วันศุกร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 27 มกราคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องทุกท่าน
เด็กหนุ่มชาวอินเดียนแดง มีธรรมเนียมในการออกไปฝึกความกล้าหาญด้วยการเดินทางไกลไปยังที่เงียบสงัดตามลำพังเพื่อเตรียมตัวเติบโตสู่การเป็นผู้ใหญ่  หนุ่มน้อยอินเดียนแดงคนหนึ่งตัดสินใจที่จะเข้าสู่บททดสอบนี้ด้วยการเดินทางไปยังยอดเขาสูง เขาเอาผ้าห่มผืนหนึ่งคลุมกายแล้วออกเริ่มต้นปีนป่ายไปสู่ยอดเขา เมื่อเขาไปถึงยอดเขาสูงแห่งนั้น เขายืดกายเหยียดตรงบนหน้าผาสูงชัน หัวใจของเขาพองโตด้วยความภาคภูมิใจ  แล้วเขาก็ได้ยินเสียงกรอบแกรบที่เท้าของเขา เขาเลยก้มลงมามองเห็นงูหางกระดิ่งตัวหนึ่งที่เลื้อยอยู่ ก่อนที่ชายหนุ่มผู้นี้จะเดินหลีกไป เจ้างูตัวนั้นก็พูดกับเขาว่า "ฉันหนาวมาก และ กำลังจะอดอาหารตายอยู่ที่นี่แล้ว ช่วยสงเคราะห์ฉันหน่อยเถิด ช่วยเอาตัวฉันไว้ในเสื้อของคุณ และพาฉันลงไปยังหุบเขาข้างล่างด้วยกันกับคุณ"
            “ไม่มีทาง" ชายหนุ่มผู้นั้นตอบ "มีคนเตือนฉันแล้ว เกี่ยวกับเรื่องงูหางกระดิ่งว่า ถ้าฉันจับตัวมัน มันจะกัด และ พิษของมันจะทำให้ฉันถึงแก่ความตาย
            “ไม่จริง!” เจ้างูตอบ "ฉันจะไม่ทำอย่างนั้นกับคุณ ถ้าคุณยอมช่วยฉัน ฉันจะไม่ทำร้ายคุณ"
            หนุ่มน้อยผู้นั้นลังเลชั่วประเดี๋ยวหนึ่ง แต่เจ้างูตัวนั้นพยายามจูงใจหนุ่มผู้นี้ด้วยการทำให้ตัวของมันมีสีสวยสด ที่สุดหนุ่มน้อยผู้นั้นก็อุ้มงูขึ้นมา แล้วเอามาให้ไออุ่นภายใต้เสื้อคลุมของเขา แล้วปีนกลับลงมายังหุบเขาเบื้องล่าง เมื่อมาถึงที่ราบในหุบเขา เขานำงูตัวนั้นออกมาจากเสื้อคลุมแล้วค่อยบรรจงวางงูลงบนพื้นหญ้า ทันใดนั้นเจ้างูตัวนั้นก็ม้วนขดตัว แล้วพุ่งมาฉกกัดที่ขาของหนุ่มน้อยน่าสงสารผู้นั้นอย่างรวดเร็ว "แต่เจ้าสัญญากับฉันไว้แล้วนี่" หนุ่มน้อยผู้นั้นร้องโอดครวญ
            คุณก็รู้ชัดเจนอยู่ก่อนแล้วว่าฉันมีสันดานยังไง ตั้งแต่ตอนคุณอุ้มฉันมา" เจ้างูตัวนั้นตอบ แล้วมันก็เลื้อยจากไปอย่างรวดเร็ว
            ทุกวันนี้ ชาวอินเดียนแดง ยังคงเล่าขานเรื่องนี้ให้กับเหล่าเยาวชน ที่ถูกล่อลวงให้ทดลองยาเสพติด ด้วยการกล่าวซ้ำถ้อยคำที่เจ้างูหางกระดิ่งตัวนั้นพูดเอาไว้ว่า "คุณก็รู้ชัดเจนอยู่ก่อนแล้วว่า ฉันมีสันดานยังไง ตั้งแต่ตอนที่คุณอุ้มฉันขึ้นมา"
            พ่ออ่านเรื่องเล่าเรื่องนี้แล้วทำให้ได้ข้อคิดเกี่ยวกับ การประจญล่อลวงของปีศาจ และ บาปหลายประการที่ยั่วยวนมนุษย์จำนวนมาก ด้วยเปลือกนอกที่มีสีสันสดใส แต่ภายในเต็มไปด้วยพิษร้าย ไม่ต่างกับยาเสพติดประเภทร้ายแรง ที่เกาะกุมทำร้ายชีวิตของผู้คนเป็นจำนวนมาก

พ่อสุพจน์
...........................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
                ต่อแต่นี้ไปเราจะได้รับฟังพระวาจาของพระเจ้าผ่านทางพระวรสารของนักบุญลูกา ซึ่งลักษณะที่เด่นชัดของลูกาที่เราสังเกตเห็นได้คือ ท่านเน้นเรื่องการภาวนา ความเมตตาของพระเจ้า การเอาใจใส่คนยากจน การเทศน์สอนในระดับประชาชน และการเลี้ยงฉลองที่โต๊ะอาหาร ซึ่งทำให้ท่านได้รับการขนานนามว่าเป็นคาทอลิกคนแรก ผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นคริสตชนจึงสามารถเข้าใจในคำสอนของท่านได้ง่าย
