหน้าที่ของคริสตชนที่ดีแล้วเพราะได้มามิสซามิได้ขาด แต่เราอาจจะลืมไปว่าการร่วมมิสซาอย่างตั้งใจเพราะเราได้รู้คุณค่า ความหมายของพิธีขั้นตอนต่างๆ จะทำให้เราได้เข้าใจความหมายที่ลึกซึ้งมากยิ่งขึ้น
            อันดับแรกพ่อจะขอนำเสนอความเข้าใจเกี่ยวกับพิธีมิสซาเบื้องต้นเพื่อเป็นการปูพื้นฐานความเข้าใจก่อน บูชามิสซาเป็นการเฉลิมฉลองศีลมหาสนิทของพระเยซูเจ้า คำว่า ศีลมหาสนิท ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Eucharist ซึ่งหมายถึง การขอบพระคุณ ซึ่งประกอบด้วย การถวายบูชา การรับศีลมหาสนิท และการประทับอยู่อย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท บูชามิสซา เป็นการรื้อฟื้นการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน (การรับทรมาน การสิ้นพระชนม์ และการกลับคืนพระชนมชีพ) บนไม้กางเขนที่เขากัลป์วารีโอ พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์เพื่อไถ่กู้เรา ในบูชามิสซาที่เราถวายแด่พระบิดาบนพระแท่น พระเยซูเจ้าได้โปรดประทานผลแห่งการกอบกู้ให้แก่เรา การถวายบูชาใดๆ ทั้งหลายในอดีตรวมกันยังไม่เป็นการเพียงพอที่จะชดเชยบาปของเราได้ มีแต่การถวายบูชามิสซาของพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่นำมาซึ่งความเต็มเปี่ยมของการกอบกู้ บางคนอาจจะกล่าวว่าการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนก็เป็นความสมบูรณ์แล้ว และก็เป็นการเพียงพอแล้วสำหรับการไถ่ให้รอด จึงไม่จำเป็นต้องอาศัยการถวายบูชาใดๆ อื่นอีก ซึ่งก็ถูกเพียงบางส่วน เพราะการถวายบูชาในมิสซานั้นเราทำการระลึกถึงการถวายของพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขน และทำให้เรามีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับชีวิตและการถวายของพระเยซูเจ้า ทำให้เรามีชีวิตที่เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ ได้สัมผัสถึงการไถ่ให้รอดของพระองค์อย่างใกล้ชิด ทำให้ชีวิตของเรามีความหวังในความรอดที่พระองค์ทรงนำมาให้กับเรา
            ดังนั้นแล้ว จึงไม่มีการถวายบูชาใดๆ ที่จะเข้ามาเทียบได้กับการถวายบูชาของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิทที่เราได้มีโอกาสร่วมและเป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์ผ่านทางศีลมหาสนิทที่เราได้รับด้วยความตั้งใจและการเตรียมตัวอย่างดีเสมอ ซึ่งเมื่อรู้อย่างนี้แล้วเราคงมีความปรารถนาที่จะมาร่วมพิธีมิสซาทุกวันอาทิตย์และทุกโอกาสที่เราสามารถมาร่วมได้ด้วยใจที่กระตือรือร้นและเปี่ยมไปด้วยความสุขแห่งพระพรที่เราได้รับผ่านทางพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นผลมาจากความรักของพระเจ้าที่ทรงมีต่อเรา เราจึงรู้สึกขอบพระคุณต่อความรักของพระเจ้าเสมอๆ ในพิธีมิสซาอันศักดิ์สิทธิ์
ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้อง
                                                                                                                        คพ.ศวง

วันศุกร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม 2012


พี่น้องที่รัก
            พอดีไปอ่านเจอข่าวเกี่ยวกับการปิดวัดคาทอลิกสองแห่งในประเทศสหรัฐอเมริกา คือวัดนักบุญแอนดรูว์ ในเมืองออกัสต้า และวัดนักบุญเลโอ ในเมืองลิทช์ฟีลด์ เมื่อปลายเดือนตุลาคมปีที่แล้ว วัดทั้งสองอยู่ในความดูแลของวัดนักบุญมีคาแอล ซึ่งเป็นวัดแม่ พระสังฆราช ริชาร์ด มาโลนประมุขของสังฆมณฑลนี้ให้เหตุผลว่า เหตุผลที่ตัดสินใจปิดวัดทั้งสองนั้นเป็นเรื่องยากที่จะอธิบาย แต่สังฆมณฑลมีข้อจำกัดทางด้านงบประมาณ ทำให้ต้องตัดสินใจที่จะปิดวัดทั้งสอง และ ขึ้นป้ายประกาศขายอาคาร เป็นทางออกที่ทางสังฆมณฑลเลือกเพื่อจะได้ดูแล รักษาส่วนอื่นๆของสังฆมณฑลไว้
            ในมิสซาสุดท้ายของวัดทั้งสอง พระสังฆราชกล่าวว่า “วันวันนี้ สำหรับพี่น้องทั้งหลาย คงเป็นเรื่องเศร้าใจ พวกเราคงมีความรู้สึกว่าเราสูญเสีย เรารู้สึกว่าเราต้องปล่อยวางจากสิ่งที่เรารัก เราคุ้นเคย” สัตบุรุษคนหนึ่งกล่าวว่า “มันเป็นเรื่องเศร้า เพราะสำหรับคนที่มาสวดภาวนาที่นี่สม่ำเสมอ และ มีโอกาสได้พบปะกันที่วัดแห่งนี้เป็นประจำ หวังว่าเราคงมีโอกาสได้ไปพบปะกันในวัด ที่ใกล้เคียงกับวัดแห่งนี้อีก” สัตบุรุษอีกคนหนึ่งกล่าวว่า “แม้ว่าที่นี่จะเป็นวัดเล็กๆ แต่สัตบุรุษที่มาที่วัดแห่งนี้ก็สนิทสนมคุ้นเคยกันดี ฉันคงจะต้องหวนคิดถึงหาห้วงเวลาที่ดีที่ผ่านมาแบบนี้ไปอีกนาน” พ่อเจ้าอาวาสวัดแห่งนี้คือ คุณพ่อ ฟรังซิส มอริน กล่าวว่า “การตัดสินใจปิดวัดทั้งสอง เกิดขึ้นเพราะปัจจัยหลายประการ แต่เหตุผลหลักก็คือ สังฆมณฑลประสบภาวะวิกฤติทางการเงิน ในการค้ำจุนกิจการต่างๆที่สังฆมณฑลรับผิดชอบ และ เพื่อหันมาดูภาพรวม และ ปัญหาต่างๆที่เรากำลังเผชิญ รวมไปถึงการวางแผนสำหรับอนาคต และ การรักษาองคาพยพที่เหลือให้ดีที่สุด”
            ฟังเรื่องดังกล่าว แล้วใจหายไม่น้อย เพราะไม่ค่อยเคยได้ยินเรื่องราวทำนองนี้ในบ้านของเรา แม้ว่าเรื่องข้างต้นเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในต่างแดน ต่างวัฒนธรรม ต่างปัจจัยแวดล้อม แต่ในฐานะที่เป็นพระศาสนจักรเดียวกัน เราก็อดเศร้าใจไปด้วยไม่ได้
