พี่น้องที่รัก
คราวนี้พ่อขอนำเรื่องเล่าของชาวฮินดู
จากประเทศอินเดียมาเล่าสู่กันฟังนะครับ
เรื่องมีอยู่ว่า มีผู้ทรงศีลคนหนึ่งอาศัยอยู่ริมแม่น้ำแห่งหนึ่ง
รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เมื่อลูกศิษย์หลายคนมาเล่าให้ฟังว่า
มีเด็กหญิงชาวบ้านคนหนึ่งที่ดูแลฝูงแกะอยู่ฝูงหนึ่ง
ทุกๆวันเธอจะรีดนมแกะใส่โถใบใหญ่ แล้วก็แบกโถใส่นมนั้นเดินบนพื้นน้ำ
ข้ามแม่น้ำนั้นมายังอีกฝั่งหนึ่งเป็นประจำ
ผู้ทรงศีลผู้ศักดิ์สิทธิ์ผู้นั้นเกิดความฉงนสงสัยว่าเป็นไปได้จริงหรือ
เขาจึงให้คนไป
เรียกเด็กหญิงคนนั้นมาถามว่าเรื่องที่ผู้คนเขาเล่ากันนั้นเป็นความจริงหรือไม่?
เด็กหญิงคนนั้นตอบว่า “จริงสิ”
ผู้ทรงศีลถามต่อไปว่า “แล้วหนูคิดว่า
ฉันจะทำอย่างนั้นบ้างได้หรือไม่?”
“ได้สิ” เธอตอบ
“ขอเพียงแต่ท่านเปล่งพระนามของพระเจ้าตลอดเวลาอย่างที่ดิฉันทำ
แล้วท่านจะสามารถเดินบนน้ำข้ามฝั่งมาได้ปลอดภัยอย่างแน่นอน”
ผู้ทรงศีลผู้นั้น
ตัดสินใจจะลองทำตามคำแนะนำของเด็กหญิงคนนี้ดูสักครั้ง แล้วทั้งสองก็เริ่มที่จะเดินข้ามแม่น้ำนั้นด้วยกัน
โดยที่เด็กหญิงผู้นั้นเดินนำหน้า ส่วนผู้ทรงศีลเดินตามหลัง
เขาก้าวเท้าตามเด็กหญิงคนนั้นอย่างสม่ำเสมอ โดยเปล่งพระนามของพระเจ้าซ้ำไปซ้ำมา
แต่แล้วทันใด เขาก็เกิดความกังวลว่าชายเสื้อคลุมยาวสีเหลืองสวยงามของเขาจะเปียกน้ำ
เขาจึงก้มลงยกชายเสื้อคลุมยาวให้สูงขึ้นอีก เพื่อให้พ้นน้ำ ณ เวลานั้นเอง
เท้าของเขาเริ่มที่จะจมลงไปในน้ำลึกขึ้นลึกขึ้นทุกๆก้าวที่เขาก้าวไป
เด็กหญิงคนนั้นหันกลับมามอง เห็นปัญหาที่เกิดขึ้นกับผู้ทรงศีลผู้นั้น
เธอก็อดที่จะหัวเราะออกมาด้วยความใสซื่อบริสุทธิ์ไม่ได้
เธอจึงหันไปกล่าวกับผู้ทรงศีลนั้นว่า
“ไม่ใช่อย่างนั้นค่ะ ท่านอาจารย์
ไม่ใช่แบบนั้น! ปากของท่านเปล่งพระนามพระเจ้าก็จริงอยู่
แต่ใจของท่านยังมาเป็นห่วงถือชายเสื้อคลุมไว้ในมืออีก ...
