สัปดาห์ที่ 25 เทศกาลธรรมดา
วันเสาร์ที่ 22
กันยายน
เริ่มมีชีวิตชีวาด้วยกิจกรรมการฝึกฝนเด็กๆช่วยมิสซาให้เข้ารูปเข้ารอยตามรูปแบบของ
พิธีกรรมเพื่อให้เด็กคุ้นเคยกับการรับใช้พระเยซูเจ้ารอบๆพระแท่น
และบรรดาผู้อ่านพระพระวาจาในมิสซาก็ได้รับการอบรม
เพิ่มเติมส่วนที่สำคัญในการทำหน้าที่อย่างถูกต้อง
ไม่ขาดและไม่เกิน พอดีๆ หวังว่าจากบุคคลที่ใกล้ชิดพระแท่นจะทำให้พวกเราได้สัมผัสกับพระเยซูเจ้าผู้เป็นจุดรวมของเราในวันพระเจ้าอย่างมีชีวิตชีวาด้วยกันเสมอไป
กันยายนยังคงเป็นการอ่านพระวาจาสู่สัปดาห์ที่สี่ของการอ่านพระวาจาและหนังสือศรัทธา
ศูนย์คำสอนนำหนังสือ
พระคัมภีร์และศรัทธาต่างๆมาเป็นสัปดาห์สุดท้าย
เพื่อบริการประทับใจให้ถึงมือถึงวัด เหลืออย่างเดียวถึงบ้าน แต่ใครที่ซื้อ
และเอาไปใช้ที่บ้านก็ถึงบ้านใช่เลย
โครงการอ่านพระวาจานักบุญมาร์โกชุดละ 20 บาทน่าสนใจเหมาะกับครอบครัวมาก
ขอเชิญสมาชิกขององค์กรวัดหรือกลุ่มงานทุกคนรักการอ่านพระคัมภีร์อย่างไรให้มีชีวิตชีวา
น่าจะเป็นอีกหนึ่งวิธีการ
โดยเชิญคุณพ่อ สหพล ตั้งถาวร มาช่วยแนะนำใช้เวลาเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนประมาณครั้งละชั่วโมงครึ่งในวันอาทิตย์
ถ้าทำได้ก็ครบเครื่องเรื่องการประกาศข่าวดี ( อาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม
เวลา 10.00-11.30 น.)
เดือนหน้าเราเข้าสู่กิจกรรมเตรียมเฉลิมฉลอง
350 ปีมิสซังสยามด้วยความศรัทธาต่อการสวดลูกประคำตลอด
เดือนตุลาคม โดยเริ่มต้นเย็นวันจันทร์ที่ 1 ตุลาคม มิสซารอบ 17.30
น.แล้วต่อด้วยสวดลูกประคำในวัด บ้านหรือครอบครัว
หรือหมู่คณะนัดกันมาสวดด้วยกัน ตามเจตนาของแม่พระ บางบ้านยังคงมีธรรมเนียมสวดที่บ้านและยังเชิญแม่พระไปสวด
กันเอง ขอให้รักษาบรรยากาศนี้ไว้ ส่วนใครไม่สะดวกก็มาที่วัด
ทุกอย่างพร้อมเพรียงสวดสายประคำ ประมาณวันอาทิตย์หน้า
จะมีเครื่องมือช่วยการสวดให้เป็นไปตามจุดประสงค์ครบเครื่องเรื่องการสวด
1.เพื่อการเตรียม
350 ปีมิสซังสยามกับงานประกาศข่าวดี 2.เพื่อส่งเสริมสิทธิของเด็กในครรภ์
3.เพื่อครอบครัว
4.เพื่อพระกระแสเรียกพระสงฆ์และนักบวช และ
5.เพื่อการสร้างยุวชนและเยาวชนเติบโตให้เป็นศิษย์พระคริสต์
ในวันเสาร์ที่
6 ตุลาคม จะเป็นวันรวมพลังสวดสายประคำพร้อมเพรียงจากวัดต่างๆในเขตหนึ่งมาที่วัดเซนต์หลุยส์
เริ่มลงทะเบียนรับของที่ระลึกตั้งแต่เวลา 8.00 น.เป็นต้นไป
จบลงด้วยมิสซาและถวายช่อดอกไม้แด่แม่พระ
ขอบคุณทุกท่านและขอพระเจ้าอวยพร
พ่อเจ้าวัดเซนต์หลุยส์
........................................................................................................................