            พระศาสนจักรต้องเผชิญกับปัญหาต่างๆมากมายในแต่ละยุค แต่ละสมัย นาวาพระศาสนจักรแล่นฝ่าคลื่นลม พายุ มานักต่อนัก และยังคงแน่วแน่แล่นมุ่งหน้าไปยังฟากฝั่งแห่งแผ่นดินที่พระเจ้าทรงนำพา ในปีนี้ วัดของเราต้องมาถึงจุดเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง คือ มีการตัดสินใจรวมกิจการโรงเรียนของวัดซึ่งได้แก่ โรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา และ โรงเรียนเซนต์ไมเกิ้ล ให้คงเหลือไว้เพียงโรงเรียนเดียว เนื่องจาก มีเด็กนักเรียนจำนวนน้อยลงจนไม่สามารถที่จะดำเนินกิจการต่อไปได้ ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการเตรียมการในด้านต่างๆ เพื่อให้การรวมกิจการของทั้งสองโรงเรียนดำเนินไปอย่างราบรื่นทั้งในแง่ของเด็กนักเรียน บุคคลากรครู เจ้าหน้าที่ พนักงานในส่วนต่างๆ ทั้งนี้ได้มีการตัดสินใจแล้วว่า จะคงใช้ชื่อ โรงเรียนเซนต์หลุยส์ศึกษา อันเป็นชื่อของนักบุญหลุยส์กษัตริย์ซึ่งเป็นองค์อุปถัมภ์ของวัดของเราเป็นชื่อของโรงเรียนต่อไปและคาดว่าเมื่อรวมกิจการโรงเรียนทั้งสองเข้าด้วยกันแล้ว จะสามารถดำเนินการด้านการให้การศึกษาอบรมให้กับบุตรหลานของเราอย่างมีประสิทธิภาพต่อไปได้
            เราต้องขอบคุณพระเจ้าเสมอๆ ที่เรายังคงมีวัดซึ่งเป็นศูนย์รวมจิตใจของหมู่มวลสัตบุรุษอยู่ท่ามกลางชาวเรา เราต้องรักวัดของเรา เราต้องช่วยกันเท่าที่สามารถด้วยการมีส่วนร่วมกับวัดเท่าที่สามารถ เพื่อช่วยให้งานอภิบาลในด้านต่างๆ สำหรับสัตบุรุษในวัดของเราในช่วงอายุต่างๆ ตั้งแต่ เด็กเล็ก เยาวชน วัยรุ่น ผู้ใหญ่ในวัยทำงาน ผู้อาวุโส ดำเนินไปอย่างราบรื่น ใครที่มีเวลาก็ควรให้เวลา ใครที่มีความสามารถพิเศษเฉพาะก็ควรช่วยในส่วนที่ตัวเองชำนาญ ใครที่มีศักยภาพในด้านต่างๆก็ไม่ควรละเลยที่จะสนับสนุนกิจการของวัดในส่วนที่เราทำได้ เพื่อให้วัดของเรามีบทบาทในการรับใช้ทุกๆคนให้ทั่วถึงอย่างแท้จริง
                                                                                                                        พ่อสุพจน์
...........................................................................................................

คำภาวนาจากใจ
สวัสดีพี่น้องที่รัก
