สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
ข้อความบทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโล ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง
ในวันนี้ช่วยทำให้เราได้เข้าใจถึงความหลากหลายของพระพรของพระจิต
ที่มีมากมายนานัปประการ พูดง่ายๆว่าแต่ละคนต่างก็ได้รับพระพรพิเศษแตกต่างกันออกไป
พระจิตเจ้าทรงประทานพระพรของพระองค์ให้กับแต่ละคนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย
ดังนั้นเราแต่ละคนต้องหันมาพิจารณาหาพระพรของพระจิตเจ้าที่ทรงประทานให้กับเราให้พบ
ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หันมามองดูว่าเรามีความถนัดในสิ่งใดบ้าง
บางคนมีความถนัดในการสอน บางคนมีความถนัดในการพูด
บางคนมีความถนัดในการเล่นดนตรีชนิดต่างๆ บางคนมีความถนัดในการฟัง
บางคนมีความถนัดในการปลอบประโลมใจผู้อื่น บางคนมีความถนัดในการวาดภาพ
บางคนมีความถนัดในการถ่ายภาพ บางคนมีความถนัดในการร้องเพลง ฯลฯ
หากเรานำความถนัดของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกันในกลุ่มของเรา
เราจะพบว่าความถนัดต่างๆนี้ต่างก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้น
และถ้าเราสามารถนำความถนัดต่างๆเหล่านี้มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน
ก็จะทำให้เกิดความเข้มแข็งในทุกๆด้านของสังคมนั้นๆ
ข้อคิดจากบทอ่านที่สองในวันอาทิตย์นี้จึงเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างยิ่ง
สุภาษิตไทยกล่าวว่า "ความสามัคคีคือพลัง"
ความหมายของคำสุภาษิตดังกล่าว
หมายความถึงการนำเอาความสามารถและความถนัดของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกันทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่
พ่อมีความคิดว่า ถ้าวัดของเราสามารถนำความสามารถ และ
ความถนัดของหมู่มวลพี่น้องออกมารวมกันเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวัดของเรา
เราทุกคนก็จะพบว่า
พลังของหมู่มวลสัตบุรุษของเรานั้นมีมากมายมหาศาลและก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆได้มากมายสำหรับทุกคน
เพียงแต่ว่าถ้าเราแต่ละคนจะเปิดตัวเอง และ ให้เวลากับกันและกันมากขึ้น
พลังที่ว่านี้ก็จะปรากฏเด่นชัด และ เป็นพลังที่สร้างสรร
ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มากมาย พ่อคิดของพ่ออย่างนี้แหละ
เพราะหวังจะให้สังคมของพี่น้องชาววัดเซนต์หลุยส์ของเรานั้นมีความสนิทสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น
เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันมากขึ้น
แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นอย่างที่เราคาดไม่ถึงครับ
พ่อสุพจน์
......................................................................................................................................................
สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
ในปีแห่งความเชื่อที่พระศาสนจักรมีความต้องการให้เราได้มาทบทวนบทบาทของตัวเราเองมากขึ้น
ในการเป็นประจักษ์พยาน การประกาศพระวรสาร
และการออกไปสู่ชุมชนของเราที่ขยายกว้างออกไป ไม่ใช่แค่วงคาทอลิกของเราเท่านั้น
แต่เป็นคนทุกชนชั้น ทุกศาสนา กลุ่มคนที่ต้องทบทวนมากที่สุด
พ่อคิดว่าต้องเป็นพระสงฆ์เองนี่แหละ เพราะพวกเราอยู่แต่กับคริสตชนคาทอลิกส่วนใหญ่
