วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม 2012


สวัสดีครับพี่น้อง
วันอาทิตย์นี้เป็นวันที่พระศาสนจักรกำหนดให้เป็นวันสมโภชนักบุญที่ยิ่งใหญ่และสำคัญยิ่งของพระศาสนจักรคาทอลิกสององค์คือ นักบุญเปโตร กับ นักบุญเปาโล ธรรมประเพณีการฉลองสมโภชนักบุญอัครสาวกทั้งสองนี้มีมาตั้งแต่พระศาสนจักรยุคแรกเริ่มแล้ว เพราะท่านอัครสาวกทั้งสองเป็นประดุจรากฐานของพระศาสนจักร ท่านทั้งสองเป็นศิลาที่พระศาสนจักรได้ก่อร่างสร้างตัวขึ้น ท่านทั้งสองเป็นปฐมบทแห่งความเชื่อ และ ท่านยังเป็นผู้ปกปักรักษา และ คอยส่องสว่างหนทางเพื่อให้พระศาสนจักรดำรงอยู่เสมอไป จะว่าไปแล้วกรุงโรมซึ่งเคยเป็นศูนย์กลางของจักรวรรดิโรมันแต่ดั้งเดิมนั้นได้รับอานิสงส์จากอัครสาวกทั้งสองมากทีเดียวเนื่องจากอัครสาวกทั้งสองได้สละชีวิตเป็นบูชาเยี่ยงมรณะสักขีที่กรุงโรมแห่งนี้ และในภายหลังกรุงโรมได้ฉายแสงเจิดจ้ายิ่งใหญ่กว่าเดิมเสียอีก เพราะกรุงโรมได้เป็นจุดเริ่มต้นของการเผยแผ่ข่าวดีของพระคริสตเจ้า และได้กลายเป็นศูนย์กลางของโลกคริสตชนคาทอลิกในปัจจุบัน
นักบุญเปโตรได้สละชีวิตเป็นมรณะสักขี ในสมัยจักรพรรดิเนโร ประมาณปี ค.ศ. 66  หรือ ไม่ก็ 67 นี่แหละ ร่างของท่านได้รับการฝังไว้ที่เนินวาติกัน ซึ่งภายหลังได้มีการขุดค้นพบหลุมฝังศพของท่านซึ่งอยู่ภายใต้มหาวิหารนักบุญเปโตรนั่นแหละ ส่วนท่านนักบุญเปาโลนั้น ท่านถูกตัดศีรษะที่ ถนน Ostia ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของมหาวิหารซึ่งใช้ชื่อของท่านเปาโลมาเป็นองค์อุปถัมภ์ คริสตชนจากทั่วโลกมีธรรมเนียมเดินทางไปแสวงบุญ เพื่อไปแสดงความเคารพต่ออัครสาวกทั้งสองที่หลุมฝังศพของท่านเพื่อเตือนใจและระลึกถึงวีรกรรมแห่งความเชื่อที่มั่นคงดุจหลักศิลาของท่านทั้งสอง พระศาสนจักรยุคแรกเริ่ม สามารถก่อร่างสร้างตัวเองได้ตั้งแต่ในศตวรรษที่สองและศตวรรษที่สาม ก็เพราะบรรดาอัครสาวกเหล่านี้แหละ อยากจะสรุปความว่า เราคริสตชนทุกคนในยุคปัจจุบันและทุกยุคทุกสมัยจากนี้ไป ต้องไม่ลืมที่จะระลึกถึง ความเด็ดเดี่ยวเข้มแข็ง ในความเชื่อของอัครสาวกทั้งสอง เพราะการอุทิศตนของท่านอัครสาวกทั้งสองนี้แหละที่ทำให้ความเชื่อของพระศาสนจักรคาทอลิกยังคงสืบเนื่องมาถึงสมัยของเราในยุคปัจจุบัน
วันนี้อยากกล่าวแสดงความยินดีเป็นพิเศษกับคุณพ่อศวง วิจิตรวงศ์ของเรา เพราะท่านมีนามนักบุญเปาโลเป็นองค์อุปถัมภ์ แถมเมื่อวานยังเป็นวันเกิดของคุณพ่ออีก ส่วนของพ่อเองก็แอบยินดีกับตัวเองแบบเล็กๆด้วย เพราะพ่อเองก็มีนามนักบุญเปโตรเป็นองค์อุปถัมภ์กับเขาด้วยเหมือนกัน !       Happy Feast Day Peter and Paul
                                                                                                                                    พ่อสุพจน์
............................................................................................................


