พี่น้องที่รัก
ช่วงนี้พ่อเห็นว่าบทความมากมายที่ส่งผ่านกันทางไลน์
มีข้อคิด ข้อไตร่ตรองที่ดีเป็นประโยชน์
เลยคัดที่เหมาะสมมาฝากพี่น้องกันเรื่อยๆครับ อย่างเช่นเรื่องต่อไปนี้
พลังที่ยิ่งใหญ่ที่ทำให้เราเป็นสุขใจและทำให้เราเอาชนะตนเองได้
พลังนั้นคือ "พลังแห่งการให้อภัย"
การที่เราไม่สามารถให้อภัยคนอื่น เป็นรากฐานของความคิดเชิงลบ
ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้เกิดความโกรธและโทษคนอื่น ทำให้เกิดความกลัวและแคลงใจ
หรือเกิดความอิจฉาริษยา
ตั้งแต่เล็กจนโต เราถูกปลูกฝังว่า "ความถูกต้อง"
เป็นสิ่งสำคัญมากและถูกกำหนดโดยกรอบของ "ความยุติธรรม"
ทำให้เรารู้สึกไม่พอใจ
เมื่อเหตุการณ์ที่ไม่ถูกต้องหรือความไม่ยุติธรรม
โดยเฉพาะถ้าเหตุการณ์นั้นเกี่ยวข้องกับเราโดยตรง หรือ
ทุกครั้งที่เรารู้สึกว่าตนเองและผู้อื่นไม่ได้รับความเป็นธรรมไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม
เราจะตอบโต้ด้วยความโกรธ เมื่อเป็นเช่นนี้ความเคารพในตนเองที่บอบบางจะถูกคุกคาม
หลายคนที่จมอยู่กับความรู้สึกอย่างนี้อย่างไม่สามารถจะหลุดพ้นจากมันได้
ถ้าเราไม่รู้จักปลดปล่อยความทุกข์ในวัยเด็กให้ผ่านพ้นไป
เราจะกลายเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่รู้จักให้อภัย และจะมีชีวิตที่เต็มไปด้วยความโกรธต่อคนอื่น
ทำให้ต้องเผชิญกับความทุกข์ทั้งในอดีตและปัจจุบัน
สิ่งที่มีพลังที่สุดที่จะปลดปล่อยให้คุณเป็นอิสระคือ การให้อภัย
ทุกคนที่เคยทำให้คุณเจ็บปวดในทุกๆเรื่อง เพียงคุณปลดปล่อยคนอื่นออกจากจิตใจโดยการให้อภัยเขา
คุณจะปลดปล่อยตนเองให้เป็นอิสระจากความทุกข์
นี่คือเหตุผลที่ศาสนาให้ความสำคัญกับการให้อภัยและสอนว่าการให้อภัยเป็นก้าวแรกที่จะนำไปสู่สันติสุขในใจและบนโลกมนุษย์
คุณลองนึกภาพถึงความรู้สึกที่ไม่โกรธใครทั้งสิ้นในโลกนี้
นึกภาพว่าคุณเป็นคนมองโลกในแง่ดีและมีความสุข มีความเชื่อมั่นและเคารพตนเอง
นึกภาพว่าเป็นคนอบอุ่นเป็นมิตร และมีแต่ความสงบสุขภายใน
ทุกสิ่งที่กล่าวมานี้สามารถเป็นจริงได้ถ้าคุณรู้จักให้อภัย
ในทางตรงกันข้ามถ้าคุณไม่ยอมให้อภัยคนอื่น คุณจะโกรธ เครียด วิตกกังวล
ไม่สบายกาย ไม่สบายใจ และไม่มีความสุข
การไม่ยอมให้อภัยทำให้คุณติดอยู่ในบ่วงแห่งความทุกข์
ในขณะที่การให้อภัยทำให้คุณเป็นอิสระ คุณจะเลือกสิ่งใด
มันเป็นสิ่งที่คุณต้องเลือกด้วยตนเอง ไม่เกี่ยวข้องกับใครทั้งสิ้น
มีบางคนที่ปิดกั้น ตนเองจากการให้อภัยด้วยความเชื่อผิดๆที่ว่า
การให้อภัยคือการยอมรับพฤติกรรมที่ไม่ถูกต้อง หรือ คิดว่าการให้อภัยเท่ากับว่าเรายอมรับคนๆนั้นและกำลังทำในสิ่งที่ไม่ถูก