            คำสอนเรื่องการภาวนา เช่นว่า บทเพลงสรรเสริญของพระนางมารีย์ บทเพลงสรรเสริญของเศคาริยาห์ บทเพลงของสิเมโอน ที่พระศาสนจักรนำมาใช้ในบทภาวนาประจำวัน มีบทข้าแต่พระบิดา บทวันทามารีย์ มีธรรมล้ำลึกภาคชื่นชมยินดีห้าข้อสำหรับใช้รำพึงระหว่างสวดสายประคำ และมีบทภาวนาสั้นๆ อีกมากมาย เช่น บทภาวนาของคนเก็บภาษีในพระวิหาร และของโจรกลับใจบนเขากัลป์วารีโอ
            คำสอนเรื่องพระเมตตาของพระเจ้า เช่นว่า เรื่องหญิงที่กลับใจและล้างพระบาทของพระเยซูเจ้าด้วยน้ำตาของนาง เรื่องของบุตรล้างผลาญ เรื่องโจรกลับใจ เรื่องคนเก็บภาษีผู้ถ่อมตน
            คำสอนเรื่องการเอาใจใส่ต่อคนยากจนและคนนอกสังคม เช่นว่า เมื่อพระเยซูเจ้าทรงเริ่มต้นพันธกิจของพระองค์ พระองค์ทรงยืนขึ้นอ่านหนังสือพระคัมภีร์ที่กล่าวว่า นี่คือปีแห่งความโปรดปรานจากพระเจ้า เพราะพระองค์ทรงนำข่าวดีมาประกาศแก่คนยากจน ประกาศการปลดปล่อยแก่ผู้ถูกจองจำ คืนสายตาให้แก่คนตาบอด และปลดปล่อยผู้ถูกกดขี่ให้เป็นอิสระ พระเอกในเรื่องนี้คือ คนโรคเรื้อน คนเลี้ยงแกะ คนเก็บภาษี คนบาปสาธารณะ ชาวสะมาเรีย และคนต่างชาติ ทุกคนเป็นบุคคลที่อยู่นอกระบบสังคม ลูกาเน้นบทบาทสำคัญที่มอบให้แก่สตรี โดยเฉพาะพระนางมารีย์ นางเอลีซาเบท มาร์ธา และมารีย์ กลุ่มสตรีที่ช่วยเหลือพระเยซูเจ้าและอัครสาวก และกลุ่มสตรีที่แสดงความสงสารพระองค์ระหว่างทางไปสู่ที่ประหารบนเขากัลวารีโอ
                สิ่งที่เราสังเกตเห็นได้คือ ท่านเริ่มต้นอารัมภบทในพระวรสารด้วยคำกล่าวทักทายว่า เธโอฟีลัส ซึ่งแปลว่า “ผู้ที่รักพระเจ้า” ซึ่งเป็นชื่อที่ไม่ได้เจาะจงอาจจะหมายถึงใครก็ได้ ที่เริ่มแสวงหาพระเจ้าด้วยความรักเพราะต้องการรู้จักพระเจ้าให้มากยิ่งขึ้น ดังนั้นหากเรามีความปรารถนาที่จะรู้จักพระเจ้าให้มากขึ้นแล้ว ขอให้เราได้ฟังและรำพึงพระวาจาของพระเจ้าผ่านทางพระวารสารของนักบุญลูกาที่เราได้รับฟังดีๆ และเราจะพบกับความรักของพระเจ้าและรู้จักพระองค์มากขึ้นอย่างแน่นอน
คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ข้อความบทอ่านจากจดหมายนักบุญเปาโล ถึงชาวโครินธ์ ฉบับที่หนึ่ง ในวันนี้ช่วยทำให้เราได้เข้าใจถึงความหลากหลายของพระพรของพระจิต ที่มีมากมายนานัปประการ พูดง่ายๆว่าแต่ละคนต่างก็ได้รับพระพรพิเศษแตกต่างกันออกไป พระจิตเจ้าทรงประทานพระพรของพระองค์ให้กับแต่ละคนตามที่พระองค์ทรงพอพระทัย ดังนั้นเราแต่ละคนต้องหันมาพิจารณาหาพระพรของพระจิตเจ้าที่ทรงประทานให้กับเราให้พบ ความจริงก็ไม่ใช่เรื่องยาก หันมามองดูว่าเรามีความถนัดในสิ่งใดบ้าง บางคนมีความถนัดในการสอน บางคนมีความถนัดในการพูด บางคนมีความถนัดในการเล่นดนตรีชนิดต่างๆ บางคนมีความถนัดในการฟัง บางคนมีความถนัดในการปลอบประโลมใจผู้อื่น บางคนมีความถนัดในการวาดภาพ บางคนมีความถนัดในการถ่ายภาพ บางคนมีความถนัดในการร้องเพลง ฯลฯ หากเรานำความถนัดของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกันในกลุ่มของเรา เราจะพบว่าความถนัดต่างๆนี้ต่างก็เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมทั้งสิ้น และถ้าเราสามารถนำความถนัดต่างๆเหล่านี้มาหลอมรวมเข้าด้วยกัน ก็จะทำให้เกิดความเข้มแข็งในทุกๆด้านของสังคมนั้นๆ