มะเร็งฝ่ายวิญญาณ
สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
โรคภัยไข้เจ็บที่เกิดขึ้นกับตัวเราเองสร้างความไม่สบายกายและใจ หลายโรคภัยนำอันตรายมาสู่ชีวิต พี่น้องที่กำลังเป็นโรคร้ายเหล่านี้หลายคนเคยบ่นว่า “ทำไม ต้องเกิดขึ้นกับตัวฉันด้วย”หนักหน่อยก็โทษว่าพระเจ้าเลยว่า “พระองค์ให้ลูกเกิดมาแล้ว ทำไมต้องให้โรคร้ายนี้เกิดขึ้นกับลูกด้วย ไม่อยากจะเชื่อพระเจ้าอีกแล้ว”
ไม่ใช่พระเจ้าหรอกที่ให้มนุษย์เป็นมะเร็ง ลองพิจารณาดูให้ดีว่าโรงมะเร็งคืออะไร? “โรคมะเร็ง หมายถึง โรคที่เซลล์หรือเนื้อเยื่อของร่างกายมีการเปลี่ยนแปลงแบ่งตัวแบบกระจายอย่างรวดเร็ว โดยอาจลุกลามไปยังอวัยวะใกล้เคียงหรือแพร่กระจายไปตามอวัยวะที่สำคัญต่างๆ” เราแต่ละคนมีเซลล์มะเร็งอยู่ในร่างกายทุกคนซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของเรา สาเหตุให้เกิดโรคก็ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง เป็นวิถีชีวิต การนอนหลับ การกินอาหาร อารมณ์และความเครียดต่างหาก ดังนั้น เป็นเราเองแหละที่ทำให้ร่างกายเราป่วย ทำให้เซลล์มะเร็งเติบโต ความตายไม่ได้มาจากการกระทำของพระเจ้าเลย
พ่อจำได้ว่าเคยเล่าถึงเรื่องเพื่อนคนหนึ่งที่อยู่บ้านเณรใหญ่ด้วยกัน แล้วเขาเป็นโรคมะเร็งในไขกระดูกจนต้องตัดขา แต่ด้วยความปรารถนาจะเป็นพระสงฆ์จริงๆ ของเขา ก็ทำให้เขาสู้กับโรคร้ายนี้ แม้ในที่สุดพระเจ้าจะเรียกเขาไปอยู่กับพระองค์ก่อนเวลา (ที่เราคิดว่าควรเป็น) พ่อยังจำได้ถึงข้อความที่เขาทิ้งไว้ในช่วงสุดท้ายของชีวิตว่า “ไม่ต้องมีคำถามว่า...ทำไม...อีกต่อไป” เพราะเขาได้พบความรักในองค์พระคริสตเจ้า และได้รำพึงถึงชัยชนะเหนือความตายของพระองค์ ที่สุดเขาได้เป็นพระสงฆ์ของพระคริสตเจ้าเบื้องหน้าพระองค์จริงๆ ในสวรรค์แล้ว
พระวรสารวันนี้ นักบุญมาระโกได้นำเรื่องของหญิงตกโลหิตกับเรื่องบุตรสาวของไยรัสมาผูกไว้ด้วยกัน เป็นที่เข้าใจได้ว่ามีสาเหตุเพราะ 1) ทำให้อธิบายได้ถึงเหตุที่พระเยซูเจ้าไปถึงบ้านของไยรัสช้า และเด็กหญิงนั้นก็ได้ตายแล้วจริงๆ หรือ 2) อัศจรรย์ที่แทรกมานี้อธิบายอัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่กว่า คือเป็นการกล่าวล่วงหน้าถึงพระเยซูเจ้าว่าเป็นผู้ช่วยให้รอดพ้นจากความเจ็บป่วยแล้วความตาย แต่เหนือสิ่งอื่นใดบทเรียนที่ได้จากพระวรสารวันนี้คือ ไยรัสและหญิงตกโลหิตได้พบกับองค์พระผู้เป็นเจ้าและพระผู้ไถ่ และพวกเขามีความเชื่อในพระองค์
บ่อยครั้งที่เรารู้สึกว่าพระเจ้าเป็นผู้ทำให้เกิดและทำให้ตาย แต่พระคาร์ดินัลฟูลตั้นชีน เคยเขียนให้ความเห็นถึงชีวิตของพระเยซูเจ้าไว้ว่า “คนทั้งหลายมาในโลกนี้เพื่อมีชีวิต แต่บุคคลผู้นี้ พระเยซูเจ้ามาเพื่อที่จะตาย” ดังนั้นเราจึงควรจดจำได้ถึงสิ่งที่พระองค์บอกเรา “เรามาเพื่อให้ท่านทั้งหลายมีชีวิต และมีชีวิตอย่างสมบูรณ์” (ยน 10:10) ในความเป็นจริงคือ พระเจ้าทรงเป็นพระเจ้าแห่งชีวิต และความตายไม่ใช่เป็นการกระทำของพระองค์ เป็นเราแต่ละคนเองมากกว่าที่เลือกหนทางของความตาย ด้วยการทำบาป มีความเห็นแก่ตัว แก่งแย่งช่วงชิงกัน หยิ่งยโส โลภ หลงอำนาจ และลืมพระเจ้า
พระเยซูเจ้าในวันนี้จึงท้าทายเราแต่ละคนให้ยื่นมือออกมาเพื่อสัมผัสพระองค์ และขอให้พระองค์รักษาเรา มะเร็งหรือโรคร้ายที่เราเป็นอยู่อาจจะหายขาดหรือไม่หายขาดก็ได้ แต่ขออย่าให้ “มะเร็งฝ่ายวิญญาณ” ของเราไม่ได้รับการรักษาจากพระองค์เลย
พี่น้องครับ เราพร้อมหรือยังที่จะทำเหมือนพระองค์ ยื่นมองออกไปสัมผัสคนเจ็บป่วย คนเป็นทุกข์เศร้าโศก คนถูกทอดทิ้ง คนที่ล้มเหลวในชีวิต เพื่อให้กำลังใจพวกเขาในการมีชีวิตต่อไป

                                                                        คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันเสาร์ที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สารวัดอาทิตย์ที่ 24 มิถุนายน 2012


 จงรักกันและกัน เหมือนอย่างที่เรารักท่าน
ทำไมคำสอนดังกล่าวจึงเป็นบัญญัติที่สำคัญที่สุด?
