สวัสดีครับพี่น้อง
ข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์ และ โทรทัศน์เมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา เกี่ยวกับนักเรียนอดอาหารประท้วง ผู้อำนวยการโรงเรียนแห่งหนึ่ง เพราะนักเรียนเหล่านี้ถูกคัดชื่อออกจากโรงเรียนไม่สามารถเข้าเรียนต่อในระดับชั้นที่สูงขึ้นต่อไปได้ นับเป็นข่าวครึกโครมข่าวหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาทุกๆปี ในช่วงเปิดเทอมปีการศึกษาใหม่ มักจะมีข่าวเกี่ยวกับผู้ปกครองต่างก็หาทางให้ลูกๆเข้าเรียนในโรงเรียนชื่อดังด้วยการจ่ายเงินบริจาคเป็นค่าแรกเข้า เพื่อจะแน่ใจได้ว่ามีที่นั่งสำหรับลูกๆของตนในโรงเรียนแห่งนั้น ๆ แต่คราวนี้กลับกลายเป็นตัวนักเรียนเองที่ออกมาประท้วงโดยการอดอาหารเพื่อขอความเป็นธรรม ก็เลยกลายเป็นเรื่องแปลกไปกว่าทุกๆครั้ง สื่อมวลชนเลยให้ความสนใจเป็นกรณีพิเศษ
การให้การศึกษาอบรมสำหรับเด็กๆ และ เยาวชน ถือเป็นความสำคัญอย่างยิ่งที่ทุกๆฝ่ายต้องให้การเอาใจใส่ เพราะเด็กและเยาวชน คือผู้ใหญ่ในวันข้างหน้า เขาคืออนาคตของประเทศชาติ และสังคม การเรียนการสอนในโรงเรียนนั้นมักเน้นในด้านวิชาความรู้เป็นหลัก แต่โรงเรียนต้องไม่ละเลยที่จะปลูกฝังคุณธรรมให้กับเด็กนักเรียนควบคู่กันไปด้วย น่าดีใจที่เดี๋ยวนี้รัฐบาลมีนโยบายที่จะส่งเสริมด้านการศึกษาด้วยการจัดงบประมาณจำนวนมากให้กระทรวงศึกษามาใช้พัฒนาด้านต่างๆสำหรับการศึกษาในทุกระดับ ในส่วนของนักเรียนในระดับประถม และ ระดับมัธยม ผู้ปกครองก็ได้รับผลพวงเรื่องช่วยค่าใช้จ่ายบางด้าน อาทิ ค่าเล่าเรียน ค่าเสื้อผ้า ค่าหนังสือ ฯลฯ เพื่อลดภาระของพ่อแม่ผู้ปกครองซึ่งก็ถือว่าแบ่งเบาภาระไปได้พอสมควร
สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 เคยกล่าวไว้ว่า “ครอบครัว คือโรงเรียนแห่งแรก ที่เด็กๆจะได้เรียนรู้จักความรักที่ไม่หวังสิ่งตอบแทนจากพ่อแม่” ความหมายก็คือว่า ความรักของพ่อแม่ที่มีต่อลูกๆนั้นเป็นความรักที่บริสุทธิ์ และเป็นรักที่มีแต่ให้ “ให้” ในที่นี้คือ ให้การเลี้ยงดู ให้ความเอาใจใส่ ให้ความห่วงใย ให้ความปรารถนาดี แต่ถ้าลูกขอในสิ่งที่ไม่สมควรจะ “ให้” ก็ต้องรู้จักปฏิเสธ และ “ไม่ให้” บ้าง เพราะไม่เช่นนั้นก็จะกลายเป็นการตามใจไปเสียทุกเรื่อง ซึ่งจะเป็นสาเหตุให้เด็กเสียนิสัย ถามว่าแล้วเราจะเลี้ยงลูกอย่างไร หล่อหลอมเขาอย่างไร ถึงจะทำให้เขาเติบโตขึ้นอย่างที่เราปรารถนาให้เขาเป็น ถ้าจะตอบสั้นๆให้ได้ใจความก็คือ อย่าเลี้ยงลูกด้วยเงิน แต่จงให้เวลากับลูกๆให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะพ่อแม่คือครูคนแรกของลูกนั่นเอง
วันนี้เป็นวันฉลองพระจิตเจ้า พ่อขอภาวนาวิงวอนขอองค์พระจิตเจ้า โปรดประทานความพากเพียรให้กับพ่อแม่ทุกๆคน ที่จะให้เวลากับบุตรหลานของตน เพื่อคอยเฝ้าแนะนำ อบรม สั่งสอน ให้เด็กๆเจริญเติบโตขึ้นอย่างอบอุ่นในสายสัมพันธ์แห่งความรักที่พ่อแม่มอบให้กับเขา สอนเขาให้รู้จักรักพระเจ้า และ รู้จักมีใจกว้างกับเพื่อนพี่น้อง แล้วเมื่อเขาโตขึ้น ในภายภาคหน้า เขาจะเป็นผู้นำความภาคภูมิใจมาให้กับพ่อแม่ผู้ให้กำเนิดชีวิตเขามา ซึ่งเป็นความปีติที่ล้ำค่าอย่างหาที่สุดมิได้
พ่อสุพจน์
..................................................................................................................................................................