นี่ไม่ใช่วิธีการข้ามแม่น้ำที่ถูกต้อง”
ในที่สุดแล้วผู้ทรงศีลผู้นั้นก็เดินข้ามแม่น้ำสายนั้นไม่สำเร็จ
คำพูดของเด็กหญิงคนนั้นมีความหมายว่า
การสวดภาวนาแบบเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งนั้น ไม่ใช่การภาวนาที่แท้จริง
เพราะการภาวนานั้นคือความเชื่อ ความเชื่อคือความมั่นใจ
ความมั่นใจคือเชื่อเต็มหัวใจ เพราะถ้าไม่เป็นเช่นนั้นก็จะไม่มีความมั่นใจใดๆเลย
ดังนั้นถ้าท่านมีความมั่นใจ ก็จงอย่ากังวลเรื่องชายเสื้อ
ให้ละมือจากชายเสื้อนั้นเสีย
และมุ่งมั่นก้าวเดินไปในชีวิตอย่างเข้มแข็งในพระนามของพระเจ้า
วันนี้พระเยซูทรงสอนเราให้ภาวนา
ด้วยบทข้าแต่พระบิดา ขอให้เราภาวนาด้วยความเชื่อที่เต็มเปี่ยมด้วยความมั่นใจเสมอ
คุณพ่อ สุพจน์
.......................................................................................................................
เราเชื่ออะไร
ทำไมพระศาสนจักรจึงเฉลิมฉลองพิธีกรรมบ่อยๆ
พระเยซูเจ้าทรงสอนให้บรรดาศิษย์ของพระองค์สวดภาวนา
และเรียกพวกเขามารวมกันในห้องชั้นบนเพื่อเฉลิมฉลองการมอบพระองค์เองในการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
คำสั่งที่เราทุกคนได้รับจากพระเยซูเจ้าก็คือ
“จงทำการนี้ เพื่อระลึกถึงเราเถิด” (1คร.11: 24)
มนุษย์ต้องการอากาศหายใจ
เพื่อมีชีวิต เช่นเดียวกัน พระศาสนจักร
ก็มีชีวิตและลมหายใจด้วยการเฉลิมฉลองพิธีกรรมดังกล่าว
พระเจ้าเองทรงเป็นผู้มอบลมหายใจแก่พระศาสนจักรทุกวัน
และทรงบำรุงเลี้ยงพระศาสนจักรด้วยพระพรต่างๆ โดยทางพระวาจาของพระองค์
และด้วยศีลศักดิ์สิทธิ์ ภาพลักษณ์อีกประการหนึ่งก็คือ
พิธีกรรมเป็นเหมือนการนัดพบรัก ซึ่งพระเจ้าทรงเขียนไว้ในปฏิทินของเรา
ผู้ใดที่มีประสบการณ์ความรักของพระเจ้าแล้ว ก็จะไปวัดด้วยความยินดี
และตื่นเต้นกับความรู้สึกของการได้มาพบกับพระเจ้าที่ทรงประทับอยู่ภายใต้เครื่องหมายศักดิ์สิทธิ์นี้
ระหว่างที่พระเยซูเจ้าทรงมีชีวิตอยู่นั้น
ประชาชนจำนวนมากต่างพากันไปหาพระองค์ เพราะพวกเขาแสวงหาการรักษาจากพระองค์
ปัจจุบัน เรายังพบพระองค์ได้ เพราะพระองค์ทรงดำรงชีวิตอยู่ในพระศาสนจักรของพระองค์
และทรงให้ความมั่นใจแก่เราว่า พระองค์ประทับอยู่ในสถานภาพสองประการ
คือในการช่วยเหลือผู้ยากจน และในศีลมหาสนิท ณ
ที่ซึ่งเราตรงดิ่งสู่อ้อมอกของพระองค์ และเมื่อเรายอมให้พระองค์อยู่ใกล้ชิดเรา
พระองค์จะทรงสอนเรา เลี้ยงดูเรา เปลี่ยนแปลงเรา รักษาเรา
และกลายเป็นหนึ่งเดียวกับเราในการถวายบูชามิสซา
“ท่านไม่รู้หรือว่า
คริสตชนดำเนินชีวิตเพื่อศีลมหาสนิท และศีลมหาสนิทมีไว้เพื่อคริสตชน”
(Martyr Saturninus)