            ข้อคิดจากบทอ่านที่สองในวันอาทิตย์นี้จึงเป็นประโยชน์ต่อเราอย่างยิ่ง สุภาษิตไทยกล่าวว่า "ความสามัคคีคือพลัง" ความหมายของคำสุภาษิตดังกล่าว หมายความถึงการนำเอาความสามารถและความถนัดของแต่ละคนมารวมเข้าด้วยกันทำให้เกิดพลังที่ยิ่งใหญ่
            พ่อมีความคิดว่า ถ้าวัดของเราสามารถนำความสามารถ และ ความถนัดของหมู่มวลพี่น้องออกมารวมกันเพื่อทำให้เกิดประโยชน์ต่อสังคมในวัดของเรา เราทุกคนก็จะพบว่า พลังของหมู่มวลสัตบุรุษของเรานั้นมีมากมายมหาศาลและก่อให้เกิดประโยชน์ในด้านต่างๆได้มากมายสำหรับทุกคน เพียงแต่ว่าถ้าเราแต่ละคนจะเปิดตัวเอง และ ให้เวลากับกันและกันมากขึ้น พลังที่ว่านี้ก็จะปรากฏเด่นชัด และ เป็นพลังที่สร้างสรร ก่อให้เกิดคุณประโยชน์มากมาย พ่อคิดของพ่ออย่างนี้แหละ เพราะหวังจะให้สังคมของพี่น้องชาววัดเซนต์หลุยส์ของเรานั้นมีความสนิทสัมพันธ์ใกล้ชิดกันมากขึ้น เป็นหนึ่งเดียวกันมากขึ้น ช่วยเหลือกันมากขึ้น แล้วสิ่งดีๆจะเกิดขึ้นอย่างที่เราคาดไม่ถึงครับ
พ่อสุพจน์
......................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
            ในปีแห่งความเชื่อที่พระศาสนจักรมีความต้องการให้เราได้มาทบทวนบทบาทของตัวเราเองมากขึ้น ในการเป็นประจักษ์พยาน การประกาศพระวรสาร และการออกไปสู่ชุมชนของเราที่ขยายกว้างออกไป ไม่ใช่แค่วงคาทอลิกของเราเท่านั้น แต่เป็นคนทุกชนชั้น ทุกศาสนา กลุ่มคนที่ต้องทบทวนมากที่สุด พ่อคิดว่าต้องเป็นพระสงฆ์เองนี่แหละ เพราะพวกเราอยู่แต่กับคริสตชนคาทอลิกส่วนใหญ่ พบเจอกันมากในวันอาทิตย์เท่านั้น แต่ก็มีงานศพงานแต่งงานที่จะได้มีโอกาสพูดคุย เทศน์สอนในวงคนต่างศาสนาบ้าง
            พื้นฐานความคิดของการที่ออกไปในชุมชน ไปเทศน์สอน เยี่ยมเยียนสัตบุรุษนั้น คิดเพื่อต้องการนำพระเจ้าไปมอบให้กับคนในชุมชน และพ่อก็เทศน์สอนกับพี่น้องเช่นนั้นจริงๆ แต่เมื่อไปแล้วพ่อพบว่าเราไม่ได้เป็นฝ่ายให้แต่เพียงอย่างเดียว แต่พระพรของพระเจ้ากลับหลั่งไหลมาอย่างไม่ขาดสาย เมื่อได้ออกจากตนเองไปหาผู้อื่น กิจกรรมวิถีชุมชนวัดหรือ BEC ที่ซอยประจักษ์สิน ได้เริ่มต้นกันมาจะครบ 1 ขวบปีแล้ว เมื่อวันอังคารนี้พ่อก็ไปร่วมชุมนุมที่นั่น และพบว่าได้รับมากกว่าได้ให้จริงๆ ครั้งนี้มีมาเซอร์จากโรงพยาบาลไปด้วย และเราก็แบ่งปันเรื่องการสร้างชุมชนเครือข่ายให้เข้มแข็ง มีเรื่องที่เราคิดไตร่ตรองและแบ่งปันกันดังนี้ พี่น้องได้อ่านแล้วคิดตามไปด้วยนะครับ
            ปัญหาของชุมชนที่อ่อนแอ สถาบันครอบครัวที่ไม่เข้มแข็งคืออะไร? สาเหตุมาจากความเหินห่างไม่รู้จักกัน ไม่มีใครสนใจใคร ต่างมองแต่ประโยชน์ของตัวเอง และการไม่สนใจเรื่องวัดวา มาฟังมิสซา ฟังเทศน์ฟังธรรม..... ชุมชนของเราเป็นเช่นนี้ไหม???