สวัสดีครับพี่น้อง
บัญญัติประการสำคัญที่สุดของพระเยซูที่สอนเราคือ “จงรักกันและกันเหมือนอย่างที่เรารักท่าน” คำสั่งของพระองค์ประการนี้ ครอบคลุมพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิมทุกประการ และการปฏิบัติพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิมทั้งหมด ก็ยังไม่ถือว่าครบถ้วนสมบูรณ์เทียบเท่ากับบทบัญญัติแห่งความรักของพระเยซูเพียงประการเดียว ในพระบัญญัติในพันธสัญญาเดิม ระบุไว้ว่า อย่าฆ่าคน แต่ พระบัญญัติแห่งความรักของพระเยซูสั่งให้เราอย่าโกรธโดยขาดเหตุผล เพราะแท้ที่จริงทุกๆการกระทำที่ปฏิบัติออกมาภายนอกของเรานั้นมีที่มาจากหัวใจของเรานั่นเอง  พระเยซูสอนผู้ฟังพระองค์ว่า “ท่านได้ใช้เวลามากมายฝึกฝนปฏิบัติตามบัญญัติในพันธสัญญาเดิมมาพอแล้ว ตอนนี้ถึงเวลาที่จะขยับมาสู่แบบฝึกหัดบทใหม่ที่สูงขึ้นกว่าเดิม”พระเยซูไม่ได้ต้องการจะบอกว่า บัญญัติในพันธสัญญาเดิมนั้นใช้ไม่ได้แล้ว เพียงแต่พระองค์ร้องขอให้เราขยับมาสู่บรรทัดฐานใหม่ที่สูงกว่าเดิม นักบุญมัทธิวบันทึกคำพูดของพระเยซูไว้ว่า “อย่าคิดว่าเรามาเพื่อลบล้างกฏของบรรดาประกาศก เราไม่ได้มาเพื่อลบล้าง แต่มาเพื่อทำให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้น”(มธ. 5: 17)
ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย เราจะได้ยินพระคริสตเจ้ากล่าวว่า “ในยามที่เราหิว ท่านได้ให้อาหารเรา ในยามที่เรากระหาย ท่านได้ให้น้ำเราดื่ม ในยามที่เราเป็นแขกแปลกหน้าไป ท่านได้ต้อนรับเรา ในยามที่เราไม่มีเครื่องนุ่งห่ม ท่านได้ให้เสื้อผ้ากับเรา ในยามที่เราป่วย ท่านก็มาเยี่ยม ในยามที่เราถูกจองจำ ท่านก็มาหา และแล้ว กษัตริย์จะตรัสว่า “เราขอบอกกับท่านว่า สิ่งที่ท่านได้กระทำกับผู้ที่ต่ำต้อยที่สุด ท่านได้ทำต่อเราเอง” (มธ. 5: 17) สิ่งที่อยากจะพูดให้ชัดก็คือว่า เราปฏิบัติต่อผู้อื่นอย่างไร ก็เท่ากับว่าเราปฏิบัติต่อพระเยซูอย่างนั้น เพราะพระองค์ไม่ได้อยู่ห่างไกลจากเราเลย พระองค์อยู่ในบุคคลรอบข้างเรานี่แหละ พระองค์อยู่ใกล้เรามากกว่าที่เราคิด
เมื่อพระคริสตเจ้าสิ้นพระชนม์บนกางเขน ม่านในพระวิหารฉีกขาดเป็นสองส่วน เป็นสัญลักษณ์ว่า ณ บัดนี้พระเจ้าพระองค์ไม่ได้ประทับเพียงแต่ในพระวิหารที่เยรูซาเล็มอีกต่อไป พระองค์มาประทับในพระวิหารใหม่ ซึ่งได้แก่พระวรกายของพระคริสตเจ้า  เราแต่ละคนคืออิฐแต่ละก้อนที่มีชีวิตที่ประกอบกันขึ้นเป็นพระวิหารของพระเจ้า เราแต่ละคนเป็นวิหารของพระจิตเจ้า ดังนั้น พฤติกรรมที่เราปฏิบัติต่อผู้อื่นนั้นจึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด เราจึงต้องนำพระบัญญัติของพระคริสตเจ้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิต เพราะเมื่อเราเข้าใจเช่นนี้แล้ว การกระทำของเรานั้นไม่เป็นเพียงแต่พฤติกรรมที่เราแสดงต่อผู้อื่นเท่านั้น แต่ถือว่าเป็นพฤติกรรมที่เราแสดงต่อพระเยซูเจ้าเอง ด้วยเหตุนี้ พระบัญญัติในพันธสัญญาเดิมจึงเป็นเรื่องเกี่ยวข้องเพียงเรื่องพฤติกรรมภายนอกเท่านั้น ส่วนพระบัญญัติใหม่ของพระเยซูนั้น คือ บัญญัติแห่งความรัก ซึ่งเป็นเรื่องของหัวใจล้วนๆ
                                                                                                                                    พ่อสุพจน์
.................................................................................................................................................................. 

