วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2559

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน 2016

พี่น้องที่รัก
            เอกลักษณ์สำคัญของการดำเนินชีวิตเยี่ยงคริสตชนคือ "การดำรงอยู่ในความรัก" เพราะพระเจ้าทรงรักเรา รับเราเป็นลูกของพระองค์ เราจึงอยู่ในความรักของพระองค์ ในเวลาเดียวกันพระองค์สอนเราให้รู้จักรักผู้อื่นด้วย ด้วยเหตุนี้ ชาวยิวซึ่งเป็นประชากรที่พระเจ้าทรงเลือกสรรของพระองค์ จึงได้รับการปลูกฝังว่า ให้รู้จักรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง หมายความว่า ถ้าเรารักตัวเราอย่างไร ก็จงรักคนอื่นอย่างนั้นเถิด ซึ่งถือว่าเป็นความรักที่ยิ่งใหญ่แล้ว เพราะการที่คนคนหนึ่งจะรักคนหนึ่งในแบบที่รักตัวเองได้นั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลยทีเดียว แต่คำสอนให้รักเพื่อนบ้านเท่ากับรักตัวเองนั้นดูจะเล็กลงไปทันที ที่พระเยซูสอนศิษย์ของพระองค์ในวันนี้ว่า "เราให้บทบัญญัติใหม่แก่ท่านทั้งหลาย ให้ท่านรักกัน เรารักท่านทั้งหลายอย่างไร ท่านก็จงรักกันอย่างนั้นเถิด" (ยน.13:34) ความรักที่พระเยซูสอนนี้เป็นบัญญัติใหม่ในความหมายที่ว่ามันเป็นความรักที่ใหญ่กว่า กว้างขวางกว่า กินอาณาเขตมากกว่าขอบเขตของความรักแบบเดิมอย่างที่ได้รับการปฏิบัติกันมาแต่โบราณนั่นเอง  เพราะว่าพระเยซูรักเรามากกว่าชีวิตของพระองค์เอง พระองค์ยอมรับการทนทรมาน และความตายบนไม้กางเขนที่น่าอดสูใจ เพื่อเป็นพลีบูชาถวายแด่พระบิดาเจ้าชดเชยโทษบาปของชาวเรา แสดงว่าพระองค์ทรงรักเรามากกว่าที่จะรักตัวเองเสียอีก ความรักในความหมายนี้เป็นความรักที่ยิ่งใหญ่ เป็นความรักที่เสียสละ เป็นความรักที่มีแต่ให้ ขอบเขตของความรักเพื่อนมนุษย์แต่เดิมที่กำหนดไว้เพียงแค่ เท่าเทียมกับเรารักตัวเราเองนั้น จึงได้รับการขยายออกไปให้กว้างกว่าเก่าอย่างมากมาย และนี่แหละคือความรักที่พระเยซูเจ้าทรงสอน
            " ถ้าท่านมีความรักต่อกัน ทุกคนจะรู้ว่าท่านเป็นศิษย์ของเรา" (ยน.13:35) ข้อความนี้ชี้บอกกับเราว่าเอกลักษณ์ของกลุ่มคริสตชนคือการที่ทุกคนรักกันเยี่ยงพระเยซูเจ้าทรงรักเรานั่นเอง ดังนั้นพื้นฐานของกลุ่มคริสตชนทุกกลุ่ม ทุกหมู่เหล่าคือ ทุกคนรักกันเป็นหนึ่งเดียวกัน จะต้องไม่มีความขัดแย้งหรือความแตกแยกในกลุ่มคริสตชนไหนๆ เพราะความขัดแย้ง ความแตกแยกเป็นเครื่องหมายบ่งบอกว่า กลุ่มคริสตชนนั้นๆ ขาดคุณสมบัติที่สำคัญของกลุ่มคริสตชน นักบุญเปาโลให้ความหมายของความรักได้ชัดเจนมากขึ้นว่า "ความรักย่อมอดทน มีใจเอื้อเฟื้อ ไม่อิจฉา ไม่โอ้อวดตนเอง ไม่จองหอง ไม่หยาบคาย ไม่เห็นแก่ตัว ความรักไม่ฉุนเฉียว ไม่จดจำความผิดที่ได้รับ ไม่ยินดีในความชั่ว แต่ร่วมยินดีในความถูกต้อง ความรักให้อภัยทุกอย่าง เชื่อทุกอย่าง หวังทุกอย่าง อดทนทุกอย่าง" (1คร.13:4-7)
            ชีวิตของเรามนุษย์จะมีคุณค่าสูงส่งได้ก็ต่อเมื่อ เราฝึกฝนปฏิบัติที่จะรักกันให้กว้างขวางที่สุดเท่าที่จะทำได้ เท่าที่จะถ่างตัวเราเองออกเพื่อเปิดพื้นที่ความรักให้ยิ่งใหญ่ที่สุดเท่าที่จะทำไหว นี่แหละคือประสบการณ์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของชีวิตเรา ลองดูครับ ทำดูครับ เพราะพระเยซูสอนเรา แล้วจะพบว่า สันติสุขที่แท้จริงคืออะไร


