วันศุกร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2557

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 14 กันยานา 2014

พี่น้องที่รัก
                มีคำกลอนบทหนึ่งเขียนเอาไว้ไพเราะมากเกี่ยวกับการทบทวนดูชีวิตของเราเอง ความว่า
          ตนเตือนตน ของตน ให้พ้นผิด
          ตนเตือนจิต ตนได้ ใครจะเหมือน
          ตนเตือนตน ไม่ได้ ใครจะเตือน
          อย่าแชเชือน เตือนตน ให้พ้นภัย
หลายครั้งเรื่องราวความบาดหมางระหว่างเรามนุษย์ในสังคม เกิดขึ้นจากความขาดตกบกพร่องในพฤติกรรมของเรามนุษย์เองที่ขัดหูขัดตาคนอื่น หรือ ส่งผลกระทบสร้างความเดือดร้อนให้กับคนอื่น บางทีการตักเตือนกันก็เป็นสิ่งจำเป็น เพราะสำหรับบางคนเขาไม่รู้ว่าการกระทำเช่นนั้นสร้างความเดือดร้อน รำคาญใจให้กับคนอื่นเขา แต่การที่เรามัวแต่จะรอให้คนอื่นมาคอยทักท้วงตักเตือน มันก็อาจจะสายเกินแก้ก็ได้ ดังนั้นเราจึงควรหมั่นที่จะเตือนตนเอง ด้วยการทบทวนไตร่ตรอง และ แสวงหาข้อขาดตกบกพร่องเหล่านั้นด้วยตัวเราเอง และทำการปรับปรุงตัวเราเอง ลดพฤติกรรมที่ไม่เป็นที่พึงปรารถนาลง เมื่อทำเช่นนี้ได้เราก็เป็นบุคคลที่น่าคบหา และ เป็นผู้ที่ได้รับความรักใคร่จากพี่น้องรอบข้าง
                ในอีกแง่หนึ่ง มนุษย์เราไม่มีใครดอกที่เกิดมามีความสมบูรณ์แบบไร้ที่ติในทุกๆด้าน เมื่อคิดเสียได้อย่างนี้ ก็เท่ากับว่าเรายอมรับได้ว่า เรามนุษย์ทุกคนย่อมมีความขาดตกบกพร่องด้วยกันทั้งนั้น ทำให้เรามองความขาดตกบกพร่องของผู้อื่นด้วยความเห็นอกเห็นใจ มากกว่าที่จะรู้สึกขึงโกรธ ขุ่นมัวเพราะมีสิ่งใดที่มากระทบขัดตาขัดใจเราเสียทุกครั้งไป ถ้าเรามองเพื่อนมนุษย์รอบข้างเราด้วยความเห็นอกเห็นใจ และหวังว่าเขาคงจะเรียนรู้ที่จะพัฒนาปรับปรุงตนเองได้ในภายหลัง ก็จะทำให้เราลดภาวะอารมณ์ที่ขุ่นมัวลงไปได้บ้างไม่มากก็น้อย
                ทุกครั้งที่เราเริ่มพิธีบูชาขอบพระคุณด้วยการยอมรับว่าเราเป็นคนบาป ก็เป็นเครื่องเตือนใจเราอยู่แล้วว่า ในชีวิตเรานั้นแม้จะมีความตั้งใจดีเพียงใด เราก็ยังแปดเปื้อนด้วยมลทินบาปอยู่เสมอ เพราะเหตุนี้ พระเยซูจึงมาสละชีวิตของพระองค์บนไม้กางเขนเพื่อชดเชยใช้โทษบาปแทนเรามนุษย์ทุกคน กางเขนจึงเป็นเครื่องหมายแห่งความรอดพ้น วันนี้เป็นวันฉลองเทิดทูนไม้กางเขน ขอให้เราทุกคนเทิดทูนไม้กางเขนนี้ให้สูงส่งในจิตใจของเรา เพราะนี่คือเครื่องหมายแห่งความรอดพ้นของชาวเรา

คุณพ่อสุพจน์

ความมหัศจรรย์ของพิธีบูชาขอบพระคุณ
(ต่อจากคราวที่แล้ว)
บทที่ 3
ความยินดีของบรรดานักบุญในพิธีบูชาขอบพระคุณ

                บุญราศี จอห์น แห่ง อัลแวร์น ขณะที่กำลังถวายพิธีบูชขอบพระคุณอยู่ด้วยความเลื่อมใสศรัทธา ในวันฉลองพระนางมารีย์ได้รับเกียรติยกสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณนั้น เมื่อถึงช่วงเวลาที่ท่านจะต้องเปล่งคำภาวนาบทเสกศีล ท่านเกิดความตื้นตัน อันเปี่ยมด้วยความหวาดเกรง ทำให้ท่านไม่สามารถสวดบทภาวนาอย่างต่อเนื่องได้ ท่านเริ่มแล้วก็หยุด ตะกุกตะกัก จนอธิการของท่านต้องคอยช่วยประคับประคองเปล่งเสียงบทภาวนาเสกศีลนั้นจนจบ