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
            อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์เทศกาลธรรมดา แต่เราทำการฉลองสมโภชนักบุญยอห์นบับติสต์บังเกิดเป็นพิเศษด้วย  การฉลองท่านนักบุญยอห์นบับติสต์นั้นมีด้วยกัน 2 วัน คือ การฉลองวันเกิดและการฉลองวันตายของท่าน ซึ่งเราจะเห็นว่าท่านนักบุญยอห์นบับติสต์เป็นบุคคลที่พิเศษและมีความสำคัญในพันธกิจของพระเยซูเจ้า คือ การที่ท่านได้รับการเลือกให้มาเป็นผู้ที่เตรียมทางสำหรับการเสด็จมาของพระเยซูเจ้า ท่านเป็นผู้ที่มีความสุภาพและความถ่อมตนในการรับใช้พระเจ้า จึงทำให้ท่านเป็นบุคคลที่น่าเลียนแบบอย่างสำหรับเราคริสตชน
            ท่านได้รับเรียกมาเพื่อให้เป็นผู้ที่ชี้ทางให้ผู้อื่นได้พบกับพระเยซูเจ้า โดยอาศัยพิธีล้าง เราแต่ละคนก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันโดยอาศัยศีลล้างบาปทำให้เราแต่ละคนจะต้องเป็นผู้ที่ชี้นำทางผู้อื่นให้มารู้จักกับพระเยซูเจ้าด้วย นี่ถือได้ว่าเป็นพันธกิจที่เราได้รับโดยการเป็นผู้ประกาศข่าวดีของพระเจ้า และเราจะสามารถเป็นผู้ประกาศข่าวดีได้นั้นจะต้องประกอบด้วย 2 ส่วนคือ เราจะต้องมีสารที่เป็นข่าวดีของพระเจ้า ซึ่งได้แก่พระวาจาของพระซึ่งเราได้รับฟังอยู่บ่อยๆ ในวันอาทิตย์และโดยการอ่านพระคัมภีร์ และสองคือตัวเราเองจะต้องเป็นข่าวดีของพระเจ้าด้วย เพราะการดำเนินชีวิตที่เป็นประจักษ์พยานจะทำให้ข่าวดีของพระเจ้าเป็นความจริงขึ้นมา และมีความน่าเชื่อถือด้วย
            ดังนั้นแล้วในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เป็นลูกของพระ และเป็นผู้ที่ได้รับข่าวดีของพระเจ้ามาก่อนแล้ว เราได้ตระหนักถึงสิ่งต่างๆ ในชีวิตของเราเป็นข่าวดีของพระเจ้ามากน้อยเพียงใด และเราจะทำอย่างไรให้ชีวิตของเราเป็นข่าวดีของพระเจ้าสำหรับเพื่อนพี่น้องที่ยังไม่รู้จักพระเจ้าได้บ้างหรือไม่ และสุดท้ายก่อนอื่นใดเราจงเป็นข่าวดีให้แก่กันและกันในระหว่างพี่น้องคริสตชนของเราก่อนเถิด ขอพระเจ้าอวยพระพรทุกท่าน
                                                                                                                                    คุณพ่อศวง

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 17 มิถุนายน 2012



พิธีกรรมคืออะไร?
สวัสดีครับพี่น้อง
            เช้าวันอาทิตย์อีกแล้ว เราลุกขึ้นจากเตียง แต่งตัว ปลุกลูกๆให้ตื่น รวบรวมทุกคนขึ้นรถ แล้วเดินทางไปยังวัด เราพากันไปนั่งที่นั่งที่เราคุ้นเคย คุกเข่าลงสวดภาวนาสั้นๆ แล้วก็ยืนขึ้น เพราะถึงเวลาเริ่มพิธีพอดี เราทำแบบนี้จนเป็นกิจวัตร แต่ถามว่า พิธีกรรมเก่าแก่นี้คืออะไร? เรากำลังเข้าสู่พระธรรมล้ำลึกอะไรกัน!