            ทางกลับกัน ครอบครัว ชุมชนจะน่าอยู่ หมู่บ้านจะน่าชื่นชมได้อย่างไร? สาเหตุมาจากมีคนพบเห็นปัญหาและอยากแก้ไข มีพระสงฆ์เจ้าอาวาสที่เอาใจใส่ออกเยี่ยมเยียนบ้านคริสตชนเพื่อกระตุ้นความร่วมมือกัน วัฒนธรรมไทยเราให้ความสำคัญกับบทบาทของเสื้อขาวของพระสงฆ์นักบวชจริงๆ และนี่คือประเด็นหนึ่งที่พ่อได้รับ แม้ร่ำเรียนเรื่องนี้จากแสงธรรมมาแล้ว แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ได้รับการยืนยันจากปากพี่น้องเองว่า หากพระสงฆ์ออกเยี่ยมอย่างไม่ย่อท้อ มีความหวังดีต่อชุมชน บุคคลในหมู่บ้านเมื่อเห็นจะเกรงใจและมีที่รวมจิตใจเขาให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ปัญหาอะไรไม่ว่า ก็สามารถจะหาทางออกได้เสมอ...... เห็นด้วยไหมครับ???
            เบื้องหลังจากข้อไตร่ตรองมาจากพระวาจาพระเจ้าจาก (1คร 12:11-17)  นั่นคือ เราแต่ละคนมีพระพรพิเศษต่างกันอันเป็นผลงานของพระจิตเจ้าองค์เดียวกัน พ่อจึงอยากจะบอกกับพี่น้องว่า พระพรเหล่านี้ไม่ได้มีไว้เพื่อตนเอง เพื่อหาประโยชน์ใส่ตัวเท่านั้น ซึ่งสักวันหนึ่งพระเจ้าจะริบคืนไปหากเราไม่ใช้เพื่อสังคมเพื่อนพี่น้องของเรา หรือแม้แต่คนที่ไม่อยากจะพึ่งพาใคร ไม่มีความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้านเลยก็เช่นกัน วันที่เขาจากโลกนี้ไปจะเป็นวันที่น่าเวทนามากที่สุด เพราะปราศจากคนเหลียวแลเขา
            พี่น้องครับ นักบุญเปาโลบอกเราว่า “ร่างกายไม่ได้ประกอบด้วยอวัยวะส่วนเดียว แต่มีอวัยวะหลายส่วน... ถ้าร่างกายทั้งหมดเป็นดวงตาหรือเป็นหูแล้ว... ร่างกายนั้นขาดความสมบูรณ์เป็นแน่
            วิถีชุมชนวัดเป็นเครื่องมือที่พระศาสนจักรไทยเราปรารถนาให้ใช้เพื่อฟื้นฟูชุมชนคริสตชน โดยเฉพาะในโอกาสปีแห่งความเชื่อนี้ และหากพี่น้องกลุ่มใดที่พอจะรวมกันได้บอกกับคุณพ่อที่วัดได้นะครับ พ่อยินดีที่จะไปอยู่ท่ามกลางชุมชนของพี่น้อง เพื่อให้ชุมชนใหญ่วัดเซนต์หลุยส์ของเราเข้มแข็ง
                                                                                    คุณพ่อปลัดองค์เล็ก

วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 13 มกราคม 2013


สวัสดีครับพี่น้อง
            ตลอดอาทิตย์ที่ผ่านมา พวกเราพระสงฆ์สังกัดอัครสังฆมณฑลกรุงเทพฯ ได้ไปใช้เวลาหลายวันในการเข้าเงียบเพื่อฟื้นฟูจิตใจประจำปี  ซึ่งจะมีระยะเวลายาวนานกว่าการเข้าเงียบประจำเดือนสักหน่อย ทั้งนี้เพื่อเป็นโอกาสให้คุณพ่อที่ทำงานตามที่ได้รับมอบหมายจากผู้ใหญ่สูงสุดของสังฆมณฑล ซึ่งได้แก่พระสังฆราช