พระผู้เป็นองค์ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกัน
พี่น้องที่รัก
หากนับตามปฏิทินพระศาสนจักรก็นับว่าวันนี้เป็นวันครบรอบบวช ๑ ปีของพ่อเองแล้ว
ขณะเดียวกันนั้น ก็น่ายินดีกับพระสงฆ์ที่ขึ้นมาทำงานในพระศาสนจักรกรุงเทพฯ ใหม่อีก
๓ องค์ด้วย (พ่อก็ไม่ใช่พระสงฆ์ใหม่อีกแล้ว) เนื่องด้วยอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ได้กำหนดให้งานบวชพระสงฆ์ใหม่มีขึ้นในวันสมโภชพระจิตเจ้าของทุกปี
วันนี้จึงน่าจะเป็นวันที่เราทบทวนชีวิตภายใต้การนำของพระจิตเจ้าของเราทุกคนด้วย
ตลอด ๑ ปีที่ผ่านมาทำให้ได้พบพระจิตเจ้า
ว่าพระองค์ทรงเป็นองค์ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริง
ตามหัวข้อที่ได้ให้ไว้ตอนต้น
เมื่อวันพุธที่ผ่านมาพวกเราพระสงฆ์หนุ่มที่อายุบวชตั้งแต่ ๗
ปีลงมา ได้ไปรวมตัวกัน รับการอบรมเพิ่มพูนความรู้และแนวคิดจากคุณพ่ออภิสิทธิ์
สงฆ์คณะพระมหาไถ่ ในเรื่ององค์กรที่มีประสิทธิภาพ เริ่มต้นด้วยการให้แต่ละคนได้ใช้ความคิดเพื่อบอกลักษณะองค์กรที่อยู่คือ
อัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ที่สังกัดอยู่ตอนนี้ว่า
แต่ละคนมองเปรียบเทียบเป็นภาพอะไรเพื่ออธิบายทัศนคติต่อองค์กร
สิ่งที่พบจากการใช้การเปรียบเทียบนี้ ๑)
ไม่มีใครมองเหมือนกันร้อยเปอร์เซ็นต์ แม้จะมององค์กรเดียวกันก็ตาม ๒)
แม้ภาพเปรียบเทียบจะอธิบายทัศนคติได้ดี
แต่ก็ยังไม่ใช่ความเป็นจริงทั้งหมดขององค์กร ดังนั้น
เมื่ออยู่ร่วมกันและแบ่งปันกันก็ทำให้เราได้เปิดมุมมองของเราให้เห็นในด้านอื่นด้วย
เพราะวิธีการนี้มีบทสรุปอยู่ที่ว่า “หากคนมีอคติต่อองค์กร
ก็จะมองเห็นแต่อคติในด้านไม่ดี” โดยลืมที่จะมองเห็นในด้านดีด้วย
เพื่อนพระสงฆ์ในรุ่นเดียวกับพ่อเองก็เช่นกัน
เรารู้สึกกันได้ว่าเรามาจากต่างถิ่นอาศัย ต่างบรรยากาศ ต่างการอบรมเลี้ยงดู
ต่างฐานะ และเมื่อมารับการอบรมด้วยกันในบ้านเณรนั้น
เราก็มีความถนัดในแต่ละด้านที่แตกต่างกัน มีพระพรของพระเจ้าให้เราได้ทำงานเฉพาะทางตามความชอบของตน
จริงอย่างบทอ่านที่สองว่า “พระพรมีอยู่ต่างๆ กัน แต่มีพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน
หน้าที่มีต่างๆ กัน แต่มีพระเจ้าองค์เดียวกัน กิจการมีต่างๆ
แต่มีพระเป็นเจ้าองค์เดียวกัน ผู้ทรงกระทำทุกอย่างในทุกคน
แต่ละคนได้รับการแสดงองค์ของพระจิตเจ้าเพื่อประโยชน์ส่วนรวม” (1คร12:4-7)
เราลองมาพิจารณาองค์กรวัดเซนต์หลุยส์ของเราดูบ้างครับ
ว่าเปรียบเทียบได้กับอะไร? ว่างๆ พี่น้องก็ลองมาคุยกันเล่นๆ กับพ่อดูบ้างนะครับ
พร้อมบอกเหตุผลด้วย เพื่อว่าด้วยมุมมองที่แตกต่างกัน
จะช่วยสร้างสรรค์และสร้างรูปแบบ (Shaping) วัดของเราให้ดียิ่งขึ้น พร้อมไปกับคณะสงฆ์ สภาภิบาล และสัตบุรุษทุกท่าน
เพื่อประโยชน์ส่วนรวมของวัดเรา
ขอย้ำนะครับ ชีวิตที่ดำเนินไปโดยพระจิตเจ้านั้น
ต้องทำให้เราแต่ละคนที่แตกต่างกันนั้น ทำสิ่งต่างๆ เพื่อประโยชน์ส่วนรวมเท่านั้น
สิ่งใดที่ตรงกันข้าม สร้างความแตกแยก การนินทาว่าร้าย ใส่ความกัน
สิ่งนั้นไม่ได้มาจากพระจิตเจ้าอย่างแน่นอน
เราอาจสรุปด้วยคำสั้นๆ
ได้ว่า “แตกต่างแต่ไม่แตกแยก” หรือ “เป็นหนึ่งเดียวกันในความแตกต่าง”
หรือภาษาอังกฤษเขาว่า “UNITY
IN DIVERSITY” ขอพระจิตเจ้าประทับอยู่ในจิตใจพี่น้องทุกคนเสมอไป
คุณพ่อปลัดองค์เล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น