พิธีกรรมเป็นการถวายคารวะกิจของพระศาสนจักร พิธีกรรมที่สำคัญที่สุดก็คือ พิธีบูชาขอบพระคุณ หรือ ที่เราเรียกกันมาแต่ดั้งเดิมว่า มิสซา นั่นเอง แต่เรายังมีพิธีกรรมอื่นๆอีก เช่น พิธีปลงศพ พิธีอวยพร และ พิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ คำว่า พิธีกรรม มีรากศัพท์มาจาก ภาษากรีกว่า “leitourgia” หมายความว่า “ผลงานของประชาชน” ผลงานนี้แท้ที่จริงแล้วเป็นงานของพระเจ้า แล้วพระองค์ทรงเชิญเราทุกคนให้มีส่วนร่วมในงานดังกล่าว
พิธีกรรมนั้น โดยธรรมชาติของมันแล้วเป็นการปฏิสัมพันธ์กัน หมายความว่า เราเข้าสู่ความสัมพันธ์กับพระตรีเอกภาพ และ กับกันและกัน นอกจากนี้ เรายังเข้ามีความสัมพันธ์กับคนอื่นๆทั่วโลก ที่มาอยู่รอบพระแท่นของพระวาจาของพระเยซู และศีลมหาสนิทของพระองค์ ดังนั้น การมารวมตัวกันนี้ จึงไม่ใช่การรวมผู้คน ให้มาสวดภาวนาในสถานที่แห่งเดียวกัน แต่เป็นประชาคมของสัตบุรุษ ผู้แสดงออกถึงความเชื่อในพระคริสตเจ้า ให้กับกันและกัน และนี่คือธรรมชาติที่แท้จริงของพระศาสนจักรและนี่คือพระธรรมล้ำลึกของพระเยซูคริสต์ ซึ่งเป็นเนื้อหาหลักของพิธีกรรมทุกอย่าง พระธรรมล้ำลึกแห่งปัสกาของพระองค์ หมายถึง ชีวิต การรับทนทรมาน ความตาย และ การกลับคืนพระชนม์ชีพของพระองค์พระเยซู และ การมีส่วนร่วมของเราในพระธรรมล้ำลึกนี้ อาจเป็นไปได้ว่าในส่วนที่สองนี้เราเข้าใจน้อยที่สุด นั่นคือ คำที่ว่า “โดยอาศัยการสิ้นพระชนม์ของพระองค์ พระองค์ทรงทำลายความตายของเราให้พินาศไป และโดยอาศัยการกลับคืนชีพของพระองค์ พระองค์ทรงทำให้เรากลับมีชีวิตใหม่” ด้วยเหตุนี้พิธีกรรมทุกอย่างจึงเป็นงานแห่งการไถ่กู้ที่ค่อยๆเป็นไปสำหรับเรา เราเพียงแต่ปฏิบัติตามคำสั่งที่ว่า “จงทำสิ่งนี้เพื่อระลึกถึงเรา” แต่เราต้องไม่ลืมว่าพระเยซูได้ทำอะไรเพื่อเรา เพราะพระองค์คือที่มาของพิธีกรรมทุกอย่าง และการระลึกถึงหรือจำได้นั้นทำให้ทุกสิ่งเป็นปัจจุบันอยู่เสมอ และเพื่อให้ผลงานที่ยิ่งใหญ่นี้บรรลุความสำเร็จได้ (งานแห่งการไถ่กู้ที่ค่อยเป็นไปสำหรับเรา) พระคริสตเจ้าจึงปรากฏอยู่ในพระศาสนจักรเสมอ โดยเฉพาะในการเฉลิมฉลองพิธีกรรมต่างๆ พระคริสตเจ้าประทับอยู่ไม่เพียงในศาสนบริกรของพระองค์ แต่ในศีลมหาสนิท พระองค์ ประทับอยู่ในศีลศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ และ ในพระวาจาของพระองค์ เพราะเป็นพระคริสตเจ้าเองผู้ตรัสกับเรา โดยทางพระวาจาที่เราอ่านในพิธีกรรม พระคริสตเจ้าจึงทรงประทับอยู่กับเราในการมาร่วมชุมนุมของเรา เพราะพระองค์ตรัสว่า “ที่ใดก็ตามที่มีสองหรือสามคนมารวมตัวกันในนามของเรา เราประทับอยู่ท่ามกลางเขา”