จะได้ใช้เวลามากขึ้นเป็นพิเศษพินิจพิจารณาเรื่องราวต่างๆตามที่ผู้เทศน์จะนำมากล่าวเชื้อเชิญให้เราพระสงฆ์ได้นำไปขบคิดหาข้อปฏิบัติเพื่อก้าวหน้าไปบนเส้นทางการเป็นพระสงฆ์เยี่ยงพระคริสตเจ้ามากยิ่งขึ้นในภารกิจที่คุณพ่อแต่ละองค์ได้รับมอบหมาย  การเข้าเงียบคราวนี้พวกเราพระสงฆ์มีโอกาสได้ฟังคำเทศน์ของคุณพ่อไพบูลย์ อุดมเดช พระสงฆ์สังกัดคณะพระมหาไถ่ ซึ่งท่านก็เป็นเจ้าอาวาสวัดมหาไถ่อีกด้วย พ่อถือโอกาสนี้นำข้อคิดที่ได้จากบทเทศน์ในวันอังคารที่ 8 มกราคม มาแบ่งปันกับพี่น้องครับ มีประเด็นหนึ่งที่พ่อคิดว่าน่าจะนำมาตีความเพิ่มเติมจากประเด็นที่คุณพ่อผู้เทศน์ได้นำมาแบ่งปันกับเราคือเรื่อง รางหญ้า คำๆนี้มีความหมายอย่างไรบ้าง คำว่ารางหญ้าสำหรับเรามีความหมายมากกว่าความหมายตามรากศัพท์ เพราะรางหญ้าในที่นี้ ไม่ใช่เป็นแต่เพียง รางหรือ ภาชนะที่ใช้บรรจุหญ้าที่เป็นอาหารของสัตว์เลี้ยงเท่านั้น  รางหญ้าในที่นี้คือ สถานที่ที่ได้รับเกียรติให้วางองค์พระกุมารเยซูที่พึ่งจะบังเกิดจากท้องของแม่คือพระนางมารีย์ การมาบังเกิดในรางหญ้า เป็นการบังเกิดที่เรียบง่าย ยากจน เป็นสัญลักษณ์ของการไม่ยึดติดกับข้าวของฝ่ายโลกใดๆ ไม่ว่าจะเป็นเกียรติยศ คำสรรเสริญเยินยอ ทรัพย์สมบัติต่างๆ ซึ่งในใจความนี้จะช่วยให้แนวทางแห่งการดำเนินชีวิตที่เหมาะสมยิ่งขึ้นในการดำรงชีวิตสำหรับผู้ที่อุทิศตนเพื่อพระอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ว่าจะเป็นในฐานะพระสงฆ์ นักบวช หรือแม้แต่ฆราวาสเอง ใช่ไหมครับ
            การฉลองคริสต์มาสผ่านไปอย่างรวดเร็ว พ่อมีความรู้สึกว่าไม่อยากให้พระกุมารโตเลย เพราะเวลาที่เราเห็นพระกุมารนอนอยู่ในรางหญ้า ช่างเป็นภาพที่สวยงามน่าประทับใจ อาจเป็นเพราะว่าภาพของเด็กทารกคือความบริสุทธิ์ผุดผ่อง น่ารักน่าประทับใจ แต่นั่นก็สะท้อนให้เราเห็นว่า ในความเป็นจริงแล้วเด็กคือผ้าขาวที่พร้อมจะน้อมรับการหล่อหลอมหรือการวาดภาพที่งดงามไว้ในจิตใจของเด็กๆทุกคน เพื่อเขาจะมีรากฐานที่สวยงามของชีวิตที่พร้อมจะเรียนรู้ของเขา และเติบโตอย่างมีคุณค่า ความจริงประการนี้จึงเป็นสิ่งที่เราไม่ควรมองข้าม เราต้องไม่ละเลยในการจัดสภาพแวดล้อมต่างๆที่ดีที่เหมาะสมให้กับเด็กๆทุกคน เพื่อเขาจะได้เจริญเติบโตอย่างมีคุณค่า และถ้าเป็นไปได้ให้เขาทุกคนเติบโตขึ้นเป็นเยี่ยง "พระกุมารเยซูที่เจริญวัยแข็งแรงขึ้นทรงพระปรีชาญาณอย่างสมบูรณ์ และ พระหรรษทานของพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์"(ลก.2:40)

พ่อสุพจน์
...............................................................................................................................................................