ระหว่างจันทร์ถึงศุกร์นี้ พวกเราพระสงฆ์จาก 6 สังฆมณฑล ได้มารวมตัวกันที่บ้านผู้หว่านเพื่อสัมมนาและเป็นการเตรียมตัวสำหรับปีแห่งความเชื่อ (YEAR OF FAITH) ที่พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ได้ประกาศไปทั่วพระศาสนจักรสากล แน่นอนว่าในการสัมมนานั้นต้องมีการอภิปรายและนั่งฟังบรรยายจากวิทยากรหลายท่าน ที่มาให้ความรู้และแนวคิดสำหรับพระสงฆ์ กับการประกาศพระวรสารในยุคปัจจุบัน แต่สิ่งที่พ่ออยากจะบอกนั้นนอกเหนือจากการฟังบรรยายในห้องประชุม แต่เป็นการพบปะพูดคุยกันระหว่างพระสงฆ์เพื่อนๆ รุ่นพี่ รุ่นน้อง ที่ได้มีโอกาสมาเจอและสังสรรค์กัน สิ่งนี้พ่อถือว่าเป็นหนึ่งในหัวข้อสัมมนาเลยก็ว่าได้ เพราะคุณค่าที่ได้รับนั้นเพียงพอและส่งเสริมชีวิตสงฆ์แก่กัน
            ในคืนแรกนั้นพ่อได้รับฟังประสบการณ์จากพระสงฆ์ที่บวชครบ 25 ปี ของสังฆมณฑลจันทบุรีท่านหนึ่ง ได้เล่าถึงการทำงานอภิบาลที่ผ่านไปนั้น ทำให้อยากจะกลับเข้าไปบ้านเณรอีกครั้งเพื่อสอนเณร แบ่งปันเรื่องงานอภิบาลและหัวใจของผู้อภิบาลด้วยรักและรับใช้ คุณพ่อบอกกับพวกเรารุ่นน้องๆ ว่า “พ่อนะ สวดขอต่อพระทุกวัน ขอให้พ่อได้กระทำในสิ่งที่ควรทำ และยิ่งกว่านั้น พ่อขออีกว่าขอให้พ่อไม่ไปกระทำในสิ่งที่ไม่ควรกระทำด้วย...” เพราะพ่อท่านนั้นบอกว่า “พระเจ้านั้นทรงรักมนุษย์จริงๆ และโคตรรักพวกเราที่เป็นพระสงฆ์เลย” (ขออนุญาตใช้คำแท้ๆ จากปากที่อาจไม่สุภาพสำหรับพี่น้อง) แล้วคุณพ่อยังถามพวกเราทุกคนด้วยว่าจริงมั้ย?
            พี่น้องครับ พ่อประทับใจประสบการณ์และคำพูด รวมทั้งคำภาวนาที่สื่อออกมาอย่างจริงใจของคุณพ่อท่านนี้จริงๆ เพื่อเชื่อมั่นในความรักของพระเจ้าในชีวิตมนุษย์เรา และอยากบอกกับพี่น้องด้วยเหมือนกันว่าพระองค์รักพี่น้องทุกคนจริงๆ แต่ในความบาป ความเห็นแก่ตัว การยึดอัตตาของตนเองเป็นใหญ่นั้น ทำให้แม้แต่พ่อเองก็รู้สึกเหมือนกันว่าหลายครั้งทำอะไรที่ไม่ควรทำ พูดอะไรออกไปที่ไม่ควรพูด แล้วก็มาเสียใจภายหลัง คำภาวนาทุกวันของคุณพ่อบวช 25 ปีท่านนั้น ชวนให้พ่อเองและน่าจะสำหรับตัวเราแต่ละคนด้วย ภาวนาเช่นเดียวกันว่า “ขอพระผู้เป็นเจ้าโปรดให้ลูกใช้วันนี้ เพื่อทำสิ่งที่ควรทำ และอะไรที่ไม่ควรทำก็ขอให้ลูกอย่าได้กระทำเลย”
            พี่น้อง สิ่งที่เราควรพกติดตัวไว้เสมอในการเดินติดตามพระองค์นั้น ไม่ใช่อาหาร เครื่องนุ่งห่ม หรือเงินทอง แต่พระองค์บอกกับเราวันนี้ให้เราเอาแต่ “ไม้เท้า รองเท้า และมีพระองค์ผู้ทรงเสริมกำลังไปกับเราตลอดทางก็พอแล้ว”
