พี่น้องที่รัก
พ่อมีโอกาสได้พูดคุยกับพี่น้องทางสารวัดนี้อาทิตย์ละครั้ง
พื้นที่ตรงนี้ถือว่าเป็นกระดานสำหรับการแบ่งปัน และ การทักทายกันนะครับ
บางครั้งก็นำข้อคิดดีๆมาเล่าสู่กันฟัง บางครั้งก็เอาเหตุการณ์ที่ผ่านมาแล้ว
มาเขียนเผื่อว่าพี่น้องหลายท่านที่ไม่ได้อยู่ร่วมในเหตุการณ์นั้นจะมีโอกาสทราบเรื่องราวบ้าง
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา วัดของเราก็มีโอกาสได้จัดพิธีสวดภาวนาเพื่อสันติภาพ
ตามคำเชิญชวนของสมเด็จพระสันตะปาปาฟรังซิส พิธีสวดครั้งนี้ จัดขึ้นในนามของอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ
ก็ต้องถือว่าเป็นเกียรติของวัดเรา ที่พระคุณเจ้าฯ
ได้กรุณาเลือกวัดของเราเป็นสถานที่ประกอบพิธี พิธีเริ่มขึ้นประมาณ 18.45 น.
และจบลง ประมาณ 19.45 น. ก็ประมาณหนึ่งชั่วโมง ผู้มาร่วมพิธีก็เต็มวัด
มีตัวแทนจากคณะนักบวชชายหญิง มาร่วม และ พี่น้องสัตบุรุษมากันมากมาย
บรรยากาศในพิธีชวนศรัทธามาก คงไม่บ่อยนักที่เราจะได้มีโอกาสเฝ้าศีลมหาสนิท
สวดทำวัตรเย็นร่วมกันอย่างสง่า และรับพรศีลมหาสนิท
โดยมีพระสังฆราชเป็นประธานในพิธี
ก็ถือว่าเป็นประวัติศาสตร์อีกหน้าหนึ่งของวัดของเราที่น่าจดจำและสมควรได้รับการจารึกไว้
วันเสาร์ที่ 14 กันยายน
พี่น้องหลายท่านได้ร่วมเดินทางไปทัวร์แสวงบุญที่จัดขึ้นโดยชมรมฆราวาสเขต 1
วัดของเราจัดรถบัสไปหนึ่งคันความจุ 50 ที่นั่ง ก็มีพี่น้องจับจองไปกันจนเต็มความจุ
โดยที่มีพี่น้องอีกหลายท่านต้องผิดหวังไม่สามารถจับจองที่นั่งได้ทัน
เนื่องจากติดต่อมาช้าเกินไป ไม่เป็นไรครับ คราวหน้า คราวหลังว่ากันใหม่
วันก่อนพ่อเห็นการท่องเที่ยวโปรโมท
พระรูปนักบุญอันนาที่วัดนักบุญอันนาท่าจีน ผ่านทางโทรทัศน์ว่า
เป็นพระรูปนักบุญอันนาที่ใหญ่ที่สุดในเอเซีย และบอกด้วยว่า พระรูปนี้หมุนรอบตัวได้
360 องศา เนื่องจากว่า แต่เดิมทีชาวประมงในย่านนี้มักจะแล่นเรือมาสวดภาวนาขอความคุ้มครองจากพระรูปนักบุญอันนา
ซึ่งหันหน้าออกไปยังแม่น้ำก่อนที่จะออกเดินทางออกไปในทะเลเพื่อจับปลา
แต่ในเวลาเดียวกันชาวบ้านที่อยู่บนฝั่งก็อยากให้พระรูปนักบุญอันนาหันหน้ามายังบนฝั่งด้วยเพื่อจะปกป้องคุ้มครองผู้ที่มีบ้านอาศัยอยู่บนฝั่ง
ทางวัดก็เลยจัดทำรูปนักบุญอันนาขนาดใหญ่ สูง 8 เมตร หมุนได้รอบตัว
เพื่อตอบสนองต่อความศรัทธาของชาวบ้านเสียเลย โฆษณากันขนาดนี้
อีกหน่อยคนทั่วประเทศคงต้องเดินทางมาเยือนกันมากมายเป็นแน่แท้
ก็หวังว่าผู้แสวงบุญทุกท่าน จะอิ่มเอมเปรมใจ และ อิ่มบุญกันถ้วนหน้านะครับ