สวัสดีครับพี่น้องที่รักทุกท่าน
                วันนี้พระศาสนจักรทำการฉลองพระเยซูเจ้าทรงรับพิธีล้างจากท่านยอห์นที่แม่น้ำจอร์แดน ก่อนที่พระองค์จะทรงเริ่มปฏิบัติพันธกิจของพระองค์ คำว่า Baptism (ศีลล้างบาป) มาจากภาษากรีก แปลว่า การอาบน้ำ หรือชำระตัวให้สะอาด รูปแบบของพิธีกรรมที่ใช้น้ำเป็นสัญลักษณ์อันชัดเจนของการชะล้างคราบไคลของพฤติกรรมผิดๆ ในอดีตออกไป เมื่อเราต้องการเข้าสู่สถานะใหม่ของชีวิต ยอห์น บัปติสต์ เรียกร้องให้ประชาชนสำนึกผิดในวิถีชีวิตบาปของตน และแสดงเจตจำนงว่าต้องการเปลี่ยนวิถีชีวิตด้วยการเข้ารับพิธีล้างด้วยน้ำจากแม่น้ำจอร์แดน
            น้ำเป็นสัญลักษณ์ที่มีหลายความหมาย เราใช้น้ำล้างสิ่งสกปรกและเป็นสัญลักษณ์ของการชำระล้างความผิดให้หมดไป น้ำเป็นพลังแห่งความตาย แต่เป็นพลังแห่งชีวิตด้วย น้ำในอุทกภัยนำความหายนะและความตาย แต่ในแง่ของพลังแห่งชีวิตไม่มีสิ่งมีชีวิตรูปแบบใดที่รอดชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากน้ำได้
            พิธีล้างด้วยน้ำของยอห์น กระตุ้นให้เกิดความคิดเรื่องพระแมสสิยาห์ในหมู่ประชาชน แต่ยอห์นรีบบอกให้ประชาชนคอยผู้ที่จะตามหลังเขามา ผู้ที่จะทำพิธีล้างมิใช่ด้วยน้ำเท่านั้น แต่ด้วยพระจิตเจ้าและไฟแห่งชีวิตพระเจ้า
            ในน้ำแห่งศีลล้างบาป เราเข้าสู่ความตายของพระเยซูเจ้าเพื่อชำระล้างบาปกำเนิด และบาปต่างๆ ที่เราทำก่อนรับศีลล้างบาป นักบุญเปาโลมองว่าการจุ่มตัวในน้ำแห่งศีลล้างบาป คือการเข้าสู่คูหาฝังศพพร้อมกับองค์พระผู้เป็นเจ้า จากนั้น เมื่อเราขึ้นจากน้ำและสวมใส่เสื้อผ้าสีขาวนั่นหมายความว่าเราได้มีส่วนร่วมในชีวิตของพระคริสตเจ้าผู้ทรงกลับคืนชีพ และก้าวออกมาจากคูหาฝังศพ คำว่า “คริสตชน” อาจเคยใช้เป็นฉายาที่เรียกกันเล่นๆ แต่ชื่อนี้กลับกลายเป็นชื่อที่ถูกต้องแล้วสำหรับบุคคลที่บัดนี้ได้มีส่วนร่วมในชีวิตของพระเยซูคริสตเจ้า และเป็นส่วนหนึ่งในพระวรกายที่มีชีวิตของพระองค์ในโลกนี้
            วันฉลองการรับพิธีล้างของพระเยซูเจ้าเป็นโอกาสให้เราคริสตชนได้เฉลิมฉลองที่เราได้มีส่วนร่วมในชีวิตของพระเจ้า อาศัยการรับศีลล้างบาปของเรา ขอให้เราได้ยินเหมือนที่พระบิดาตรัสกับพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ทรงรับพิธีล้างแล้วว่า “ลูกคือบุตรสุดที่รักของเรา จงยินดีในพระคุณต่างๆ ที่เรามอบให้แก่ลูกเถิด”
(อ้างอิงจาก พระวาจากับชีวิต ปี C เล่ม 1)
                                                                                                            คุณพ่อศวง

วันศุกร์ที่ 4 มกราคม พ.ศ. 2556

สารวัดวันอาทิตย์ที่ 6 มกราคม 2013


สวัสดีครับพี่น้องที่รัก