มีคำกล่าวว่า การจำคุกต้องมีทั้งสองฝ่ายเสมอ
คือนักโทษและผู้คุมซึ่งทั้งสองฝ่ายต่างก็อยู่ในเรือนจำเช่นกัน
ถ้าคุณปล่อยให้อีกฝ่ายหนึ่งเป็นอิสระ คุณเองก็จะเป็นอิสระด้วย
คุณไม่จำเป็นต้องยอมรับพฤติกรรมหรือต้องชอบคนที่ทำให้คุณเจ็บ
เพียงคุณให้อภัยเขาเพื่อที่คุณจะได้ดำเนินชีวิตต่อไป
การให้อภัยจึงเป็นการกระทำเพื่อตนเองอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อคนอื่นเลย และมันเป็นการกระทำด้วยจิตใจที่สงบสุขและมั่นคง
เมื่อคุณโกรธคนอื่น คุณจะควบคุมจิตใจตนเองไม่ได้ทุกครั้งที่นึกถึงเขา
คุณปล่อยให้เขาเข้ามาควบคุมจิตใจ และชีวิตของคุณ
เขาจะเข้ามาอยู่ในความคิดของคุณตลอดเวลา
และเหตุการณ์ที่ทำให้คุณโกรธก็จะปรากฏขึ้นในใจของคุณ
หนทางแห่งการให้อภัย
วิธีที่จะให้อภัยนั้นง่ายมาก คุณสามารถทำได้โดยการพูดว่า "ขอให้พระคุ้มครองเขา ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่างและขอให้เขาโชคดี"
มันเป็นไปไม่ได้ที่จะยกโทษให้คนอื่นในเวลาเดียวกับที่คุณโกรธเขา
เพราะความคิดเชิงบวกจะไปยกเลิกความคิดเชิงลบของคุณ
คุณเองจะปลดปล่อยตัวเองให้เป็นอิสระได้เร็วขึ้น
โดยการยอมรับผิดชอบในส่วนของคุณต่อสิ่งที่เกิดขึ้น
เหตุการณ์ต่างๆจะเกิดขึ้นโดยตัวของมันเองได้ยากมาก
คุณย่อมมีส่วนเกี่ยวข้องกับเหตุการณ์นั้นด้วยเสมอ
ดังนั้นคุณจำเป็นต้องดึงส่วนที่คุณรับผิดชอบออกมา โดยพูดว่า "ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรเกี่ยวข้องด้วยตั้งแต่แรก หรือ
เกี่ยวข้องกับมันมากเกินไป ฉันไม่ควรทำเช่นนี้ ฉันให้อภัยเขาอย่างแท้จริง
และปล่อยให้มันผ่านไป มันอาจจะยากสำหรับคุณในการให้อภัยในครั้งแรก
การพูดถ้อยคำดังกล่าวเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก
จึงมีหลายคนที่มีชีวิตเต็มไปด้วยความเจ็บปวด แต่ถ้าคุณให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป
คุณจะรู้สึกมีความสุขและสดใสขึ้นอย่างรวดเร็ว
เมื่อความโกรธและความขุ่นเคืองจางหายไป จิตใจของคุณจะเต็มไปด้วยความคิดในทางที่ดี
คุณจะมีพลังมากขึ้น กระฉับกระเฉงขึ้น เข้มแข็งและมั่นใจมากขึ้น
ไม่ต้องกังวลว่าเพื่อนคุณจะคิดอย่างไร ถ้าคุณให้อภัยคนที่ทำให้คุณเจ็บ
เพราะเพื่อนคุณอาจจะเบื่อหน่ายที่จะรับฟังคุณรำพึงรำพันถึงความทุกข์นั้นแล้วก็ได้
ในความเป็นจริงเมื่อคุณเริ่มต้นให้อภัยแล้ว
คุณจะพบว่าความโกรธเป็นเพียงสิ่งเดียวที่มาพันธนาการคุณไว้กับคนบางคน
และเมื่อคุณตัดสินใจให้อภัยเขา คุณอาจจะไม่รู้สึกอยากพูดถึงเขาอีกต่อไป
คนที่คุณต้องให้อภัย
มีคนอยู่ 4 กลุ่มที่คุณต้องให้อภัย
ถ้าคุณต้องการเปลี่ยนวิธีคิด เปลี่ยนชีวิตของคุณอย่างจริงจัง