            สิ่งที่ควรกระทำบางครั้งเราอาจไม่ได้ทำ เช่น การคิดถึงพระในการภาวนา การแสดงความรักเมตตาต่อกันในบ้าน ในครอบครัว การเห็นอกเห็นใจกัน พูดให้กำลังใจกัน ซึ่งเสริมสร้างชุมชนแห่งความเชื่อวัดเซนต์หลุยส์ของเรา และสิ่งที่เราไม่ควรกระทำ อันเป็นกิเลส ตัณหา ความอิจฉา ริษยา การพูดจาใส่ร้าย นินทา และบาปอื่นๆ ซึ่งบ่อนทำลายตัวเราเอง ครอบครัว สังคม และชุมชนความเชื่อของเรานั้น เป็นเพราะลัทธิสัมพัทธนิยม (Relativism) คือแนวความคิดที่บอกว่าทำอะไรตามใจกู หรือการมั่วนิ่มเอานั่นเอง ไม่ว่าอะไรก็ทำได้ขอให้พอใจและไม่เดือดร้อนใครไว้ก่อน นี่เป็นอันตรายและการเบียดเบียนศาสนาในยุคปัจจุบัน ที่ทำลายความเชื่อ พระเจ้า และคุณธรรมความดีให้หมดไปพี่น้องครับ เชื่อเถิดว่าพวกเราทุกคนช่วยกันได้ ด้วยคำแนะนำของพระเยซูเจ้าวันนี้ ติดตามพระองค์ในพระวาจาและคำสั่งสอนของพระองค์ เพราะพระองค์เท่านั้นที่จำเป็นต่อชีวิตเราเพื่อไปสวรรค์
งานประกาศพระวรสารไม่สำคัญอยู่ที่เงินทอง แต่อยู่ที่พระองค์ทรงกระทำให้สิ่งที่เราทำทุกวันนั้นเป็นการประกาศความเชื่อ ขอพวกเราจงภาวนาให้เราได้รับพลังจากพระองค์เพื่อประกาศให้โลกได้รู้ถึงความรักพระองค์กันเถิด
                                                                        คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

สารวัดอาทิตย์ที่ 8 กรกฎาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
เมื่อพระเจ้าเรียก เราก็ตอบเสียงเรียกของพระองค์ ในพระคัมภีร์พระธรรมเดิม พระเจ้าทรงเรียกประชากรที่พระองค์ทรงเลือกสรร คนเหล่านี้มีทั้งที่เป็นกษัตริย์ ประกาศก พระเยซูเอง ก็ทรงเรียกบรรดาสาวกของพระองค์เพื่อมาเป็นคนงานในสวนองุ่นของพระเจ้า เพื่อจะมาช่วยกันเสริมสร้างพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินโลก พระจิตเจ้าทรงเรียกเราทุกคนและประทานพลังให้กับเราโดยพระพรมากมายของพระองค์ เพื่อเสริมสร้างพระศาสนจักรที่เป็นพระกายทิพย์ของพระคริสตเจ้า เราทุกคนจึงได้รับการเรียกให้ดำรงชีวิตเป็นพระวิหารของพระจิตเจ้าและเป็นผู้ช่วยพระองค์ในการดูแลเอาใจใส่เพื่อนพี่น้องของเรา ในฐานะที่เราเป็นฆราวาส เราก็มีพันธกิจที่พระเจ้าทรงเรียกให้เรามาร่วมมือกับพระองค์ บ้างก็สามารถมาทำงานได้อย่างเต็มเวลา บ้างก็มาช่วยงานแบบเฉพาะกิจหรือเป็นอาสาสมัครในเรื่องต่างๆ บางส่วนก็เป็นครู บ้างก็ทำงานในสำนักงานของสังฆมณฑล บ้างก็มาช่วยงานต่างๆในวัดเท่าที่สามารถ ดังนั้นแม้ว่าเราจะทำงานประกอบธุรกิจต่างๆ เราก็ได้รับการเรียกให้ก้าวไปสู่ความศักดิ์สิทธิ์ไม่น้อยไปกว่าผู้ที่อุทิศตนเป็นพระสงฆ์นักบวชชายหญิง