                เราก้าวล่วงเวลาของปีใหม่ ค.. 2013 หรือ พ.. 2556 มาได้ 6 วันแล้ว พ่อมีความรู้สึกว่าเวลาของเราแต่ละคนผ่านไปอย่างรวดเร็วจริงๆนะครับ ไม่ว่าพี่น้องจะเห็นด้วยกับพ่อหรือไม่ก็ตาม เวลาก็หมุนไปข้างหน้าอย่างสม่ำเสมอไม่มีวันหยุดพัก เราพึ่งจะผ่านช่วงวันหยุดพักผ่อนช่วงปีใหม่มาได้หลายวันแล้ว บางคนโชคดีได้หยุดงานตั้งแต่หลังการฉลองคริสต์มาสเรื่อยมาจนถึงช่วงวันหยุดยาวปีใหม่เสียด้วยซ้ำ เวลาที่เราหยุดพักผ่อนจากหน้าที่การงานปกติ เราก็อยากจะหยุดเข็มนาฬิกาเอาไว้ไม่ให้เดินไปข้างหน้าด้วยกันกับวันหยุดของเรา แต่เราก็ทำเช่นนั้นไม่ได้ เพราะเวลาไม่เคยหยุดพัก เวลาของทุกคนหมุนไปข้างหน้าเสมอ
            ช่วงปีใหม่หลายคนมีโอกาสไปร่วมงานเค้าท์ดาวน์ต้อนรับปีใหม่ รายงานข่าวจากทั่วโลกชี้ให้เห็นว่าคนจำนวนมากไปร่วมงานนับเวลาถอยหลังเพื่อเฉลิมฉลองการเริ่มต้นศักราชใหม่ ทำให้เราคิดกันไปว่า เวลามันเดินถอยหลังได้ เพราะมีการนับเลขถอยหลังจาก เก้า แปด เจ็ด หก ห้า สี่ สาม สอง หนึ่ง ศูนย์ ตัวเลขที่นับถอยหลังกันนี้ไม่ได้หมายความว่า เวลาหมุนถอยหลังได้ เพราะแท้ที่จริงเป็นการหมุนไปข้างหน้าตามปกตินั่นแหละ และด้วยเหตุนี้เองเราจึงไม่สามารถย้อนเวลาไปหาอดีตเพื่อแก้ไขสิ่งที่เคยทำเอาไว้ในอดีตได้ อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว เราไม่สามารถนำกลับมาเป็นปัจจุบันเพื่อเราจะแก้ไขการกระทำของอดีตให้เปลี่ยนไปจากเดิมได้ ด้วยเหตุนี้หลายคนจึงชอบคติพจน์ที่ว่า "ทำวันนี้ให้ดีที่สุด" เพราะถ้าเราทำดีเต็มที่ตามศักยภาพและโอกาสที่เรามีแล้ว ก็ไม่ต้องเสียใจกับการกระทำของเราอีกเมื่อเวลาผ่านไป
            สิ่งที่เราควรคิดถึงเสมอคือ "อนาคต" เพราะอนาคตยังมาไม่ถึง เรายังมีเวลาในการตระเตรียม เรื่องราวต่างๆให้พร้อมสรรพได้ พ่อเจอะเจอลูกศิษย์หลายคน เดี๋ยวนี้เขาเป็นผู้ใหญ่ มีหน้าที่การงาน มีครอบครัว มีอาชีพที่ดีมั่นคง รับผิดชอบในหน้าที่สำคัญๆขององค์กร ความรู้สึกแรกที่พบกันคือ ดีใจ ที่ได้พบกันอีก แต่ก็อดที่จะรำลึกถึงความหลังเมื่อหลายปีก่อนหน้า ตอนที่เขายังเป็นเด็ก ความทรงจำในอดีตผุดขึ้นมา พร้อมกับเรื่องราวในหนหลัง เมื่อหันกลับมาคิดถึงปัจจุบัน และ อนาคตที่จะมาถึงก็พบว่า เออ เวลาผ่านไปเร็วนะ หลายครั้งยังคิดอยู่ว่า เราไม่ได้เปลี่ยนไปมากนัก เราก็ยังเป็นคนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ เวลา และ อายุต่างหาก แม้เวลาของเราแต่ละคนหมุนไปไม่เคยหยุด แต่ต้องไม่ลืมว่า เราแต่ละคนมีเวลาที่จำกัดนะครับ อย่าลืมความจริงประการนี้ไปเสียล่ะ
            วันนี้เรามีพิธีอวยพรเด็กๆ เด็กเหล่านี้แหละคืออนาคตของเรา เขาเหล่านี้แหละคือผู้ที่จะมาสืบต่ออนาคตของชุมชนวัดของเรา ให้เราช่วยกันหล่อหลอมปลูกฝังเขาให้มีความเชื่อที่มั่นคง เพื่อเขาจะเป็นผู้ใหญ่ที่เป็นกำลังสำคัญของครอบครัวและวัดของเราในอนาคตครับ

พ่อสุพจน์
...................................................................................................................................................................