กลุ่มแรก คือ พ่อแม่ของคุณ ไม่ว่าท่านยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ก็ตาม
คุณต้องให้อภัยท่านอย่างหมดสิ้นสำหรับความผิดพลาดในอดีตในการเลี้ยงดูคุณ
อย่างน้อยที่สุดคุณควรขอบคุณท่านที่ให้ชีวิตแก่คุณ ท่านทำให้คุณมีวันนี้
ถ้าคุณยังมีความสุขที่จะมีชีวิตอยู่คุณก็ควรให้อภัยท่านได้ทุกเรื่องและจงอย่าตำหนิท่านอีก
ถ้าคุณไม่ให้อภัยพ่อแม่ของคุณ คุณจะยังคงเป็นเด็กตลอดไป และจะปิดโอกาสในการเติบโตและเป็นผู้ใหญ่ที่สมบูรณ์
คุณยังคงมองตนเองเป็นเหยื่อผู้โชคร้าย
และที่แย่ไปกว่านั้นคือคุณจะเก็บความรู้สึกเชิงลบความเป็นปมด้อย
และความโกรธไว้ตลอดไป ยิ่งไปกว่านั้นถ้าพ่อแม่ของคุณเสียชีวิตลง
โดยที่คุณยังไม่ได้ให้อภัยท่านสิ่งนี้จะรบกวนคุณไปตลอดชั่วชีวิต
กลุ่มที่สอง คือ คนใกล้ชิด
กลุ่มคนที่ใกล้ชิดของคุณที่มีความสัมพันธ์ต้องสิ้นสุดลง การแต่งงาน
และความสัมพันธ์ส่วนตัวเป็นความรู้สึกที่รุนแรง
ซึ่งอาจทำลายความเคารพตนเองได้มากจนกระทั่งคุณอาจโกรธและไม่ให้อภัยคนเหล่านั้นเป็นเวลาหลายปี
แต่อย่างน้อยคุณอาจรับผิดชอบได้ส่วนหนึ่ง โดยการให้อภัยคนอื่นและปล่อยเขาไป
จงพูดว่า "ฉันผิดเอง
ฉันยกโทษให้เขาสำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง และขอให้เขาโชคดี" ทุกครั้งที่พูดเช่นนี้อีก
ความรู้สึกเชิงลบที่ติดอยู่กับความทรงจำก็จะเลือนหายไป
และในไม่ช้ามันจะหมดไปอย่างถาวร
คนกลุ่มที่สาม ใครก็ได้ในชีวิตที่ทำให้คุณเจ็บ ไม่ว่าจะเป็นเจ้านาย
หุ้นส่วนทางธุรกิจ เพื่อน คนที่โกง หรือ ทรยศต่อคุณ
รวมทั้งทุกคนที่นำความทุกข์มาให้คุณ จงซักผ้าที่เปื้อนสีของคุณให้ขาว จงปล่อยเขาไป
โดยพูดว่า "ฉันให้อภัยเขา สำหรับทุกสิ่งทุกอย่าง
และขอให้เขาโชคดี" พูดประโยคนี้ซ้ำอีกทุกครั้งที่คุณนึกถึงเขา
จนกระทั้งความรู้สึกเชิงลบนั้นจางหายไป
กลุ่มที่สี่ คือ ตัวคุณเอง คุณต้องให้อภัยตนเอง อย่างหมดสิ้นสำหรับการกระทำหรือคำพูดของคุณที่โง่เขลา
เบาปัญญา ไม่มีเหตุผล ร้ายกาจ สิ้นคิด หรือ หยาบคาย
คุณต้องเลิกเก็บความผิดพลาดเหล่านี้ไว้กับคุณ
จงจำไว้ว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นอดีตแต่ตอนนี้คุณอยู่กับปัจจุบัน
ถ้าคุณนึกถึงแต่อดีตที่รู้สึกไม่ดีกับมัน คุณก็จะไม่ได้อยู่กับปัจจุบัน ขอให้คิดว่าในเวลานั้น
คุณไม่เหมือนกับตอนนี้ คุณยังเด็ก ขาดประสบการณ์และยังไม่มีตัวตนที่แท้จริง
จงหยุดทำร้ายตนเองด้วย สิ่งที่ผ่านไปแล้วและเราไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้
เมื่อคุณรู้สึกว่าต้องแบกรับความรู้สึกที่ผิดที่เป็นผลมาจากรอยแผลในอดีต
