พี่น้องที่รัก
ดนตรีเป็นศิลปะที่งดงาม
สร้างความไพเราะรื่นรมย์ให้กับผู้ฟัง ดนตรีมีมนต์เสน่ห์ในตัวของมันเอง
เพราะเป็นสื่อที่สามารถสร้างอารมณ์ ความรู้สึกให้กับผู้ฟังได้เป็นอย่างดี
เรามนุษย์จึงใช้ดนตรีเป็นสื่อสร้างจินตนาการ ความสงบ ความเข้มแข็ง ความฮึกเหิม
หรือ ความอ่อนหวาน ความลึกลับ ความเคร่งขรึม รวมไปถึง ความศักดิ์สิทธิ์ ได้อีกด้วย
พิธีกรรมในคริสตศาสนาของเรามีดนตรีเป็นส่วนประกอบมาช้านานแล้ว
ดนตรีที่เราใช้ขับร้อง และ บรรเลงในพิธีกรรมมีชื่อเรียกเฉพาะว่า
“ดนตรีศักดิ์สิทธิ์” อย่างที่ภาษาอังกฤษใช้คำว่า “sacred music” หรือภาษาละตินใช้คำว่า “musica
sacra” เอกลักษณ์สำคัญของดนตรีศักดิ์สิทธิ์ที่ใช้บรรเลงหรือขับร้องในพิธีกรรม
ก็คือช่วยยกจิตใจของผู้ร่วมพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ขึ้นหาพระเจ้าได้ง่ายขึ้น
แต่เดิมดนตรีศักดิ์สิทธิ์ในพิธีมิสซาเป็นทำนองภาษาละตินล้วนๆ
เพราะมีแหล่งกำเนิดมาจากศูนย์กลางของพระศาสนจักรที่กรุงโรม
ต่อมาในการสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง
พระศาสนจักรหันมาให้ความสำคัญกับวัฒนธรรมท้องถิ่นมากขึ้น
จึงมีการเปิดโอกาสในแปลบทพิธีจากภาษาละตินมาเป็นภาษาท้องถิ่น
รวมไปถึงการแต่งบทเพลงประกอบพิธีกรรมเป็นภาษาท้องถิ่นอีกด้วย
นับตั้งแต่นั้นมาการร้องเพลงภาษาละตินในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ก็ค่อยๆลดบทบาทลง
เปิดทางให้กับ บทเพลงที่แต่งขึ้นมาใหม่เป็นภาษาท้องถิ่นแต่ละที่มากขึ้น
อย่างที่เราร้องเพลงไทยในพิธีบูชาขอบพระคุณในทุกวันนี้
จึงทำให้บทเพลงที่ใช้ประกอบในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์นั้น
มีมิติของวัฒนธรรมแต่ละท้องถิ่นเป็นกลิ่นอายเฉพาะเข้ามาผนวกเป็นเนื้อเดียวกันด้วย
อยากเรียนพี่น้องให้ทราบว่า
ในวันอาทิตย์ที่ 6 ตุลาคม มิสซารอบ 12.00 น. จะมีคณะนักดนตรีจากประเทศเยอรมันนี
ชื่อว่า International Mosel Valley Concert Band มาร่วมบรรเลงเพลงศักดิ์สิทธิ์
ในพิธีมิสซาที่วัดของเรา นักดนตรีคณะนี้มีจำนวนประมาณ 30-40 ท่าน
เขาเหล่านี้เป็นนักดนตรีสมัครเล่นที่มีถิ่นอาศัยอยู่แถบหุบเขาโมเซลในเขตแดนประเทศเยอรมันนีซึ่งอยู่เชื่อมต่อกับเมืองลักซ์แซมเบิร์ก
กลุ่มนักดนตรีนี้รวมตัวกันเพื่อเดินทางมาบรรเลงเพลงคอนเสิร์ตเพื่อเผยแพร่วัฒนธรรมประเพณีทางดนตรีของท้องถิ่นของเขาในประเทศไทย
และถือโอกาสมาเยี่ยมชมประเทศไทยของเราอีกด้วย
นอกเหนือไปจากการมาบรรเลงเพลงประกอบพิธีมิสซาที่วัดเซนต์หลุยส์ของเราแล้ว
เขายังมีโปรแกรมการแสดงดนตรีอีกหลายแห่งทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด จึงเรียนเชิญพี่น้องทุกท่านที่สนใจมาร่วมในพิธีมิสซาดังกล่าวครับ
คุณพ่อ สุพจน์
...................................................................................................