ทางแสงดาว
อาทิตย์ส่งท้ายเทศกาลพระคริสตสมภพกันแล้ว เป็นอย่างไรกันบ้างครับกับเทศกาลแห่งความยินดีนี้ ได้แบ่งปัน ได้สนุกสนาน และชื่นชมกับการบังเกิดมาของพระผู้เป็นเจ้าเพื่อเราอย่างไรกันบ้าง? แน่นอนว่าทุกคนย่อมมีคำตอบสำหรับตนเองต่างๆ นานากันออกไป แต่ทั้งหมดก็คือความยินดีนั่นเอง
พ่อเองมีบทเพลงที่ชื่นชอบอยู่เพลงหนึ่งที่เข้ากับวันฉลองนี้ได้อย่างดี แม้ไม่ใช่เพลงที่คาทอลิกเราแต่งขึ้น แต่คริสตจักรไมตรีจิต ได้รังสรรค์เพลงนี้ขึ้นมาอย่างสวยงาม อยู่ในบทเพลงชุด “ตลอดเวลา” หากหาฟังได้ก็ลองหามาฟังกันดูนะครับ ไพเราะและมีความหมายดีจริงๆ เนื้อเพลงมีว่า
“ในคืนพระคริสต์บังเกิด มีดาวบนฟ้ามากมาย แต่มีดวงดาวหนึ่งดวงส่องแสงโดดเด่นกว่าดาวนับร้อยพัน ในคืนที่ฟ้าบรรเจิด มองเห็นมีชายสามคน เดินทางมาจากแดนไกลโพ้น เดินตามดาวบนฟ้ามา
นักปราชญ์สามคนที่มองเห็นดวงดาว และได้รับรู้ถึงเรื่องราวที่สำคัญ จึงออกเดินทางไปตามแสงของดวงดาว เดินออกไปตามทางที่ดาวนำ
ออกเดินผ่านทะเลทราย ผ่านเขาและลำน้ำใหญ่ ไปเพื่อพบกับองค์พระคริสต์ ที่บังเกิดมาเพื่อเรา
เพราะรักมากมายจึงบังเกิดมาเพื่อเรา เพื่อนำเส้นทางชีวิตทุกคน
ได้เจอองค์พระเยซู ได้มีของขวัญมอบให้ บนรางหญ้าทรงนอนหลับใหล ช่างเป็นเวลาน่าชื่นใจ อยากเป็นดังเหมือนนักปราชญ์ ที่เดินตามทางแสงดาว เตรียมของขวัญในกล่องใบน้อยถวายมอบแด่พระองค์
พ่อนำเนื้อเพลงมาเพื่อเป็นการสรุปสั้นๆ กับพี่น้องครับ อีกอย่างคืออยากเล่าประวัติของบรรดานักปราชญ์เหล่านี้สักหน่อย นี่เป็นข้อสงสัยที่กลายเป็นตำนานตั้งแต่สมัยคริสตชนยุคเริ่มแรกได้เล่าต่อกันมาว่า ทั้งสามเป็นกษัตริย์ องค์หนึ่งมาจากทวีปแอฟริกา องค์หนึ่งจากเอเชีย และอีกองค์จากยุโรป จึงมีคนผิวดำ คนตะวันออกไกล และคนขาว ท่านทั้งสามติดตามดวงดาวมาพบเจอกัน ณ จุดเดียวกัน และเดินทางช่วงสุดท้ายร่วมกันขึ้นสู่กรุงเยรูซาเล็ม ชื่อของทั้งสามคือ กัสปาร์ เมลคีเออร์ และบัลธาซาร์ ด้วยพาหนะที่ใช้คืออูฐ เมื่อได้คำนับและมอบของขวัญแด่พระกุมารน้อยแล้วก็แยกย้ายกันกลับถิ่นกำเนิด จนกระทั่งเมื่อทั้งสามอายุครบ 120 ปี ได้เห็นดาวนั้นอีกครั้งจึงออกเดินทางอีกครั้งหนึ่งไปยังเมืองอานาโธเลียเพื่อร่วมมิสซาพระคริสตสมภพด้วยกัน ทั้งสามได้สิ้นชีวิตในวันเดียวกันอย่างเบิกบานยินดี ชิ้นส่วนของพระธาตุของทั้งสามได้เดินทางไปยังที่ต่างๆ มากมาย (เดินทางไกลกว่ายามมีชีวิตเสียอีก) จนในที่สุดก็มาอยู่ที่มหาวิหารแห่งโคโลจน์ ประเทศเยอรมนี จนถึงปัจจุบัน
แม้เรื่องนี้จะเป็นเพียงตำนานที่เล่าต่อกันมา หาความเป็นจริงไม่ได้ก็ตาม แต่ก็ช่วยให้เราเห็นสิ่งสำคัญของวันนี้ คือวันที่เราได้รับแสงสว่างแท้จากองค์พระกุมารที่ลงมาบังเกิดแล้ว เป็นหน้าที่ของเราต่อไปที่จะต้องรักษาแสงสว่างนี้ในชีวิตเราต่อไปด้วยการทำความดี เชื่อฟังบทบัญญัติของพระเจ้า หลีกหนีความชั่วของบาปที่จะนำพาเราสู่ความมืดมัว หากเราเชื่อมั่นในพระองค์ เราก็ย่อมมีทางแสงดาวนี้นำเราไปสวรรค์อยู่ร่วมกับพระองค์เมื่อวาระสุดท้ายของชีวิตเรามาถึงเช่นกัน
สวัสดีปีใหม่ ขอพระเจ้าอวยพรพี่น้องทุกคน
                                                                                                                       คุณพ่อปลัดองค์เล็ก