พบเจอกันมากในวันอาทิตย์เท่านั้น แต่ก็มีงานศพงานแต่งงานที่จะได้มีโอกาสพูดคุย
เทศน์สอนในวงคนต่างศาสนาบ้าง
พื้นฐานความคิดของการที่ออกไปในชุมชน ไปเทศน์สอน
เยี่ยมเยียนสัตบุรุษนั้น คิดเพื่อต้องการนำพระเจ้าไปมอบให้กับคนในชุมชน
และพ่อก็เทศน์สอนกับพี่น้องเช่นนั้นจริงๆ
แต่เมื่อไปแล้วพ่อพบว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายให้แต่เพียงอย่างเดียว
แต่พระพรของพระเจ้ากลับหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อได้ออกจากตนเองไปหาผู้อื่น
กิจกรรมวิถีชุมชนวัดหรือ BEC ที่ซอยประจักษ์สิน ได้เริ่มต้นกันมาจะครบ 1 ขวบปีแล้ว
เมื่อวันอังคารนี้พ่อก็ไปร่วมชุมนุมที่นั่น และพบว่าได้รับมากกว่าได้ให้จริงๆ
ครั้งนี้มีมาเซอร์จากโรงพยาบาลไปด้วย
และเราก็แบ่งปันเรื่องการสร้างชุมชนเครือข่ายให้เข้มแข็ง มีเรื่องที่เราคิดไตร่ตรองและแบ่งปันกันดังนี้
พี่น้องได้อ่านแล้วคิดตามไปด้วยนะครับ
ปัญหาของชุมชนที่อ่อนแอ
สถาบันครอบครัวที่ไม่เข้มแข็งคืออะไร? สาเหตุมาจากความเหินห่างไม่รู้จักกัน
ไม่มีใครสนใจใคร ต่างมองแต่ประโยชน์ของตัวเอง และการไม่สนใจเรื่องวัดวา มาฟังมิสซา
ฟังเทศน์ฟังธรรม..... ชุมชนของเราเป็นเช่นนี้ไหม???
ทางกลับกัน ครอบครัว ชุมชนจะน่าอยู่
หมู่บ้านจะน่าชื่นชมได้อย่างไร? สาเหตุมาจากมีคนพบเห็นปัญหาและอยากแก้ไข
มีพระสงฆ์เจ้าอาวาสที่เอาใจใส่ออกเยี่ยมเยียนบ้านคริสตชนเพื่อกระตุ้นความร่วมมือกัน
วัฒนธรรมไทยเราให้ความสำคัญกับบทบาทของเสื้อขาวของพระสงฆ์นักบวชจริงๆ
และนี่คือประเด็นหนึ่งที่พ่อได้รับ แม้ร่ำเรียนเรื่องนี้จากแสงธรรมมาแล้ว
แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันจากปากพี่น้องเองว่า
หากพระสงฆ์ออกเยี่ยมอย่างไม่ย่อท้อ มีความหวังดีต่อชุมชน
บุคคลในหมู่บ้านเมื่อเห็นจะเกรงใจและมีที่รวมจิตใจเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้
เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาอะไรไม่ว่า ก็สามารถจะหาทางออกได้เสมอ......
เห็นด้วยไหมครับ???
เบื้องหลังจากข้อไตร่ตรองมาจากพระวาจาพระเจ้าจาก (1คร 12:11-17) นั่นคือ
เราแต่ละคนมีพระพรพิเศษต่างกันอันเป็นผลงานของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน
พ่อจึงอยากจะบอกกับพี่น้องว่า พระพรเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตนเอง
เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น
ซึ่งสักวันหนึ่งพระเจ้าจะริบคืนไปหากเราไม่ใช้เพื่อสังคมเพื่อนพี่น้องของเรา
หรือแม้แต่คนที่ไม่อยากจะพึ่งพาใคร ไม่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเลยก็เช่นกัน
วันที่เขาจากโลกนี้ไปจะเป็นวันที่น่าเวทนามากที่สุด เพราะปราศจากคนเหลียวแลเขา
พี่น้องครับ นักบุญเปาโลบอกเราว่า
“ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน...
ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตาหรือเป็นหูแล้ว... ร่างกายนั้นขาดความสมบูรณ์เป็นแน่
วิถีชุมชนวัดเป็นเครื่องมือที่พระศาสนจักรไทยเราปรารถนาให้ใช้เพื่อฟื้นฟูชุมชนคริสตชน
โดยเฉพาะในโอกาสปีแห่งความเชื่อนี้
และหากพี่น้องกลุ่มใดที่พอจะรวมกันได้บอกกับคุณพ่อที่วัดได้นะครับ
พ่อยินดีที่จะไปอยู่ท่ามกลางชุมชนของพี่น้อง เพื่อให้ชุมชนใหญ่วัดเซนต์หลุยส์ของเราเข้มแข็ง
คุณพ่อปลัดองค์เล็ก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น