                ท่านบุญราศีกล่าวภายหลังว่า ท่านเห็นนิมิตของแผ่นปังที่กลับกลายเป็นองค์พระกุมารน้อย ในระหว่างที่ท่านสวดบทเสกศีลนั้น ท่านจึงมีความตื้นตันใจด้วยความเชื่อความศรัทธาจนแทบจะเป็นลมล้มไป และตกอยู่ในภวังค์จนไม่สามารถเปล่งบทภาวนาดังกล่าวได้อย่างราบรื่นนั่นเอง 
(ยังมีต่อ)
..................................................................................................
ฉลองเทิดทูนไม้กางเขน
ชายคนหนึ่งเพิ่งได้รับอภัยโทษหลังจากถูกจำคุกเป็นเวลานานหลายปี หนึ่งเดือนก่อนออกจากคุก เขาตัดสินใจเขียนจดหมายกลับไปหาหญิงคนรักที่เขารักมาก และเขาก็คิดว่าหญิงนั้นยังคงรักเขาและรอคอยการกลับมาของเขาเช่นกัน แต่เขาก็ยังไม่แน่ใจในจดหมายจึงเขียนไว้ว่า ถ้าหากหญิงนั้นยังรักและต้องการเขาอยู่ละก้อ ให้เอาริบบิ้นสีเหลืองมาผูกไว้ที่กิ่งของต้นโอ๊กหน้าบ้านของเธอ ถ้าหากเขานั่งรถแล้วเห็นริบบิ้นสีเหลืองนั้น เขาก็จงลงจากรถแล้วเข้าไปในบ้านของเธอ แต่ถ้าไม่เห็นริบบิ้นนั้น เขาก็จะนั่งรถประจำทางสายนั้นผ่านบ้านของเธอไปเสียยังชายแดนเมืองอื่น และเริ่มต้นชีวิตใหม่ที่นั่น
เมื่อวันอภัยโทษมาถึง ชายคนนั้นนั่งรถมุ่งไปยังบ้านของหญิงที่ตนรัก โดยเลือกที่นั่งหลังคนขับ เมื่อใกล้จะถึงบ้านของหญิงนั้น ชายคนนั้นก็สองจิตสองใจ ไม่กล้าที่จะมองดูที่ต้นโอ๊ก เพราะกลัวว่าจะไม่มีริบบิ้นสีเหลือง เขาจึงบอกคนขับรถว่า พอรถผ่านต้นโอ๊กข้างหน้านั้น ช่วยดูให้ทีว่ามีริบบิ้นสีเหลืองผูกอยู่ที่กิ่งของมันหรือไม่
พอถึงต้นโอ๊ก ชายผู้นั้นก็ถามคนขับรถว่า "เห็นริบบิ้นสีเหลืองบ้างไหม" คนขับรถก็หันมายิ้มแล้วตอบว่า "เห็นสิครับ ไม่ได้เห็นเพียงอันเดียวด้วยนะคุณ มีริบบิ้นสีเหลืองแถบใหญ่พันอยู่รอบต้นโอ๊ก พร้อมกับชิ้นเล็ก ผูกห้อยอยู่เต็มไปหมดเลย"

วันนี้เราฉลองเทิดทูนไม้กางเขน  กางเขนที่เราเห็น เมื่อเรามองแล้ว เราอาจจะรู้สึกว่ามันน่ากลัว มันเป็นสิ่งที่ทำให้เราคิดถึงแต่เรื่องเศร้า เป็นความตายที่โหดร้าย แต่ถ้าเราลองเพ่งไปที่ใบหน้าของพระเยซูคริสตเจ้าลึกๆ มองนานๆ เราจะเห็นถึงความรักที่ยิ่งใหญ่ของพระองค์ที่พระองค์ยอมตายเพื่อไถ่บาปให้เรา
เราอาจเคยไม่แน่ใจและไม่ไว้ใจในความรักของพระเจ้าอย่างชายคนในเรื่องเล่านี้ที่ไม่มั่นใจในคนรักของตนก็เป็นได้.. แต่ในที่สุดเราก็จะพบว่า พระเจ้ารักเรามากกว่าที่เราหวังเสียอีก พระองค์ยอมตายเพื่อนำความรอดพ้นมาสู่เราทุกคนอย่างแท้จริง
“กางเขน = ความรัก”
 “ความรักของพระเจ้าชนะทุกสิ่ง

                                                                                                                                                       คพ.วิทย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น