“ผู้ยากไร้ของพระเจ้า ผู้เดินตามพระองค์เสมอ”
“เราจงดักซุ่มทำร้ายผู้ชอบธรรม
เพราะเขาทำให้เรารำคาญใจ
เขาตำหนิต่อต้านกิจการของเรา.....เราจงดูเถิดว่าคำพูดของเขาจะจริงหรือไม่
เราจงพิสูจน์ว่าอะไรจะเกิดขึ้นแก่เขาในวาระสุดท้าย เราจงสาปแช่งและทรมานลองใจเขา
ให้รู้ว่าเขาอ่อนโยนเพียงใด และจงทดสอบว่าเขาอดทนเพียงใด เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด
พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา”
(ปชญ 2:12,17,19-20)
ในพระคัมภีร์ภาคพันธสัญญาเดิมเป็นพิเศษในช่วงเวลาที่ชาวอิสราแอลถูกจับและถูกเนรเทศหลายต่อหลายคนพบเห็นเหตุการณ์เลวร้าย
ตัวเองก็ยากไร้ยากจน บ้านเมืองก็ถูกตีแตก ถูกทำลายจนไม่เหลือชิ้นดี
พวกเขาก็หมดความหวังไม่เชื่อมั่นและละทิ้งองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา
แม้มีประชากรของพระเจ้าที่สิ้นหวังและละทิ้งพระองค์ไปเป็นจำนวนมากมาย
แต่ก็ยังมีประชากรของพระเจ้าส่วนหนึ่งที่ยังคงรักษาความเชื่อ ยังคงวางใจเฝ้ารอคอยพระสัญญาและความช่วยเหลือจากพระเจ้า
พวกเขาถูกเรียกว่า “ผู้ยากไร้ของพระเจ้า”
พวกเขาก็ยังเฝ้ารอคอยพระเจ้า แม้จะถูกท้าทายและดูถูกเหยียดหยาม
"เราจงตัดสินลงโทษให้เขาตายอย่างอัปยศ
ถ้าเป็นจริงอย่างที่เขาพูด พระเจ้าจะทรงคอยดูแลเขา” (ปชญ 2:20) พวกเขาเฝ้ารอคอยการปกป้องคุ้มครองดูแลจากพระองค์
อย่างที่ไม่มีวันหมดความเชื่อวางใจไปจากพระองค์
“บุตรแห่งมนุษย์จะถูกมอบในเงื้อมมือของคนทั้งหลาย
เขาจะประหารชีวิตพระองค์ แต่เมื่อถูกประหารแล้ว
ในวันที่สามพระองค์จะกลับคืนชีพ”
บรรดาศิษย์ไม่เข้าใจพระวาจานี้ แต่ก็ไม่กล้าทูลถาม.....เขาก็นิ่ง
เพราะระหว่างทางเขาถกเถียงกันว่า ผู้ใดยิ่งใหญ่กว่ากัน พระองค์จึงประทับนั่ง
แล้วทรงเรียกอัครสาวกสิบสองคนเข้ามา ตรัสว่า
“ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย
และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” (มก
9:31-32,34-35)
ผู้คนในทุกๆวันนี้ถูกโลกในปัจจุบันหล่อหลอมให้สู้รบปรบมือ ให้แก่งแย่งชิงดีชิงเด่น
ให้ได้เป็นที่หนึ่งไม่ยอมเป็นที่สองต้องมีต้องได้ ได้มากๆมากที่สุดแล้วก็ยังไม่พอ เพราะยังมีมากกว่า
“มากที่สุดอีก” ให้ได้แย่งได้เช่นกัน
ตัวอย่างของบรรดาอัครสาวกที่ถกเถียงกันเพื่อแย่งกันเป็นที่หนึ่ง ก็เป็นตัวอย่างที่เราได้เห็นเกิดขึ้นได้แม้ในศิษย์ของพระเยซู
แต่พระเยซูเจ้าสอนเขาและสอนเราด้วยว่าศิษย์ของพระองค์จำเป็นที่จะต้องมีชีวิตเช่นนี้ “ถ้าผู้ใดอยากเป็นคนที่หนึ่ง
ก็ให้ผู้นั้นทำตนเป็นคนสุดท้าย และเป็นผู้รับใช้ของทุกคน” (มก 9:31-32,34-35)
และนักบุญยากอบได้เพิ่มได้ขยายความที่ทำให้เราเห็นชีวิตติดตามพระเยซูคริสตเจ้าที่ชัดเจนว่า
"ที่ใดมีความอิจฉาริษยาและความทะเยอทะยาน
ที่นั่นย่อมมีแต่ความวุ่นวายและความชั่วร้ายนานาชนิด ส่วนปรีชาญาณที่มาจากเบื้องบน
ประการแรกเป็นสิ่งบริสุทธิ์ แล้วจึงก่อให้เกิดสันติ เห็นอกเห็นใจ
อ่อนน้อม เปี่ยมด้วยความเมตตากรุณา บังเกิดผลที่ดีงาม ไม่ลำเอียง
ไม่เสแสร้ง" (ยก 3:16-17)
นกขุนทอง.
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น