เราเชื่ออะไร
เราจะแสดงออกถึงความเชื่อ หรือตอบรับพระเจ้าได้อย่างไร
ทุกคนที่ปรารถนาจะตอบรับพระเจ้าโดยการเชื่อ
ต้องมีหัวใจพร้อมที่จะรับฟัง พระเจ้าทรงแสวงหาที่จะติดต่อกับเรามนุษย์ในหลายวิธี
ทุกครั้งที่มนุษย์พบปะกัน ทุกครั้งที่มีประสบการณ์ตื่นตาตื่นใจกับธรรมชาติ
ทุกความสุข ความทุกข์ และความท้าทายในทุกเหตุการณ์
ในสิ่งเหล่านี้ล้วนมีสารซ่อนเร้นจากพระเจ้ามาถึงเราเสมอ
พระองค์ตรัสกับเราชัดเจนมากขึ้นเมื่อพระองค์เสด็จมาหาเราในพระวาจาของพระองค์
หรือในเสียงมโนธรรมในตัวเรา ดังนั้น เราสามารถตอบรับพระองค์ได้ด้วยการเชื่อ
และไว้วางใจในพระองค์ พยายามเรียนรู้เพื่อจะเข้าใจพระองค์ให้ดีขึ้นเรื่อยๆ
และยอมรับน้ำพระทัยของพระองค์อย่างที่ไม่มีเงื่อนไขใดๆ
ผู้มีความเชื่อจะแสวงหาความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า
และพร้อมที่จะเชื่อทุกสิ่งที่พระองค์ทรงเปิดเผยแก่เขา เมื่อบุคคลเริ่มต้นมีความเชื่อ
บ่อยครั้งที่อาจเริ่มจากความรู้สึกหวั่นไหว หรือความไม่สบายใจ รู้สึกว่าโลก
และสรรพสิ่งต่างๆ ที่มองเห็นได้นี้ไม่ได้เป็นทุกอย่างของชีวิต
เขาเริ่มรู้สึกว่าได้สัมผัสกับความเร้นลับ และอยากจะติดตามที่มาของสิ่งเหล่านี้
แล้วเขาจะค่อยๆ ค้นพบการประทับอยู่ของพระเจ้า และค่อยๆ
มีความมั่นใจที่จะพูดถึงพระเจ้า และในที่สุด
ตัวเขาเองก็ได้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์อย่างอิสระ
ในพระวรสาร นักบุญยอห์นกล่าวว่า “ไม่มีใครเคยเห็นพระเจ้าเลย
แต่พระบุตรเพียงพระองค์เดียว ผู้สถิตอยู่ในพระอุระของพระบิดานั้นได้ทรงเปิดเผยให้เรารู้”
(ยน 1:18)
นี่คือเหตุผลที่เราต้องมีความเชื่อในพระเยซูเจ้า พระบุตรของพระเจ้า
หากเราต้องการทราบว่าพระเจ้าทรงปรารถนาสื่อสารสิ่งใดกับเรา ดังนั้น
ความเชื่อจึงหมายถึงการยอมรับองค์พระเยซูเจ้า
และวางจุดมุ่งหมายตลอดทั้งชีวิตไว้กับพระองค์
“เราเชื่ออะไรนั้นเป็นสิ่งสำคัญ
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่านั้นอีกคือ เราเชื่อใคร”
สมเด็จพระสันตะปาปา เบเนดิกต์ ที่ 16