ความรู้สึกนี้จะระบายออกไปทันทีที่คุณตระหนักว่า "มันไม่ใช่ความผิดของฉัน"
เพราะคุณได้กระทำลงไปตอนที่คุณเป็นเด็กและด้อยประสบการณ์เกินกว่าจะแก้ไขหรือเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ได้
มันไม่ใช่ความผิดของคุณ คุณทำดีที่สุดแล้วในขณะนั้น
จงให้อภัยตนเองและปล่อยให้ตนเองหลุดจากบ่วงนี้ไป เพียงแค่พูดว่า "ฉันให้อภัยตนเองในความผิดที่ฉันได้ทำลงไป
ฉันเป็นคนดีอย่างแท้จริงและฉันกำลังจะมีอนาคตที่สดใส" เมื่อใดที่คุณคิดถึงเหตุการณ์ในอดีตอีก
จงพูดว่า "ฉันยกโทษให้ตนเองอย่างหมดสิ้น" จากนั้นก็ดำเนินชีวิตต่อไป จงเดินหน้าไปสู่อนาคตแทนที่จะถอยกลับไปหาอดีต
คิดถึงที่ที่คุณกำลังจะไป ไม่ใช่ที่ที่คุณผ่านมาแล้ว
อ่านดูแล้วลองไปฝึกปฏิบัติดูสิครับ จะได้ฝึกฝนการให้อภัย
ซึ่งเป็นอีกความหมายหนึ่งของคำสอนเรื่องของความรักที่พระเยซูเจ้าทรงสอนเรา
คุณพ่อสุพจน์
.............................................................................................................................
ข้างบัลลังก์นักบุญหลุยส์
: เมื่อทรงประกาศและทรงเรียก
#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
ข่าวดีแรก คำเทศน์แรกที่ทรงประกาศต่อโลก
#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
ไม่ใช่อัศจรรย์ อิทธิปาฏิหารย์ ที่ทรงกระทำ
แต่เป็นคำพูดง่ายง่าย ว่าต้องกลับใจ
กลับใจ เพราะอาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว
#จงกลับใจเถิด เพราะอาณาจักรสวรรค์อยู่ใกล้แล้ว
อาณาจักรสวรรค์กำลังมา อยู่ธรรมดาเฉยเฉยไม่ได้
ใช้ชีวิตแบบ Middle Class ไม่ได้
สวรรค์ไปไม่ได้ ถ้าไม่กลับใจและเปลี่ยนแปลง
เมื่อทรงเรียกให้ติดตาม ไม่ได้ทรงเรียกยืดยาว
เพียงแต่ตรัสอย่างเรียบง่าย #จงตามเรามาเถิด
เมื่อทรงเรียกให้ติดตาม ไม่ได้ทรงเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เราเป็น
แต่ทรงยกระดับเราให้สูงขึ้น #เราจะทำให้ท่านเป็นชาวประมงหามนุษย์
เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้ตอบยืดยาว
พวกเขาทำอย่างเรียบง่าย#เขาทั้งสองก็ทิ้งแหไว้
เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้อืดอาดยืดยาด
แต่ด้วยความกระตือรือร้น#แล้วตามพระองค์ไปทันที
เมื่อศิษย์ตอบรับพระองค์ ไม่ได้ลังเลกังวลใจ
แต่ตอบด้วยความมุ่งมั่น#เขาทั้งสองก็ทิ้งเรือและบิดา
แล้วตามพระองค์ไป
#พระมาติดดิน ให้เราติดตาม
อย่าลังเล อย่ายืดยาด อืดอาด เอื้อนเอ่ยมากความ
พูดได้ก็ดี ประกาศได้ไม่ว่า แต่ต้องตามด้วย
ตามแต่ปาก ดีแต่พูด ปากรอดแต่ตัวไม่รอด
อยากรอดเริ่มด้วย “เริ่ม...ที่การกลับใจ”
บาทหลวงบางกอก