พี่น้องที่รัก
เทศกาลมหาพรตเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อวันพุธรับเถ้าที่ผ่านมา
ตามธรรมเนียมดั้งเดิมของเราคริสตชน เทศกาลนี้เราจะมุ่งเน้นที่จะฝึกปฏิบัติในคุณธรรม
3 ประการ ที่สำคัญคือ การภาวนา การถือศีลอดอาหาร และ
การบริจาคทาน โดยมีเป้าหมายเพื่อที่จะฟื้นฟูพระพรแห่งศีลล้างบาปที่เราได้รับมา
การภาวนา
หมายถึงให้อุทิศเวลาสำหรับการภาวนาให้มากขึ้น
เทศกาลนี้ควรที่จะนำพาชีวิตของเราให้ใกล้กับพระเจ้ามากขึ้น
เราอาจสวดภาวนาเพื่อขอพระพรให้เราสามารถปฏิบัติตนเป็นคริสตชนที่สมบูรณ์แบบมากขึ้นตามคำมั่นสัญญาขณะรับศีลล้างบาปของเรา
เราอาจภาวนาเพื่อผู้เตรียมตัวรับศีลล้างบาปในวันปัสกาจะได้รับพระพรหล่อเลี้ยงเส้นทางชีวิตแห่งการเข้ามาเป็นลูกของพระเจ้าอย่างเพียงพอ
เราอาจจะภาวนาเพื่อให้ผู้ที่เข้ามารับศีลอภัยบาปในระหว่างเทศกาลนี้จะได้ฟื้นฟูชีวิตของตนอย่างแท้จริงให้หลุดพ้นจากความเคยชินในบาปต่างๆ
การถือศีลอดอาหาร
หมายถึงการหักห้ามใจจากการบริโภค ได้รับการถือปฏิบัติมาแต่สมัยโบราณในเทศกาลนี้
ในอดีตพระศาสนจักรเคยกำหนดให้มีการอดอาหารสองวันก่อนจะถึงวันฉลองค่ำคืนตื่นเฝ้า
ต่อมาได้มีการขยายเวลาแห่งการถือศีลอดอาหารเป็นช่วงเวลา 40 วัน
การถือศีลอดมีอะไรที่มากกว่าเพียงเป็นการฝึกฝนที่จะควบคุมตนเองเท่านั้น
แต่ยังหมายถึงความหิวที่เกิดขึ้นนั้นเตือนใจเราถึงความหิวกระหายหาพระเจ้า ประกาศกอิสยาห์เคยเตือนว่า
การถือศีลอดอาหารโดยปราศจากการเปลี่ยนแปลงอุปนิสัยให้ดีขึ้นนั้น
ไม่ได้ทำให้พระเจ้าทรงพอพระทัย
ดังนั้นการถือศีลอดจึงหมายถึงการละจากความปรารถนาต่างๆ
การปลดปล่อยผู้ที่ถูกปฏิบัติอย่างอยุติธรรม การปลดแอกภาระหนักที่ถูกวางบนบ่าของบุคคล
การแบ่งปันอาหารให้กับผู้หิวโหย การให้ที่อยู่อาศัยกับคนที่ขาดที่พึ่ง
การให้เสื้อผ้ากับคนที่ไม่มีจะนุ่งห่ม เหตุผลประการสำคัญก็คือ
เมื่อเราได้รับศีลล้างบาป
เราได้ร่วมส่วนในการแสดงพระพักตร์อันเมตตาของพระคริสตเจ้าให้กับโลก
โดยเฉพาะกับผู้คนที่ขัดสน ส่วนการอดเนื้อนั้นเป็นการร่วมเป็นหนึ่งเดียวกับผู้ยากไร้ที่ไม่มีเงินพอจะจัดซื้อเนื้อหรืออาหารดีๆมาบริโภค
พระศาสนจักรยังแนะนำให้เราอดเนื้อในวันศุกร์ตลอดเทศกาลมหาพรตนี้ด้วย
การทำบุญให้ทาน
ในเทศกาลมหาพรตนี้ เราแต่ละคนได้รับการเชิญชวนให้เก็บออม
และบริจาคเงินออมที่เก็บได้จากการฝึกปฏิบัติจากการละเว้นในสิ่งฟุ่มเฟือยต่างๆ
เพื่อนำเงินออมนั้นแบ่งปันสำหรับกิจการกุศล และ ช่วยเหลือผู้ยากไร้
การเดินรูปสิบสี่ภาค
ถือเป็นกิจศรัทธาที่พระศาสนจักรเชิญชวนให้เราคริสตชนได้ทำเป็นพิเศษในเทศกาลมหาพรตนี้