ดังนั้นเมื่อเรามาร่วมชุมนุมกัน เราจึงประกอบด้วย พระเยซู ฉัน และ เธอ เราถวายคำภาวนาแด่พระเจ้าพระบิดา พระองค์ผู้ทรงเป็นแหล่งที่มาของพิธีกรรมทั้งมวล เราต่างรับรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ได้กระทำเพื่อเรา เราจึงขอบคุณพระองค์และถวายคำสรรเสริญพระองค์ เราจึงได้รับการดลใจโดยพระพรขององค์พระจิตเจ้า และ เราแสวงหาความโปรดปรานจากพระเจ้าโดยทางองค์พระบุตรของพระองค์คือพระเยซูคริสตเจ้า เราจึงภาวนาด้วยถ้อยคำที่แสดงออกถึงความเชื่อของเรา คำภาวนาเหล่านี้ได้รับการตกแต่งมาอย่างพิถีพิถันคำภาวนานี้ประกอบด้วยถ้อยคำที่เป็นธรรมประเพณีที่สืบเนื่องกันมาแต่โบราณกาล และ ถ้อยคำที่เสริมเข้ามาใหม่ เราจะไม่ภาวนาในสิ่งที่เราไม่เชื่อ และสิ่งที่เราไม่เชื่อนั้นเราก็จะไม่เอ่ยในคำภาวนา ในคำภาวนาของเรานั้นประกอบไปด้วยมิติต่างๆ เราคิดถึงอดีตกาล ปัจจุบันกาล และ อนาคต เรากล่าวถึงสิ่งที่ผ่านมาแล้ว และสิ่งที่เรากำลังรอคอย เรายังระลึกถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงกระทำเพื่อเรา ด้วยการรับรู้ถึงสิ่งที่พระองค์ยังคงกระทำเพื่อเราเสมอในปัจจุบัน และ เราคาดหมายถึงสิ่งที่เราจะได้รับในพระอาณาจักรสวรรค์ พิธีกรรมยังมีการแสดงออกด้วยอากัปกิริยาอื่นๆอีกด้วย นั่นคือการแสดงออกด้วยสัญลักษณ์ เครื่องหมาย ท่วงท่า ในความเงียบ และ ในบทเพลง ในสถาปัตยกรรม และ ศิลปะ สิ่งต่างๆเหล่านี้ช่วยให้เราแสดงออกถึงความเชื่อที่เรามีร่วมกัน
ดังนั้นเราทุกคนจึงได้รับคำเชิญให้มาร่วมพิธีกรรมนี้ โดยองค์พระเจ้าเอง และโดยอาศัยพิธีกรรมเราจึงสามารถพบปะกับพระองค์โดยวิธีพิเศษ และได้รับการบันดาลให้ศักดิ์สิทธิ์ด้วยพระพรของพระองค์ เราได้รับการหล่อเลี้ยงด้วยพระวาจาและศีลศักดิ์สิทธิ์ โดยทางศาสนบริกร และ โดยทางกันและกัน เมื่อจบพิธี เราก็จากกันจนกว่าเราจะกลับมาพบกันใหม่ในอาทิตย์หน้า หรือในโอกาสต่อๆไป หรืออาจเป็นไปได้ว่าในสวรรค์ เราได้รับการกล่าวลาว่า ท่านจงไปในสันติสุข เพื่อรักและรับใช้พระเจ้า หน้าที่ของเราก็คือกลับไปและประกาศข่าวดีของพระเจ้า

                                                                                                                                    พ่อสุพจน์

วันเสาร์ที่ 2 มิถุนายน พ.ศ. 2555

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 3 มิถุนายน 2012


กำลังใจคืออะไร?”
สวัสดีครับพี่น้อง
Coeur เป็นคำในภาษาฝรั่งเศส แปลว่า ใจ เมื่อเราพูดถึงกำลังใจ เราพูดถึงความเข้มแข็งของใจ หรือ ใจกล้า ครับเรากำลังพูดถึง ใจที่เข้มแข็งในยามที่ต้องเผชิญกับสิ่งที่น่าหวาดเกรง หรือ ในภาวะที่ต้องเผชิญกับความสูญเสียที่ยิ่งใหญ่

จะมีใครบ้างที่อดชื่นชมไม่ได้ เมื่อได้พบกับผู้ที่เคยผ่านความทุกข์ยากอย่างแสนสาหัส เช่นภาวะสงครามด้วยหัวใจที่เข้มแข็งไม่ย่อท้อ หรือได้พบกับคนที่ต้องเจ็บป่วยอย่างหนัก หรือ ต้องสูญเสียอวัยวะจนต้องพิการ แต่ยังคงมีจิตใจที่เข้มแข็ง หรือ พ่อแม่ที่ต้องยอมรับกับความจริงที่ลูกผู้เป็นที่รักต้องมาสูญเสียชีวิตจากไปอันเนื่องมาจากสาเหตุต่างๆ แต่ยังคงมีกำลังใจดี หรือบางคนที่เรารู้จักต้องล้มเหลวทางธุรกิจ แต่ไม่เสียอกเสียใจถึงขนาดหมดกำลังใจ หรือ บางคนที่ต้องตกงาน ไม่มีเงินเหลือเพียงพอจะอดออมไว้สำหรับอนาคต แต่ยังคงใจสู้ไม่งอมืองอเท้ากล้าที่จะเริ่มต้นกันใหม่ แม้ว่าเราไม่สามารถจะช่วยเหลืออะไรเขาเหล่านั้นได้ แต่เราก็อดชื่นชมเขาไม่ได้ 
เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ทำให้คิดถึงน้องธันย์ หรือ ณิชชารีย์ เป็นเอกชนะศักดิ์ ที่ประสบอุบัติเหตุพลัดตกลงไปในรางรถไฟฟ้าที่ประเทศสิงคโปร์สูญเสียขาทั้งสองข้างไป แต่เธอกลับมีกำลังใจดีเยี่ยม ยิ้มสู้เสมอ ไม่ย่อท้อกับโชคชะตาของชีวิต เป็นหญิงหัวใจแกร่ง มีทัศนคติที่ผู้ใหญ่ยังยกนิ้วให้ เธอกลายเป็นแรงบันดาลใจของใครๆอีกมากมาย ใครๆที่ได้ยินเรื่องของเธอต่างก็ชื่นชมในตัวน้องธันย์ผู้นี้กันทั้งนั้น
ในอดีตคนแบบนี้แหละที่สามารถก้าวไปจนบรรลุถึงการกระทำที่เป็นขั้นวีรกรรมเป็นวีรบุรุษ วีรสตรีอย่างที่ในศาสนาคริสต์ เรายกย่องผู้ที่มีใจหาญกล้า มีความเชื่อในพระเจ้าอย่างเข้มแข็ง ไม่หวั่นแม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงที่จะต้องสูญเสียชีวิต แต่ไม่ยอมสูญเสียความเชื่อ ว่านักบุญเพราะเขาเหล่านั้นสามารถเผชิญกับความทุกข์ยากใหญ่หลวงได้ถึงขั้นการพลีชีพเป็นมรณะสักขี
เราทั้งหลายต่างก็ดำรงชีวิตอยู่และมีประสบการณ์กับการ สูญเสีย ในหลายรูปแบบ เมื่อเราหันมาคิดพิจารณากันอย่างถ่องแท้ เราพบว่าชีวิตเราต่างก็เผชิญกับการสูญเสียกันทั้งนั้น แม้แต่ กำลังใจ ก็ไม่เว้น เพราะบางทีเราก็สูญเสียกำลังใจไปเหมือนกัน สำหรับพ่อ พ่อคิดว่าหลายครั้งก็ยากที่จะเข้าใจว่า สำหรับผู้ที่ไม่ได้มีความเชื่อในพระเจ้า ในยามที่เขาต้องเผชิญกับการสูญเสีย เขาแสวงหากำลังใจจากที่ไหนมาเป็นเครื่องค้ำจุนชีวิตให้ก้าวต่อไป พ่อคิดว่าสำหรับเราคริสตชนความเชื่อในพระเจ้า ความเชื่อในพระเยซูเจ้า ผู้มารับสภาพมนุษย์ เป็นเสมือนพลังพิเศษที่ช่วยให้เรามีกำลังใจมหาศาลเพื่อเราจะยืนหยัดอย่างเข้มแข็งกับเรื่องราวต่างๆที่ถาโถมผ่านเข้ามาในชีวิตของเรา
ในฐานะที่เราเป็นคริสตชน เราจำเป็นที่จะต้องมีความเด็ดเดี่ยวชัดเจนด้านศีลธรรมความใจกล้าเยี่ยงนี้แหละที่ช่วยให้เรายืนหยัดดำรงชีวิตอย่างบริสุทธิ์ในท่ามกลางกระแสสังคมที่กำลังตกต่ำทางด้านศีลธรรมอย่างน่าเป็นห่วง สำหรับพ่อคิดว่าความใจกล้าไม่ได้เป็นสิ่งที่ได้มาแบบชิวชิว เพราะเราต้องมี หลักศีลธรรมที่แน่วแน่มั่นคงในชีวิตของเราเสียก่อน เพื่อเราจะสามารถทัดทานกับคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนอื่นได้ ในยามที่เรามุ่งมั่นปฏิบัติตามค่านิยมที่ถูกต้อง แต่ย้อนทวนกระแสความคิดของผู้คนทั่วไป  ความใจกล้าไม่ได้เป็นเพียงคุณธรรมที่น่าชื่นชมเท่านั้น แต่ความใจกล้ายังเป็นคุณธรรมที่ขาดเสียไม่ได้ในชีวิตของเรา เพราะถ้าไม่มีคุณธรรมประการนี้ เราจะเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ และ ด้วยเหตุนี้เองที่เรามีรูปพระเยซูถูกตรึงกางเขน แขวนเด่นเป็นสง่าอยู่กลางวัดของเรา เพราะเครื่องหมายกางเขนเตือนใจเราให้เราระลึกเสมอว่า เราเป็นใคร? และ เราควรครองชีวิตของเราอย่างไร?