คุณพ่อ สุพจน์
.....................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระเจ้าจึงต้องทรงแสดงพระองค์เองแก่เรา
มนุษย์สามารถรู้ได้ด้วยเหตุผลว่า มีพระเจ้า
แต่ไม่รู้ว่าจริงๆ แล้วพระเจ้าทรงเป็นอย่างไร เพราะมนุษย์มีขอบเขตจำกัด ดังนั้น
ความยิ่งใหญ่ซึ่งไม่มีขอบเขตจำกัดของพระเจ้า
จึงมิอาจเข้าไปอยู่ในความคิดของมนุษย์ได้ทั้งหมด
แต่กระนั้นเราก็สามารถพูดถึงเรื่องของพระเจ้าได้อยู่บ้าง
เพราะพระองค์ทรงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้มนุษย์ได้รู้จักพระองค์
จึงทรงเผยแสดงพระองค์เองกับมนุษย์
จริงๆ
แล้วพระเจ้าไม่จำเป็นต้องเผยแสดงพระองค์เองแก่เรา แต่พระองค์ก็ทรงกระทำด้วยความรัก
เช่นเดียวกันกับความรักประสามนุษย์
ที่เราจะรู้จักบางสิ่งบางอย่างเกี่ยวกับบุคคลที่เรารักได้
ก็ต่อเมื่อเขาเปิดหัวใจให้เรา ในลักษณะเดียวกัน
เราจึงมีความรู้บางประการในส่วนที่ลึกที่สุดของพระเจ้าได้
ก็ต่อเมื่อพระองค์ผู้ทรงล้ำลึกนี้ได้เปิดเผยพระองค์เองแก่เราด้วยความรัก
นับตั้งแต่เรื่องการสร้างโลกมา การเผยแสดงผ่านทางบรรดาประกาศก
จนสุดท้ายทรงเผยแสดงพระองค์เองอย่างมากที่สุดในพระบุตร พระเยซูคริสตเจ้านี่เอง
โดยทางพระเยซูคริสตเจ้า
พระเจ้าผู้ที่เราไม่อาจมองเห็นได้ จึงได้กลายเป็นพระเจ้าที่เรามองเห็นได้
พระองค์ทรงกลายเป็นมนุษย์เหมือนเรา ก็เพื่อทรงรับแบกภาระทั้งหมดของเรา
เต็มใจร่วมอยู่กับเราทั้งในความทุกข์ทรมาน และความตาย
เพื่อที่จะทรงเปิดประตูให้เราได้เข้าสู่ชีวิตใหม่
สิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงรักเรามากเพียงใด ดังนี้เอง โดยการฟังพระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งเปรียบดังพระวาจาสุดท้ายของพระเจ้า
มนุษย์ทุกสมัยจึงจะรู้ว่าพระเจ้าคือใคร
และสิ่งใดจำเป็นต่อความรอดพ้นของพวกเขา
ไม่อาจมีคริสตชนแท้คนใดละทิ้งการส่งต่อความเชื่อนี้ได้ “เราคือพระคริสตเจ้าสำหรับผู้อื่น”
หมายความว่า คริสตชนแท้ทุกคนย่อมต้องปรารถนาให้พระเจ้าได้พบกับผู้อื่นด้วย
เขาต้องบอกกับตนเองว่า องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงต้องการฉัน จึงให้ฉันได้รับศีลล้างบาป
และศีลกำลัง
ฉันจึงมีความรับผิดชอบในการช่วยผู้คนที่อยู่รอบข้างฉันให้ได้รู้จักกับพระองค์
และรู้จักความจริงที่สมบูรณ์ที่สุดนี้
“เราอาจไม่รู้ดีจนสามารถพูดเรื่องของพระเจ้าได้
แต่จะวิบัติแก่ผู้ที่นิ่งเงียบในเรื่องของพระองค์”
นักบุญ ออกัสติน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น