เพื่อระลึกถึงการทนทรมานและการถวายองค์เป็นพลีบูชาบนไม้กางเขนของพระเยซูคริสตเจ้า
เมื่อเราเดินรูปสิบสี่ภาคก็เท่ากับว่าเรากำลังเชื่อมต่อชีวิตฝ่ายจิตของเรากับความหมายของพระพรแห่งศีลล้างบาป
ในความหมายที่ว่าเมื่อเราเดินไปสู่ภาคต่างๆ ของพระทรมานของพระเยซู
เท่ากับว่าเรากำลังก้าวเข้าไปในพระธรรมล้ำลึกของความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสตเจ้า และ
ช่วยรื้อฟื้นคำมั่นสัญญาของเราเมื่อเรารับศีลล้างบาปนั้น ว่าเราจะสมัครใจอุทิศชีวิตของเราเพื่อผู้อื่นเหมือนอย่างที่พระเยซูเจ้าเคยกระทำ
ทำให้เราเข้าใจว่าเมื่อเราเห็นพระเยซูต้องทนทรมานและรับความตายแล้ว
จะช่วยเราให้กล้าที่จะน้อมรับความยากลำบากที่เกิดขึ้นในชีวิตด้วยความสัตย์ซื่อต่อเสียงเรียกของพระเจ้าเสมอ
มหาพรต มาหาพระ
จึงเป็นเสมือนช่วงเวลาพิเศษจริงๆ สำหรับเราแต่ละคน ที่จะเข้าสู่ช่วง สะกดอดใจ
ละจากความปรารถนาที่ไม่ดีไม่งาม วางตนในกรอบของความดี ความบริสุทธิ์อย่างเคร่งครัด
และจริงจังกับข้อตั้งใจที่มีอยู่
ขอพระเจ้าประทานพระพรให้กับพี่น้องจะก้าวไปบนความก้าวหน้าของชีวิตฝ่ายจิตอย่างเกิดผลด้วยเถิด
พ่อสุพจน์
..............................................................................................................
พี่น้องที่รัก
การถูกทดลองของพระเยซูเจ้าดังนี้
1.คำกรีก peirazein (เปยราเซน)
มีความหมายว่า “ทดลอง” หรือ “ทดสอบ” มากกว่าจะแปลว่า “ผจญ,
ประจญ, หรือ ล่อลวง” ซึ่งส่อไปในทางชักชวนผู้อื่นให้ทำผิด หากเราแปลคำ peirazeinในหนังสือปฐมกาลบทที่
22 ข้อ 1 เป็น “ผจญ” ก็จะได้ความว่าพระเจ้าทรงผจญอับราฮัมให้ถวายอิสอัคบุตรชายเป็นเครื่องเผาบูชา
ซึ่งเป็นไปไม่ได้ที่พระเจ้าจะชักชวนอับราฮัมให้ทำผิดเมื่อเป็นเช่นนี้
เราจึงควรเปลี่ยนความคิดจากสิ่งที่เคยเรียกว่า “การผจญ”
แล้วมักลงเอยด้วยความพ่ายแพ้หรือบาปเสียใหม่
การผจญเป็นการกระทำของปีศาจ พระเป็นเจ้าทรงประทานให้เรามีความสามารถและเหมาะสมกับภารกิจอันยิ่งใหญ่นี้
พระเจ้าทรงประทานการ “ทดลอง” แก่ผู้ที่พระองค์ทรงเลือกสรร
ไม่ใช่เพื่อให้ตกในบาป แต่เพื่อให้เราชนะบาป จะได้เข้มแข็ง บริสุทธิ์
และเหมาะสมกับภารกิจที่จะทรงมอบหมายให้มากขึ้นการทดลองจึงไม่ใช่สิ่งน่ากลัวหรือน่าอับอายที่จะต้องปกปิดกันอีกต่อไป
แต่เป็นสิ่งที่เราแต่ละคนจะต้องสอบให้ผ่านและเอาชนะให้จงได้
2.ถิ่นทุรกันดารตั้งอยู่ระหว่างกรุงเยรูซาเล็มซึ่งอยู่บนที่ราบสูงตอนกลางของประเทศกับทะเลตายซึ่งอยู่ต่ำกว่าระดับน้ำทะเล
มีเนื้อที่ประมาณ 1,300 ตารางกิโลเมตร
ไม่มีผู้คนอาศัยอยู่ในดินแดนแห่งนี้เลยพระองค์เสด็จไปในดินแดนที่ไร้ผู้คนเพราะทรงประสงค์จะ“อยู่ตามลำพัง” เพื่อพิจารณาหาวิธีการทำให้ภารกิจที่พระบิดาทรงมอบหมายสำเร็จลุล่วงไปในชีวิตนี้