วันนี้เริ่มต้นด้วยกำลังใจแต่ มาจบด้วยใจกล้าเพราะทั้งสองคำมีความหมายในทำนองเดียวกัน ต่างกันที่ระดับความเข้มข้นเท่านั้นเอง
                                                                                                                                    พ่อสุพจน์


...................................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
            อาทิตย์นี้เป็นอาทิตย์ที่เราสมโภชพระตรีเอกภาพ หลังจากที่เราสมโภชพระจิตเจ้าเสด็จลงมา และต่อไปในสัปดาห์หน้าเราก็จะสมโภชพระกายและพระโลหิตของพระคริสตเจ้า (แห่ศีลมหาสนิท) ในโอกาสที่เราสมโภชพระตรีเอกภาพ ทำให้เราคริสตชนได้หันกลับมารื้อฟื้นความเชื่อของตนที่ได้รับมาผ่านทางศีลล้างบาปในพระนามของพระบิดา และพระบุตร และพระจิต พระธรรมล้ำลึกแห่งพระตรีเอกภาพถือได้ว่าเป็นศูนย์กลางแห่งความเชื่อและชีวิตของคริสตชน เป็นต้นกำเนิดแห่งพระธรรมล้ำลึกแห่งความรอดซึ่งเกี่ยวข้องกับมนุษย์โดยตรง แม้จะมีสามพระบุคคลแต่เพราะความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น พระเจ้าหนึ่งเดียวจึงไม่มีการแบ่งแยกเอกภาพของพระเจ้า ทุกสิ่งที่พระบิดาหรือพระบุตรหรือพระจิตทรงกระทำในแผนการแห่งความรอด ก็เป็นการกระทำร่วมกันของทั้งสามพระบุคคล ด้วยเหตุนี้ ชีวิตคริสตชนของเราจึงเป็นการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับแต่ละพระบุคคลในพระตรีเอกภาพและเป็นหนึ่งเดียวกันกับเพื่อนพี่น้องของเราด้วย
            แม้ว่าในความเป็นแต่ละบุคคลของเราแต่ละคนจะทำให้เราแต่ละคนมีความแตกต่างกัน มีเอกลักษณ์ของแต่ละคน ซึ่งอันนี้เราจะเห็นได้ว่าไม่มีใครมีซ้ำเหมือนใครได้ เช่น ลายนิ้วมือ ม่านตา ดีเอ็นเอ เป็นต้น รวมไปถึงลักษณะนิสัยใจคอ อากัปกิริยาท่าทางต่างๆ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ล้วนแสดงความเป็นบุคคลของแต่ละคน ซึ่งในความแตกต่างของแต่ละบุคคลจะต้องไม่ทำให้เกิดความแตกแยกกันขึ้นมา เหมือนกับการสร้างบ้านที่ต้องการวัสดุอุปกรณ์ที่หลากหลายมากมายมาประกอบกัน ไม่ว่าจะเป็นหิน ดิน ทราย ไม้ เหล็ก กระเบื้อง ฯลฯ วัสดุบางอย่างต้องถูกแปรรูปเปลี่ยนไปเพื่อการสร้างบ้าน วัสดุบางอย่างถูกปิดซ่อนเอาไว้เรามองไม่เห็น วัสดุบางอย่างมีชิ้นเล็กๆ แต่ก็มีความสำคัญ เช่น ตะปูหรือนอต วัสดุทุกอย่างมีความสำคัญตามแต่ละบทบาทหน้าที่ของตน แต่เมื่อรวมเข้าทำงานร่วมกันก่อให้เกิดสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ได้ คือ บ้านที่สวยงาม น่าอยู่ และเป็นประโยชน์ใช้สอยสำหรับมนุษย์ ฉะนั้นเราจึงเห็นได้ว่ามนุษย์เราสามารถที่จะรวมเป็นหนึ่งเดียวกันได้ที่จะสร้างสรรค์โลกของเราให้น่าอยู่ ทำให้สังคมของเราเป็นสังคมที่น่ารักและน่าอยู่อาศัย มีความสงบ สันติ มีความรักและเป็นหนึ่งเดียวกันได้ ถ้าหากเราใช้ความหลากหลายของเราให้เป็นประโยชน์ในการร่วมกันสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้เกิดขึ้น ไม่ใช่สังคมของต่างคนต่างอยู่ วัดของเราก็เช่นเดียวกันที่เราแต่ละคนสามารถที่จะทำให้เป็นสถานที่ที่น่าอยู่ เป็นสถานที่ของการภาวนาต่อพระเจ้า และมีบรรยากาศของความรักความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันและเป็นพี่เป็นน้องกันได้หากเราแต่ละคนรวมเป็นหนึ่งเดียวกัน

                                                                                                                                    คุณพ่อศวง