เราทุกคนต่างได้รับการเรียกจากพระเจ้าให้มาร่วมงานในส่วนที่เราสามารถ เพื่อช่วยกันเปลี่ยนแปลงโลก ด้วยการเผยแสดงพระอาณาจักรของพระเจ้าบนแผ่นดินนี้เหมือนอย่างในสวรรค์ พระจิตเจ้าทรงงานอยู่เสมอในหลายหนทางและหลายรูปแบบ บางครั้งก็ด้วยวิธีที่ล้ำลึก ด้วยเหตุนี้เราจึงควรแสวงหาโอกาสในการปฏิบัติพันธกิจของเรา และทำให้พันธกิจนี้เป็นหนึ่งเดียวกันภายใต้การดูแลของพระศาสนจักร พระจิตกำลังเรียกท่านอยู่ใช่ไหม? พระองค์กำลังส่งเสียงกระซิบอยู่ในหูของท่านใช่ไหม? พระองค์กระตุ้นเรา ให้เราแบ่งปันเวลาความสามารถเพื่อทำงานของพระองค์ให้สำเร็จใช่ไหม? ในวัดของเรายังมีช่องว่างที่จะสามารถทำภารกิจของพระเจ้าที่เราสนใจที่จะพัฒนาให้ดีขึ้นได้ใช่ไหม? จงจำไว้ว่าพระเยซูตรัสกับศิษย์ของพระองค์ว่า อย่าปิดบังพระพรพิเศษความสามารถที่เรามี อย่าเอาตะเกียงไปวางไว้ใต้ถัง แต่จงวางตะเกียงไว้บนเชิงตะเกียงเพื่อให้ทุกคนมองเห็นความสว่าง ปีศาจมักจะใช้กลวิธีดึงเราไว้ไม่ให้ออกมามีบทบาทใดๆในพระศาสนจักร ด้วยการบอกกับเราว่าเราต้องสุภาพถ่อมตนไว้ ความสุภาพถ่อมตนเช่นนี้ไม่ใช่ความสุภาพถ่อมตนที่แท้จริง ท่านจงทำอย่างที่พระเยซูตรัสเอาไว้ว่า จงให้ความสว่างของท่านฉายแสงต่อหน้าทุกคนเพื่อทุกคนจะเห็นพระสิริรุ่งโรจน์ของพระเจ้า จงจำไว้ว่าถ้าท่านไม่รักพระเจ้าและรับใช้พระองค์ในรูปแบบที่เป็นเอกลักษณ์ของท่านเอง พระองค์ก็จะไม่ได้รับความรักและรับใช้ในแบบที่เป็นเรา เพราะไม่มีใครมาทำแทนเราได้นั่นเอง ท่านจึงเป็นคนพิเศษในสายตาของพระเจ้าเสมอพระเจ้าทรงเรียกท่านอยู่ท่านจะตอบพระองค์อย่างไร?

                                                                                                                                 พ่อสุพจน์
...........................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
            อาทิตย์นี้เป็นสัปดาห์ที่ 14 เทศกาลธรรมดา หลังจากที่เราได้ทำการเฉลิมฉลองนักบุญเปโตรและเปาโลมาแล้วเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว พ่อเองในฐานะที่มีศาสนนามนักบุญเปาโลขอขอบคุณพี่น้องทุกท่านที่ได้ร่วมแสดงความยินดีกับพ่อในโอกาสอันสำคัญนี้ เพราะถือได้ว่าเป็นกำลังใจที่มอบให้ ทำให้มีกำลังใจสำหรับการทำหน้าที่สงฆ์ที่จะรับใช้พี่น้องต่อไป จึงขอกล่าวคำขอบคุณมา ณ โอกาสนี้ครับ