มีบางสิ่งที่เราต้องทำเองตามลำพัง
มีบางครั้งที่คำแนะนำของใคร ๆ ก็ไม่อาจช่วยเราได้ เราต้องรู้จัก “หยุดทำ”
และ “เริ่มคิด” บ้างอย่าให้เราผิดพลาดเพียงเพราะไม่มีโอกาสอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า
ช่างน่าเสียดายยิ่ง
3.พระวรสารสามฉบับเน้นเหมือนกันว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองทันทีหลังรับพิธีล้างจากยอห์น
โดยเฉพาะมาระโกระบุชัดเจนว่า “ทันใดนั้น
พระจิตเจ้าทรงดลให้พระองค์เสด็จเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร” (มก
1:12)เป็นความจริงว่าเมื่อเราขึ้นสู่จุดสูงสุดหรือผ่านเหตุการณ์สำคัญที่สุดในชีวิตแล้ว
จะเกิดปฏิกิริยาตอบโต้ในทางที่เป็นภัยมากกว่าเป็นคุณ
เหมือนดอกไม้ไฟที่ขึ้นสู่จุดสูงสุดและสว่างไสวที่สุดแล้ว
ก็จะดับมืดและร่วงตกลงมาสู่พื้นพระเยซูเจ้าก็เช่นกัน
พระองค์พึ่งจะได้รับเกียรติสูงสุด โดยพระจิตเจ้าที่เสด็จมาในรูปของนกพิราบทรงรับรองพระองค์เป็น
“บุตรสุดที่รัก” ของพระบิดา
และทันทีเป็นพระจิตเจ้าอีกเช่นกันที่ทรงนำพระองค์สู่การทดลองในถิ่นทุรกันดาร
4.การทดลองของพระเยซูเจ้าไม่ใช่ประสบการณ์ภายนอก
แต่เป็นการดิ้นรนต่อสู้ภายในจิตใจและวิญญาณของพระองค์เอง เหตุผลคือในโลกนี้ไม่มี “ยอดเขาสูงมาก” จนพระองค์สามารถ “ทอดพระเนตรอาณาจักรรุ่งเรืองต่าง ๆ ของโลก” ได้ทั้งหมด
(มธ 4:8)แสดงว่า “ปีศาจโจมตีจากภายในจิตใจของเรา” มันสามารถเจาะแนวป้องกันของเราเข้ามาได้
และที่ร้ายกาจสุด ๆ คือมันมี “ความคิดและความปรารถนา”
ของเราเองเป็นพันธมิตรและเป็นอาวุธของมัน เราจึงตกในความพ่ายแพ้ได้ง่าย
5.อย่าคิดว่าพระเยซูเจ้าทรงถูกทดลองเพียงครั้งเดียวในชีวิต ที่เมืองซีซารียาแห่งฟิลิป
เป็นเปโตรศิษย์รักนั่นเองที่ล่อลวงพระองค์ให้เลือกหนทางอื่นที่ง่ายกว่าหนทางของไม้กางเขน
จนพระองค์ต้องดุว่า “เจ้าซาตาน ถอยไปข้างหลัง”
(มธ 16:21-23)เมื่อใกล้วาระสุดท้าย พระองค์ทรงกล่าวกับพวกศิษย์ว่า “ท่านทั้งหลายจงเป็นผู้ที่ยืนหยัดอยู่กับเราในการทดลองที่เราได้รับ”
(ลก
22:28)แม้เราไม่มีฤทธิ์อำนาจพอที่จะทำให้ถูกทดลองกระโดดจากที่สูงหรือเปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปังเหมือนพระองค์ แต่เราต้อง “ระมัดระวังการใช้พรสวรรค์หรือความสามารถพิเศษที่เรามี” จงอย่าใช้ในทางที่ผิด
เช่นใช้ความสวยงามหลอกลวงผู้อื่น
หรือใช้วาทศิลป์เปลี่ยนขาวให้เป็นดำหรือดำให้เป็นขาว เป็นต้นเรากำลังหลงผิดและเดินอยู่ในความมืด
ช่างน่าสมเพชยิ่งนัก
พ่อพงษ์เกษม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น