พ่อสุพจน์
............................................................................................................

สวัสดีพี่น้องที่รัก
ในบรรยากาศแห่งการล่ำลาที่อึมครึมด้วยการวางแผนการณ์ การทรยศ ความมืดมนนั้น  พระเยซูเจ้าทรงมอบบัญญัติแห่งความรักแก่บรรดาศิษย์ มันไม่ใช่เรื่องของกฎบัญญัติข้อบังคับ แต่เป็นการเชื้อเชิญให้สู่ความสัมพันธ์หนึ่งเดียวอย่างอิสระกับพระบิดาโดยทางพระเยซูเจ้าและเพื่อนพี่น้อง
       บัญญัตินี้มีลักษณะจำเพาะสามอย่าง นั่นคือ เป็นบัญญัติใหม่  ปฏิบัติด้วยการเลียนแบบความรักของพระเยซูเจ้า และเป็นตัวชี้บอกความเป็นคริสตชน ความใหม่  เป็นความรักที่มีลักษณะใหม่ ส่วนความเกลียดชัง การแก้แค้นพยาบาท ความรุนแรง ความเฉยเมย ความเห็นแก่ตัว คือลักษณะเก่าที่ผ่านพ้นไป เพราะจะทำให้เกิดความแก่และทำให้โลกต้องอยู่ในความเก่า เป็นดังข่าวเก่า เป็นการกระทำซ้ำไปซ้ำมา ไม่นำความก้าวหน้ามาให้โลกเลย
       มีแต่ความรักเท่านั้นที่ใหม่ ไม่เคยได้ยินมาก่อน สามารถสร้างสรรค์ ค้นคิดสถานการณ์ใหม่ๆ และเปลี่ยนแปลงทุกอย่างได้ถึงรากถึงโคนความรักมีองค์ประกอบแห่งความแปลกใจ ซึ่งไม่เคยเห็นมาก่อน และทำให้เกิดความก้าวหน้าพระเยซูเจ้าเป็นแบบอย่าง เป็นความรักที่เราจำต้องเลียนแบบความรักของพระคริสต์  เรารักท่านอย่างไร พวกท่านก็จงรักกันและกันเช่นเดียวกัน
       ความใหม่ของบัญญัตินี้ ไม่อยู่ในความต่างกับบัญญัติในพระธรรมเก่า ซึ่งสอนให้รักเพื่อนพี่น้องและคนแปลกหน้าด้วยเช่นกัน หากแต่อยู่ในพระบุคคลของพระเยซูเจ้า ความรักที่ทรงมีต่อมนุษย์ ซึ่งกลายเป็นต้นแบบสำหรับความสัมพันธ์ที่เราพึงมีต่อกันและกัน
       ความรักของพระคริสตเจ้าเป็นความรักที่เปลี่ยนตนเองเป็นของขวัญ  ไม่เป็นของตนเอง แต่เป็นชองขวัญแบบทรงชีวิตเพื่อผู้อื่น  พระองค์ไม่ได้ประทานสิ่งของสิ่งใดสิ่งหนึ่งให้เรา แต่ประทานตัวพระองค์เองให้เราทั้งหมดสิ้นโดยไม่เก็บอะไรไว้เลย
       ความรักของพระองค์เป็นความรักให้เปล่า โดยไม่มีเหตุผล ความรักของพระเจ้าไม่ตั้งอยู่ในคุณภาพของมนุษย์  ความรักของคริสตเจ้าเผยให้เห็นถึงความรักที่ไม่ตั้งอยู่บนคุณค่าของสิ่งของ แต่ตั้งอยู่บนธรรมชาติของพระเป็นเจ้า ความรักของพระเจ้าไม่ขึ้นกับเงื่อนไขหรือในพฤติธรรมของมนุษย์ พระองค์ทรงโปรดให้ดวงอาทิตย์ขึ้นเหนือคนดีและคนชั่ว ให้ฝนตกสำหรับคนดีและคนชั่ว” (มธ5,45)พระคริสตเจ้าไม่ทรงรักเราเพราะเรามากด้วยฤทธิ์กุศล เป็นคนดี สมควร น่ารัก   แต่ความรักของพระองค์ทำให้เรากลับเป็นคนดี ความรักของพระองค์เป็นความรักสร้างสรรค์
       พระเจ้าไม่ทรงรักสิ่งที่ทำให้เราสมควรแก่ความรักของพระองค์ แต่ด้วยความรักของพระองค์ พระองค์ทรงบันดาลคุณค่าให้แก่เราสิ่งที่ไร้คุณค่า กลายเป็นสิ่งมีคุณค่าในความรักของพระเจ้า
       ความรักไม่มองหาคุณค่า แต่สร้างคุณค่าให้ เพราะความรักสร้างสรรค์บันดาลคุณค่า  ความรักคือเครื่องแบบของการเป็นคริสตชน ซึ่งทำให้รู้ได้ว่าเป็นศิษย์ของพระเยซูจ้า
คริสตชนไม่ใช่คนถือบัญญัติ หรือไปวัด ทำบุญ หรือสวดบทยืนยันความเชื่อ  แต่คริสตชนในแก่นแท้คือผู้ที่รัก ความรักจึงเป็นคำสำคัญ เป็นภาษาคริสตชน  หากไม่มีคำว่า รักคำอื่นๆก็ไร้คุณค่า ไร้ความหมาย  “ถ้าข้าพเจ้าพูดภาษามนุษย์และภาษาเทวดาได้ แต่ไม่มีความรัก ข้าพเจ้าก็เป็นแค่ฉิ่งหรือฉาบที่ส่งเสียงได้แค่นั้น” (1คร13,1)
       ความรักเป็น สาส์นที่คริสตชนต้องประกาศในชีวิตประจำวันหากไร้ซึ่ง สาส์นนี้ แม้แต่เราจะพูดทั้งวัน เราก็เหมือนไม่ได้พูดอะไรเป็นเรื่องเป็นราว คนอื่นก็ไม่เข้าใจอะไรทั้งสิ้น
       “ส่วนเรา...เราเชื่อในความรัก” (1ยน4,16)ความจริงแห่งการเป็นคริสตชนคือการรักคริสตชนคือคนที่เชื่อในความรักเชื่อในความรักหมายความว่าเชื่อในพลังแห่งความรัก หมายความว่ามุ่งทุกสิ่งไปที่พลังแห่งความรัก หมายความว่าตระหนักว่า เราใช้เหตุใช้ผลด้วยการรัก”  “เราชนะด้วยการรักเราสอนคนอื่นด้วยการรัก” “เราเข้าหาคนด้วยการรักเหมือนจะบอกว่า คุณยังไม่เป็นใคร กระทั่งคุณมีคนที่รักคุณ ความรักไม่ใช่ความรู้สึกลอยๆ แต่เป็นความรู้สึกที่มีเป้าหมายที่ดี
       ในพระวรสาร เราเห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงรักเราอย่างไร เป็นความรักพระเจ้าและความรักมนุษย์ในเวลาเดียวกัน ความรักที่แสดงออกมาในการกระทำ ทำให้คนสามารถรู้ว่าเป็นคริสตชนแท้

พ่อพงษ์เกษม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น