            อาทิตย์นี้อาจจะไม่ได้กล่าวถึงอะไรที่เกี่ยวข้องกับพระวาจาของพระเจ้าประจำสัปดาห์นี้ เพราะว่ามีบทความที่น่าสนใจที่จะนำมาแบ่งปันสำหรับพี่น้อง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับการมาวัดที่ให้ข้อคิดที่ดีมากๆ เพราะที่ผ่านมามีคำถามที่เกิดขึ้นมากมายว่า ทำไมเราต้องมาวัดวันอาทิตย์ด้วย มาวัดวันอื่นๆ ไม่ได้เหรอ และถ้าไม่มาวัดเราจะคิดถึงพระเจ้า สวดภาวนาจากที่อื่นไม่ได้เหรอ ในเมื่อพระเจ้าทรงอยู่ทุกหนทุกแห่ง ไม่เฉพาะในวัดอย่างเดียวไม่ใช่หรือ? พอดีได้มีโอกาสอ่านหนังสือแม่พระยุคใหม่ฉบับเดือนกรกฎาคม-สิงหาคมนี้พอดี มีบทความที่ตอบคำถามเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี จึงขอนำมาแบ่งปันสำหรับพี่น้องครับ
            เรื่องเล่าว่ามีมาเซอร์ท่านหนึ่งได้เปรียบเทียบการเข้าวัดวันอาทิตย์กับชีวิตของผึ้งๆ ไว้ดังนี้ “ธรรมชาติของผึ้ง จะอาศัยรวมกันเป็นฝูง โดยส่วนใหญ่จะออกหาอาหารเป็นน้ำหวานจากเกสรของดอกไม้ ผึ้งทำงานกันเป็นระบบ มีผึ้งนางพญาเป็นหัวหน้าใหญ่ มีผึ้งหลวงเป็นผู้ผสมพันธุ์ และมีผึ้งงานไว้ทำงานต่างๆ อย่างหาอาหารเลี้ยงตัวอ่อน ทำความสะอาดรัง ปกป้องรังและอาหารจากศัตรู ในรังผึ้งแต่ละรังประกอบด้วยหลอดรวง ซึ่งมีลักษณะเป็นช่องหกเหลี่ยมเล็กๆ หลายหมื่นช่อง ตามแต่ขนาดของรัง ผึ้งแต่ละตัวเมื่อเป็นตัวอ่อนจะมีหลอดรวงเป็นของตัวเอง ถ้าผึ้งตัวหนึ่งหายหรือตายไป หลอดรวงหรือช่องนี้ก็จะกลายเป็นช่องว่าง เพราะผึ้งตัวอื่นจะไม่เข้ามาอยู่ในหลอดรวงที่ไม่ใช่ของตัวเอง ผึ้งแบ่งหน้าที่กันทำ ผึ้งงานที่มีหน้าที่หากินจะบินออกไปข้างนอก เพื่อทำภารกิจของตัวเอง และกลับมาที่รังเมื่อถึงเวลา
            การเข้าวัดวันอาทิตย์ก็เหมือนผึ้งที่กลับเข้ารังในแต่ละวัน เราต่างก็ออกไปทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนผึ้งงานที่ออกไปหากิน พอถึงวันอาทิตย์เราก็กลับมาที่รัง ซึ่งเป็นที่ที่พระเจ้าประทับอยู่ พระองค์ทรงรอคอยการกลับมาของลูกๆ ทุกคน วัดจึงเป็นที่พักพิงของเราอย่างแท้จริง ถ้าเราคนใดคนหนึ่งไม่เข้าวัด พื้นที่ของเราก็จะว่างๆ  เพราะไม่มีใครมาแทนที่เราได้ และหากเราหลายๆ คนไม่เข้าวัดในวันอาทิตย์ ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ตาม รังของเราก็จะกลายเป็นรังที่ว่างเปล่า ไร้ความหมายใดๆ การไม่เข้าวัดวันอาทิตย์อาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ แต่การเข้าวัดวันอาทิตย์เป็นการบ่งบอกว่าเราให้ความสำคัญกับองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรามากน้อยเพียงใด
            ดังนั้นแล้ว เรามาช่วยกันทำให้พื้นที่ว่างของเราแต่ละคนในวัดถูกเติมเต็มด้วยการให้ความสำคัญกับพระเจ้าผู้ทรงรักเรา และถ้าหากเราบอกว่าเรารักพระเจ้าของเรา ก็จงให้ความสำคัญกับวันอาทิตย์ที่เป็นวันของพระเจ้าด้วย
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง